ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 314 พบกันใต้แสงจันทร์
บทที่ 314 พบกันใต้แสงจันทร์
ของวิเศษเวททุกชิ้นในโลกนี้ ต่อให้เป็นของวิเศษเวทต้องห้าม ไม่ว่าจะมีพลานุภาพมากเพียงใดก็ล้วนไม่อาจเทียบกับพลังแสงตาที่เกิดขึ้นเมื่อเสี้ยวหน้าเทพเจ้าลืมตาได้
เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เทพเจ้ามอง
ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญผู้วิเศษพลังบำเพ็ญระดับใด ต่อให้พลังวิเศษ วิชาเต๋าของพวกเขาสามารถเปลี่ยนแปลงฟ้าดินได้ แต่ก็…สู้เสี้ยวหน้าเทพเจ้าบนท้องฟ้าไม่ได้
เพราะนั่นคือการบดขยี้ระดับขั้นชีวิต นั่นเป็นยันต์เป็นตายที่แขวนอยู่เหนือศีรษะของหมื่นเผ่าพันธุ์ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
และระดับขั้นตัดสินทุกอย่าง
ตอนนี้ จากการที่กล่องไม้เปิดออก จากการที่แสงไร้สีไร้รูปร่างนั่นสาดส่องออกมา ฟ้าดินก็เปลี่ยนไป หมอกเมฆหอบม้วนกระหน่ำ เหมือนจะแปรเปลี่ยนเป็นทะเลพิโรธ กำลังซัดโหม
แผ่นดินยิ่งตกอยู่ในความมืดมิดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทุกสิ่งที่เห็นล้วนรางเลือน
เหมือนมีเสียงพึมพำที่สั่นคลอนจิตใจดังสะท้อนอยู่ในฟ้าดินแว่วๆ ทำให้คนร่างกายไม่มั่นคง หมุนไปทั้งแปดทิศ เหี้ยมเกรียมเจ็บปวดส่งเสียงคำราม
ไม่รู้ว่าเสียงพึมพำนี้ทำให้โลกรางเลือน หรือโลกนี้บิดเบี้ยวเพราะแสง พื้นที่ทั้งพันธมิตรแปดสำนักในเสี้ยวพริบตานี้รางเลือนเป็นอย่างยิ่ง บิดเบี้ยวจนถึงขีดสุด
สรรพสิ่งทั้งหลายเหมือนสั่นคลอนท่ามกลางความรางเลือนและบิดเบี้ยว
ไอพลังประหลาดที่เหมือนในพื้นที่ต้องห้ามพลันปรากฏขึ้นมา
จากบนพื้น จากน้ำในแม่น้ำ จากเม็ดทราย
จากอิฐทุกก้อน กระเบื้องทุกแผ่น จากในอาหารทุกอย่าง จากวัตถุทุกชิ้น จากภายในทุกสิ่งทุกอย่าง ลอยขึ้นข้างบน เกิดเป็นหมอกเป็นกลุ่มๆ สะท้านฟ้าสะเทือนดิน
ชั้นเมฆบนท้องฟ้าภายใต้การผสมจากหมอก สีบนท้องฟ้าก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็กลายเป็นเมฆดำที่ชวนให้คนรู้สึกกดดัน
สายฟ้าสีแดงฟาดผ่าเปรี้ยงปร้าง ฝนเลือดทุกหยดร่วงลงมาจากฟ้า
ความหวาดกลัวที่ไม่อาจจินตนาการได้ และไม่อาจต้านทานได้ลงมาเยือน
เมืองในพันธมิตรแปดสำนักเหมือนเมืองเล็กที่ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณในตอนนั้น เงียบนิ่งในฝนเลือด
พลังจากเทพเจ้าราวช่วงฤดูกาลตื่นจำศีล ส่งผลกระทบให้กับวงจรชีวิตของสรรพชีวิตทั้งหลาย ทำให้พวกเขาถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่อาจควบคุมได้
ทั้งพันธมิตรแปดสำนักกำลังกลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามอย่างรวดเร็ว!
ทั้งมณฑลต้อนรับราชันในความหวาดกลัว ณ เสี้ยวพริบตานี้ ขั้วอำนาจฝ่ายต่างๆ สำนักทุกสำนัก ผู้ที่สัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นพลังของที่นี่ ในใจล้วนเกิดคลื่นซัดถาโถม
พื้นที่ดินแดนในพันธมิตร จะเป็นประชาชนธรรมดาก็ดี จะเป็นบรรพจารย์ก็ดี ล้วนยากจะหลบหนี ล้วนยากจะหลบหลีก ทุกอย่างของทุกอย่างกลายเป็นความสิ้นหวัง!
บ้านเรือนในเมืองพันธมิตรถูกกัดกิน พังถล่มเป็นแถบๆ เพียงเสี้ยวพริบตา
สิ่งมีชีวิตทุกอย่างล้วนถูกกัดกิน เกิดจุดกลายพันธุ์บนร่างอย่างบ้าคลั่ง
ต่อให้พลังบำเพ็ญถึงในระดับหนึ่ง ซ่อนและชะลอจุดกลายพันธุ์ แต่ตอนนี้ก็ไม่อาจควบคุมการแผ่ลามจำนวนมหาศาลได้
คนธรรมดายิ่งเป็นเช่นนี้
ผู้บำเพ็ญยากจะเอาชีวิตรอด
ฟ้าดินก็อยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน
ทุกสิ่งของทุกสิ่ง ทุกอย่างของทุกอย่างล้วนถูกชะตาควบคุม
ทั้งเมืองหลักมืดมนอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า เสียงร้องครวญคร่ำยิ่งดังมาจากทั่วทุกทิศในเสี้ยวพริบตานี้
เวทนาเป็นที่สุด ในขณะที่อเนจอนาถน่าสังเวช และทำให้ทุกคนที่ได้ยินขนลุกขึ้นมาตามสัญชาตญาณ แสงในดวงตาและวิญญาณในร่างกายก็ค่อยๆ อับแสง
ล้วนกำลังสลายหายไป
ยิ่งมีลูกศิษย์บางคนที่ไอพลังประหลาดในร่างเดิมก็ค่อนข้างเข้มข้นอยู่แล้ว แต่ควบคุมเอาไว้ชั่วคราว ร่างระเบิดกลายเป็นเศษเนื้อในทันที และมีบางคนที่ตายกลายเป็นซากร่างมีดำม่วง
และการกลายพันธุ์ก็เกิดขึ้น
จะเห็นสัตว์ร้ายที่เปลี่ยนมาจากผู้บำเพ็ญตัวแล้วตัวเล่า ท่ามกลางเสียงโหยหวนที่ไม่เหมือนเสียงมนุษย์เหล่านั้น ลุกยืนขึ้นมาจากพื้น ผิวหนังทั่วทั้งร่างปริแตก ในขณะที่เลือดเนื้อเปรอะเปื้อนก็มีสิ่งประหลาดกำเนิดออกมาจากความว่างเปล่า
เพียงชั่วเสี้ยวพริบตา การเปิดกล่องออกทำให้พันธมิตรแปดสำนักทั้งพันธมิตรวุ่นวายไปหมด เหมือนจะกลายเป็นนรกบนดิน
บนท้องฟ้า ไม่ว่าจะเป็นเสี่ยเลี่ยนจื่อและนายท่านเจ็ดที่มาถึง หรือจะเป็นบรรพจารย์แห่งพันธมิตรแปดสำนัก ล้วนสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมหาศาล
เผยให้เห็นความไม่อยากเชื่อและหวาดกลัว ภาพฉากนี้เหนือกว่าจินตนาการของเขา อยู่เหนือความคาดหมายของเขาโดยสิ้นเชิง
ท่ามกลางแสงสายตาที่สาดมา บรรพจารย์เหล่านี้ต่อให้ปกติจะแข็งแกร่งไร้เทียมทาน แต่วันนี้ก็ต่างมีไอพลังประหลาดเกิดขึ้นมหาศาล เลือดสดๆ กระอักออกมา
พวกเขาอยากลงมือ แต่ใต้แสงสายตาเทพเจ้านี้ ร่างของพวกเขาถูกควบคุมโดยสิ้นเชิง การปะทุอย่างบ้าคลั่งของไอพลังประหลาดในร่างกายทำให้พวกเขาต้องสะกดมันสุดกำลัง ไม่อาจเสียสมาธิแม้เพียงเล็กน้อยได้เลย
มีเพียงประธานพันธมิตรที่ตอนนี้พอจะดิ้นรนได้ แต่ใบหน้าของเขาก็สั่นอย่างรุนแรงไปเช่นกัน ร่างจริงปรากฏขึ้นในฟ้าดิน ไอพลังประหลาดสีดำลอยเอ่อทั่วร่าง ลมหายใจถี่กระชั้น จับจ้องพื้นดินข้างล่างเขม็ง
ในจุดลึกของดวงตายิ่งมีความตื่นกลัวที่ไม่ได้ปรากฏจากในตัวของเขามานานหลายปี คำรามเสียงต่ำออกมา
“ทัศนเทพเจ้า เจ้า…เป็นใครกันแน่!!”
ท่ามกลางความตื่นกลัวของแปดสำนัก ฟ้าดินที่เปลี่ยนสี และฝนเลือดที่หยาดหยด ฝนสีแดงกระทบไปบนหน้ากากเสี้ยวหน้าเทพเจ้าของชายหนุ่มที่เงยหน้าขึ้นมา หยดแล้วหยดเล่ากระทบต้อง ไหลลงมาตามหน้ากาก แล้วหยดลงสู่พื้นดิน
ในดวงตาของเขาแฝงด้วยแววย้อนระลึกความหลัง แฝงด้วยความทอดถอนใจ ปล่อยให้ฝนเลือดสาดใส่ ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า
มองให้ละเอียด จะเห็นว่าแม้รอบๆ ฝนเลือดจะเทกระหน่ำ ไอพลังประหลาดน่าสะพรึงกลัว แต่ถังหูลู่ในมือของเขาไม่ถูกกัดกินแม้แต่น้อย ไม่แปดเปื้อนเลย
เขาปกป้องเอาไว้อย่างดี
นกเขาราตรีที่อยู่ข้างหลังตอนนี้ในดวงตาฉายแววบ้าคลั่ง แฝงด้วยความเคารพบูชาสูงสุดประดุจมองเทพเจ้าจากการเคลื่อนไปข้างหน้าของเขา มองเงาร่างหนุ่มข้างหน้า ถือกล่องเอาไว้อย่างนอบน้อม ติดตามอยู่ข้างหลัง
ทั้งสองคนเดินมุ่งไปข้างหน้า เดินอยู่บนถนน เดินอยู่ในโลกาวินาศ ในยามที่เดินอยู่บนท้องฟ้า ชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าก็ดึงสายตาที่มองไปบนท้องฟ้า จับจ้องมายังร่างของบรรพจารย์ในพันธมิตรแปดสำนักเหล่านั้น
กวาดมองไปทีละคน สุดท้ายเขามองไปทางเสี่ยเลี่ยนจื่อและนายท่านเจ็ดที่กำลังดิ้นรน
“คนของพวกเจ้าฆ่าไป๋ลี่ สมเหตุผลแล้ว
“ข้ามาเอาหัวของฆาตกร ถือโอกาสดูการแสดงไปด้วยก็สมเหตุผลแล้วเช่นกัน”
นี่เป็นประโยคแรกที่เขากับคนของพันธมิตรแปดสำนักหลังจากที่มาในครั้งนี้
ตอนนี้เมื่อพูดจบ เขาก็พานกเขาราตรีเดินไปบนท้องฟ้า เดินจากไปไกล
เพียงสะบัดมือร่างของสองพ่อลูกเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องก็สะท้านเฮือก ในดวงตาฉายแววหวาดกลัวและเคารพบูชา พลางเดินเข้าไปใกล้ชายหนุ่ม เดินตามข้างหลังเงียบๆ
ทุกอย่างนี้คนของพันธมิตรแปดสำนักทำได้เพียงมองตาปริบๆ ไม่อาจขัดขวางได้แม้เพียงเล็กน้อย และชายหนุ่มตั้งแต่ต้นจนจบล้วนสุขุม สงบนิ่ง เหมือนตอนที่เขาเดินอยู่บนถนนเมื่อก่อนหน้านี้ เขาอยากมาไม่มีใครขัดเขาได้ เขาอยากไปไม่มีใครขวางเขาได้
จวบจนเมื่อเดินไปถึงปลายขอบฟ้า เสียงของชายหนุ่มก็แฝงด้วยเสียงหัวเราะ ดังมาในพันธมิตรแปดสำนัก ดังก้องไปข้างๆ ประธานพันธมิตรที่จ้องเขาตาไม่กะพริบคนนั้น
“เจ้าเรียกพระองค์ว่าเทพเจ้า ข้าเรียกพระองค์ว่าเทวะ”
ชายหนุ่มจากไป พาพ่อลูกเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องจากไป และนำสายตาเทพเจ้าจากไป
ไม่มีแสงสาดทอจากแสงสายตา ไอพลังประหลาดในพันธมิตรแปดสำนักก็ไร้ซึ่งต้นกำเนิด ขั้นตอนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นพื้นที่ต้องห้ามถูกหยุด
นี่สำหรับพันธมิตรแปดสำนักก็เป็นจุดจบที่ดีที่สุดแล้ว หากพันธมิตรแปดสำนักกลายเป็นพื้นที่ต้องห้าม ทุกอย่างก็จะไม่อาจฟื้นคืนกลับมาได้
และหากไม่ได้แปรเปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์แบบ ก็สามารถแก้ไขกลับมาได้
ตอนนี้ จากเมฆโลหิตบนท้องฟ้าที่หายไป หลังจากความเงียบนิ่งเพียงชั่วขณะของบรรพจารย์ทุกคน พวกเขาล้วนแยกย้ายกันไปด้วยสีหน้าซับซ้อนอย่างเงียบๆ
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาหารือเรื่องนี้ พวกเขารู้ดีว่าตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือพลิกฟื้นความเสียหายกลับมา
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น กลับไปที่สำนักของตัวเองอย่างรวดเร็ว เริ่มจัดการและช่วยเหลือเมืองที่เต็มไปด้วยไอพลังประหลาด
ครั้งนี้พันธมิตรแปดสำนักเสียหายสาหัสนัก และสำนักที่สาหัสที่สุดก็คือ…สำนักเจ็ดเนตรโลหิต
ขณะเดียวกัน ชื่อเทียนประทีปชื่อนี้ ก็ผงาดขึ้นในมณฑณต้อนรับราชันทั้งมณฑลโดยสมบูรณ์จากเหตุการณ์นี้เอง ขั้วอำนาจฝ่ายต่างๆ ล้วนจำขึ้นใจ ความเข็ดขยาดหวาดกลัวรุนแรงจนถึงขีดสุด
ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะกล่องใบนั้น!
จินตนาการได้ว่า เรื่องในมณฑลต้อนรับราชันเรื่องนี้จะแพร่ออกไปนอกมณฑลนี้อย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อทั้งเขตปกครอง กระทั่งว่าแผ่ไปทั้งแดนใหญ่…แสงจากในกล่องใบนั้นช่างน่าสะพรึงกลัวเหลือเกิน
ทุกคน ทุกเผ่า ทุกขั้วอำนาจ ล้วนรู้จักเทียนประทีปกันใหม่!
วิเคราะห์ข่าวลือของเทียนประทีปในอดีตเหล่านั้นใหม่ อย่างเช่นพวกเขาทำให้ผู้เข้าร่วมกุมพลังเทพเจ้าได้…
และเทียนประทีปตัวอักษรนี้ ฝ่ายต่างๆ ก็วิเคราะห์กันลึกลงไป
คบเพลิงที่ยังไม่ได้จุดเรียกรวมว่าฟืน ส่วนไฟที่อยู่บนพื้นดินเรียกกองไฟ และไฟที่ถืออยู่ในมือเรียกว่าเทียน!
เทียนตัวอักษรตัวนี้ ทั้งมีความหมายของไฟ และแฝงไว้ด้วยความหมายของการควบคุม รวมกับคำว่าประทีป ความรู้สึกของแสงก็ลุกโชนขึ้นมา ด้วยเหตุนี้…ถึงเรียกว่าเทียนประทีป!
และในตอนที่ชายหนุ่มผู้เป็นตัวแทนของเทียนประทีปคนนั้นพานกเขาราตรีและพ่อลูกเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องจากไป พันธมิตรแปดสำนักวุ่นวายอยู่กับการฟื้นฟูความเสียหาย ณ ที่ราบรกร้างที่ห่างจากพันธมิตรแปดสำนักไกลในระยะหนึ่ง สวี่ชิงกำลังห้อตะบึง
เขาไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในพันธมิตรตอนนี้ ความทรงจำสุดท้ายที่พันธมิตรของเขาหยุดอยู่ในเสี้ยวพริบตาที่กวานสวรรค์ม่วงสูดสุดแตก ชีวิตของตุ๊กตาตัวตายตัวแทนแตกดับหมดสามครั้ง ตัวเองถูกส่งข้ามออกมา
หลังจากถูกส่งข้ามมายังที่ราบรกร้างโลกภายนอกแล้ว ในเสี้ยวพริบตาที่ปรากฏตัวขึ้น สวี่ชิงหน้าขาวซีด จิตใจเกิดคลื่นซัดกระหน่ำรุนแรง เขานึกย้อนก่อนหน้านี้ รู้เป็นอย่างดีว่าเสี้ยวพริบตานั้นมีคนลงมือกับตน ทำให้ตนเข้าใกล้ความตายเป็นอย่างมาก
แม้เขาจะไม่เห็นหน้าตาของศัตรู แต่ก็สัมผัสถึงกลิ่นอายของอีกฝ่ายได้รางๆ
เขากังวลต่อสถานการณ์ของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตมากท่ามกลางความหวาดกลัวนี้ แต่ก็รู้ดีว่าหากเผชิญหน้ากับพลังที่ไม่อาจต้านทานได้จริงๆ ด้วยพลังบำเพ็ญของตนจะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมล้วนไร้ซึ่งความหมาย
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รีบร้อนกลับไปอย่างไม่สนใจอะไร แต่อำพรางระลอกคลื่นพลังบำเพ็ญของตัวเอง เปลี่ยนรูปร่างหน้าตาแอบห้อตะบึงเข้าไปใกล้พันธมิตร
เขาเคลื่อนไปข้างหน้าพลางขบคิดถึงสาเหตุของเรื่องนี้ในใจ ขณะเดียวกันก็ไม่รู้ว่าทำไมแผ่นหยกสื่อเสียงถึงสูญเสียความสามารถไป
นี่ทำให้ในใจของสวี่ชิงยิ่งร้อนรน จวบจนผ่านไปหลายวัน ในยามที่ระยะทางห่างจากพันธมิตรประมาณเจ็ดวัน ในความมืด สวี่ชิงเพิ่งเร่งความเร็วทะยานตัวไปในป่า แต่ในเสี้ยวขณะนี้ร่างของเขาก็พลันหยุดชะงัก ย่อตัวซ่อนกายทันที ดวงตาหรี่เล็ก
ใต้แสงจันทร์ เขาเห็นคนกลุ่มหนึ่ง
คนที่เดินอยู่ข้างหน้าเป็นคนสวมชุดคลุมยาวสีดำสวมหน้ากากเสี้ยวหน้าเทพเจ้าคนหนึ่ง ฝีเท้าของเขาแผ่วเบา บนร่างแผ่ความสง่างาม ในขณะที่เคลื่อนมาข้างหน้า ในมือก็ถือถังหูลู่ที่ไม่เปื้อนฝุ่นเลยแม้แต่น้อยไม้หนึ่งเอาไว้ด้วย
ถังหูลู่สีแดงไม้นั้นอยู่ในความมืดกลับเด่นชัดนัก
ข้างหลังเขามีคนตามอยู่สามคน สองคนในนั้นก็คือพ่อลูกเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง