ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 327 หนทางเนิ่นนานยาวไกล
บทที่ 327 หนทางเนิ่นนานยาวไกล
ขณะเดียวกัน ณ ฐานที่มั่นที่อีกสามสำนักไปก็ดำเนินการศึกประเภทนี้เช่นกัน เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้มีการวางแผนและลำดับขั้นตอนเหมือนสำนักเจ็ดเนตรโลหิต แต่มีโถงครองกระบี่ดูแล ก็นับว่าจัดการได้
แต่กลับไม่สามารถทำถึงขั้นสะกดเอาไว้ได้
ศพที่ฐานที่มั่นทั้งสามนั่นหลังจากถูกสะกดเอาไว้พลังคุณสมบัติเทพก็พุ่งจนถึงขีดจำกัดสูงสุดอย่างน่าประหลาด จากนั้นก็ระเบิดกลายเป็นเศษเถ้า ทำลายตัวเองอย่างไม่เหลือชิ้นดี
ในขณะเดียวกัน หลังจากการลงมือครั้งนี้ของแปดพันธมิตรจบสิ้นลง นอกมณฑลรับเสด็จราชัน บนถนนที่มุ่งหน้าไปยังใจกลางเมืองหลวงเขตปกครองในอีกมณฑลหนึ่งของเขตปกครองผนึกสมุทร รัชทายาทรัฐม่วงครามที่สวมชุดคลุมยาวสีดำ สวมหน้ากากเสี้ยวหน้าเทพเจ้า กำลังเดินทอดน่อง
ดวงตาใต้หน้ากากไม่มีระลอกคลื่นอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น สงบนิ่งราวน้ำ ไม่ห่วงหาอาทรมณฑลรับเสด็จราชันที่อยู่ข้างหลังแม้แต่น้อย เหมือนตอนที่เขาไปจากทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณมายังมณฑลรับเสด็จราชันในตอนนั้น
ข้างหลังเขาคือนกเขาราตรีที่ติดตามอย่างเคารพนบนอบ
“นายท่าน ห้าร่างทดลองแปรสภาพเทพเจ้าตามสมัครใจมีสี่ร่างที่ถูกค้นพบ ร่างหนึ่งหลบซ่อนขอรับ”
“ไม่แปลกใจ” ชายหนุ่มชุดดำที่อยู่ข้างหน้าเอ่ยราบเรียบ
“ร่างทดลองแปรสภาพเทพเจ้าที่ถูกหาเจอสี่ร่างนั้น ความสามารถต่างๆ ที่แสดงออกมาและจุดที่ยังบกพร่องล้วนบันทึกเอาไว้หมดแล้ว และได้บอกกับทางร่างทดลองร่างที่ห้าทางนั้น เพื่อมอบข้อมูลในการกระตุ้นแปรสภาพเทพเจ้ารอบต่อไปหลังจากนี้”
“แต่…เกิดข้อผิดพลาดเล็กน้อยขึ้นขอรับ” นกเขาราตรีลังเลเล็กน้อย
“ลองว่ามา” ชายหนุ่มชุดดำที่อยู่ข้างหน้าสีหน้าไม่เปลี่ยน เสียงสงบนิ่ง
“จุดที่เกิดเรื่องไม่คาดฝันคือทางฐานที่มั่นสำนักนำบารมี สำนักเจ็ดเนตรโลหิตเหมือนจะค้นพบเป้าหมายของพวกเรา
“เรื่องนี้วิเคราะห์จากเรื่องราวที่เกิดขึ้น เหมือนเป้าหมายของพวกเขาก็เพื่อร่างทดลองร่างนั้น อีกทั้งการทำลายตัวเองก็ไม่เป็นผล ถูกผนึก ตัวการหลักน่าจะเป็นนายท่านเจ็ดคนนั้น” พูดถึงตรงนี้ที่หน้าผากของนกเขาราตรีก็มีเหงื่อผุดบางๆ
ฐานที่มั่นทั้งสี่ที่นี่เขาเป็นคนจัดการวางแผนเอง เดิมทุกอย่างเป็นปกติ ถูกหาเจอแม้จะไม่คาดคิดแต่ก็ใช่ว่าจะยอมรับไม่ได้ แต่ถูกผนึกร่างทดลองแปรสภาพเทพเจ้าเอาไปร่างหนึ่ง ความรับผิดชอบนี้ใหญ่หลวงนัก เขาไม่อาจรับผิดชอบได้
ชายหนุ่มชุดคลุมยาวสีดำที่อยู่ข้างหน้าฝีเท้าหยุดชะงัก
นานหลังจากนั้นจึงหันมา มองไปทางมณฑลรับเสด็จราชัน ดวงตาทั้งสองใต้หน้ากากเสี้ยวหน้าเทพเจ้าไม่สงบนิ่งเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว แต่ฉายประกายแปลกประหลาด
“อาจารย์ของน้องชายข้าคนนั้นหรือ ก่อนหน้านี้ข้าก็จับตามองคนคนนี้เหมือนกัน ตอนนี้ดูอีกที คนคนนี้…ไม่ธรรมดา
“น่าเสียดาย เรื่องที่มณฑลรับเสด็จราชันจบสิ้นแล้ว ไม่เช่นนั้น ข้าก็อยากคุยกับคนคนนี้สักหน่อยเหมือนกัน”
ชายหนุ่มชุดคลุมยาวสีดำจ้องมณฑลรับเสด็จราชันอยู่นาน ก่อนจะดึงสายตากลับมา เดินไปข้างหน้าต่อ
“เอาไปได้ก็เอาไปเถิด ถือเสียว่าเป็นของกำนัลขอบคุณที่เขารับน้องชายไว้เป็นศิษย์ที่ข้ามอบให้ก็แล้วกัน อีกทั้ง…คุณสมบัติเทพก็ไม่ใช่พลังที่คนธรรมดาทั่วไปจะศึกษาและควบคุมได้”
ชายหนุ่มชุดดำเอ่ยราบเรียบ ยิ่งเดินก็ยิ่งจากไปไกล
นกเขาราตรีอยู่ข้างหลัง ถอนหายใจโล่งอก ในขณะที่ติดตามอยู่ตลอดทาง เขาก็อดไม่ได้ถามขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า
“นายท่าน อะไรคือคุณสมบัติเทพหรือขอรับ”
“ระดับขั้นชีวิตแตกต่าง ดังนั้นจึงไม่อาจอธิบายกับเจ้าได้” ชายหนุ่มชุดดำตอบอย่างสงบนิ่ง
“เจ้าไม่อาจไปรู้ได้ และยากจะขบคิด ก็เหมือนกับมดปลวกที่ไม่อาจเข้าใจความคิดของเจ้าได้ เจ้าเองก็เช่นกัน
“นี่คือแม่น้ำระหว่างความเป็นมนุษย์และความเป็นเทพที่ไม่อาจข้ามไปได้
“พูดง่ายๆ ก็คือระหว่างชั่วเสี้ยวความคิดของเจ้า หากความคิดมีโลกความเป็นไปได้นับพัน เช่นนั้น สิ่งที่สิ่งมีชีวิตประเภทเทพตั้งความประสงค์เป็นความคิดโลกความเป็นไปได้อันเป็นอนันต์ในสมองเพียงเสี้ยวพริบตา ทุกโลกความเป็นไปได้ล้วนมีความลึกล้ำที่เจ้าไม่อาจเข้าใจกระจ่างได้
“แต่หากทำได้ หรือทำได้ถึงในระดับหนึ่ง เช่นนั้นในสายตาขององค์ท่าน เจ้าจะไม่ใช่แค่ร่างเดียว แต่เป็นร่างนับไม่ถ้วน ทุกอย่างของเจ้าจะโปร่งแสง อดีตของเจ้า อนาคตของเจ้า ทั้งหมดล้วนปรากฏในดวงตาขององค์ท่านในเวลาเดียวกัน”
ชายหนุ่มชุดคลุมยาวสีดำพูดพลางสะบัดมือ ทันใดนั้น รอบตัวนกเขาราตรีก็มีภาพนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น มีอดีต มีอนาคต ภาพมากมายมหาศาลซ้อนทับเข้าด้วยกัน เกิดเป็นภาพที่หากมนุษย์ธรรมดาเห็น จิตใจจะต้องแตกสลายไม่อาจรับได้แน่นอน
ในภาพทั้งหลายทั้งปวง ชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำคว้าออกไปง่ายๆ ก็มีภาพเจ็ดแปดภาพปรากฏขึ้นมา ในนั้นล้วนป็นจุดจบที่นกเขาราตรีตายด้วยเงื้อมมือของคนแตกต่างกันไป
“องค์ท่านเปลี่ยนทุกอย่างของเจ้าได้ สามารถจัดการภาพชะตาชีวิตของเจ้าได้ ใช้เพียงแค่เสี้ยวพริบตาเท่านั้น” พูดถึงตรงนี้ ชายหนุ่มชุดคลุมยาวสีดำก็บีบเบาๆ ภาพเหล่านี้ก็กลายเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยสลายไป
พูดจบ เขาก็เงยหน้ามองไปยังเสี้ยวหน้าเทพเจ้าบนท้องฟ้า ถอนหายใจเบาๆ
“ดังนั้น หลังจากที่องค์ท่านปรากฏขึ้น พวกเราก็เรียกองค์ท่านว่าเทพเจ้าอย่างต้านทานไม่ได้”
นกเขาราตรีมองภาพที่หายไปพวกนั้น ตัวสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ จากนั้นในยามที่มองไปทางเจ้านายที่อยู่ข้างหน้า ในดวงตาก็ยิ่งเลื่อมใส
ใต้แสงอาทิตย์อัสดง เงาร่างสองร่างเดินไปทางเมืองหลวงเขตปกครองผนึกสมุทร ยิ่งเดินยิ่งจากไปไกล
และในมณฑลรับเสด็จราชันที่ห่างจากที่นี่ไกลโพ้น ที่สำนักนำบารมี ตอนนี้ จากเสียงคำรามของเรือศึกบรรพกาล คนของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตที่เสร็จสิ้นภารกิจล้างสังหารครั้งนี้ ก็นั่งเรือศึกบรรพกาลมุ่งหน้ากลับมายังพันธมิตร
จากระลอกคลื่นของค่ายกลส่งข้าม เสี้ยวพริบตาต่อมา พวกคนของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตในฟ้าดินแห่งนี้ก็หายตัวไปหมด
ในยามที่ปรากฏตัวขึ้นก็มาอยู่ในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตแล้ว แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดทอฟ้าดิน และสาดมายังร่างของลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตที่กลับมาเหล่านี้ด้วยเช่นกัน ทว่า ลูกศิษย์จำนวนมากในนั้นในใจล้วนมีความหวาดกลัวหลงเหลือ
พลังเทพเจ้า ก่อนหน้านี้แม้ทุกคนจะรู้ว่ามันยิ่งใหญ่ทรงพลัง รู้ว่ามันสามารถเปลี่ยนแปลงฟ้าดิน ส่งอิทธิพลให้กับทุกสิ่งได้ แต่เรื่องพวกนี้ความจริงแล้วล้วนผิวเผิน
สำหรับวิธีการสำแดงโดยละเอียดของเทพเจ้า น้อยคนนักที่จะรู้ รู้เพียงแค่กลิ่นอายของมันกัดกินซึ่งสรรพชีวิต บริเวณที่จ้องมองไปกลายเป็นพื้นที่ต้องห้าม
และตอนนี้ พวกเขาเข้าใจในรายละเอียดเพียงเล็กน้อย…แต่แค่เพียงเล็กน้อยแค่นี้ก็ทำให้ในใจเกิดความหวาดกลัวสุดขีดอย่างไม่อาจควบคุมได้
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นอย่างนั้น ยังมีผู้บำเพ็ญส่วนน้อยอีกส่วนหนึ่ง หลังจากที่ได้รับรู้ทุกอย่างแล้ว ในใจยังคงมีจิตต่อสู้ลุกโชน สวี่ชิงคือหนึ่งในนั้น
เขาเคยเห็นเทพเจ้าลืมตาสองครั้ง ในขณะที่เขาโชคร้ายกว่าคนอื่น ก็มีส่วนที่โชคดีด้วย หนึ่งคือเขาไม่ตาย สองคือเขาเห็นมากขึ้น
ดังนั้น หลังจากกลับสำนัก สวี่ชิงไปที่หลุมฝังศพของนายท่านหกทันที ที่นั่น สวี่ชิงวางหัวของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องไว้หน้าหลุมศพ จากนั้นก็นั่งลง จ้องมองป้ายหลุมศพเงียบๆ
จากท้องฟ้าที่ค่อยๆ มืดลง สวี่ชิงถือกาสุราขึ้นมา หลังจากที่ดื่มลงไปอึกหนึ่ง ก็เอ่ยพึมพำเสียงเบา
“ยังไม่จบ”
“ยังไม่จบจริงๆ นั่นแหละ!” สิ่งที่ตอบสวี่ชิงกลับมาคือเสียงของนายท่านเจ็ดที่ดังมาจากข้างหลัง
นายท่านเจ็ดเดินมา ยืนข้างสวี่ชิง หลังจากกดไหล่ของเขาเบาๆ ส่งสัญญาณว่าไม่ต้องลุกขึ้นมาทำความเคารพ เขาก็มองป้ายหลุมศพและหัวของเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องที่อยู่ข้างล่าง
“เรื่องเทียนประทีปเป็นเรื่องที่หมื่นเผ่าไม่อาจยอมรับได้ เรื่องนี้ตอนนี้เป็นเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น ตัวตนของนายแห่งนกเขาราตรีคนนั้นข้าก็มองร่องรอยอะไรออกแล้ว เบื้องหลังของคนคนนี้…เป็นแผ่นดินเทวะ
“ยุคสมัยใหม่มาถึง ดังนั้นแผ่นดินเทวะสามสี่แห่งนั่นก็จะก้าวเข้ามาในแดนมนุษย์แล้ว” นายท่านเจ็ดเอ่ยเสียงเบา สวี่ชิงเงียบนิ่ง
นานหลังจากนั้น นายท่านเจ็ดก็ตบไหล่ของสวี่ชิงอีกครั้ง
“เขาไม่ใช่พี่ชายของเจ้าอีกแล้ว” นายท่านเจ็ดพูดพลางเดินจากไปไกล
สวี่ชิงร่างสะท้านเฮือก
นานหลังจากนั้น เขาหันไปมองทางที่นายท่านเจ็ดจากไป
สำหรับเรื่องนี้ เขาไม่ได้จงใจปิดบัง เพียงแต่ไม่อยากพูดเท่านั้น แต่เห็นได้ชัดว่าปิดท่านอาจารย์ที่ช่วงนี้ทุ่มเทกายใจไปศึกษาเรื่องเทียนประทีปไม่ได้เลย
ม่านราตรีโรยตัวมา สวี่ชิงลุกขึ้นยืน โค้งคารวะสุสานของนายท่านหก ก่อนจะหันหลังจากไป
เดินลงจากเขา เดินออกไปจากสำนัก เดินคนเดียวบนถนน มองท้องฟ้ายามราตรีคนเดียว
ลมเดือนสิบมาพร้อมด้วยความหนาวเย็นเล็กน้อย พัดมาจากทะเล กระทบบนร่าง บนใบหน้า บนผมของเขา
แต่สวี่ชิงไม่รู้สึกหนาว เขามองผู้คนบนถนน มองแสงไฟในทุกๆ ที่ จนเห็นร้านที่กำลังจะเก็บแล้วร้านหนึ่ง เจ้าของร้านเขารู้จัก
เป็นร้านอาหารเช้าที่เขามักจะไปกินเสมอตอนที่อยู่ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณตอนนั้นนั่นเอง อีกฝ่ายมายังแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ด้วยเช่นกัน อีกทั้งไม่ได้ขายแค่อาหารเช้าอย่างเดียวเท่านั้นแล้ว แต่เปิดขายตลอดทั้งวัน
อาจจะเป็นเพราะความเงียบเหงาในพันธมิตรช่วงนี้ ดังนั้นวันนี้จึงเก็บร้านเร็วขึ้นเล็กน้อย เจ้าของร้านนี้เห็นสวี่ชิงก็จำเขาได้เช่นกัน
“กินสักหน่อยมั้ยขอรับ”
สวี่ชิงพยักหน้า เดินไป ตอนนั่งลงเจ้าของร้านก็ตักน้ำแกงเนื้อชามหนึ่งให้สวี่ชิงอย่างดีใจ แล้วหยิบไข่มาอีกสามใบ สวี่ชิงซดไปหนึ่งอึก รสชาติที่คุ้นเคยทำให้ใบหน้ามีรอยยิ้มปรากฏขึ้น
ลมพัดมา แล้วพัดผ่านข้างกายสวี่ชิงไป แต่เรื่องพวกนี้ไม่สำคัญแล้ว
น้ำแกงอร่อยมาก สวี่ชิงดื่มช้าๆ อึกแล้วอึกเล่า จนเมื่อไม่เหลือแม้แต่หยดเดียวแล้ว เขาก็หยิบไข่ขึ้นมา ปอกเปลือกทีละนิดๆ แล้วกินมัน
เขาไม่ชอบปอกเปลือกไข่ แต่เทียบกับความรู้สึกพอใจที่ได้รับประเภทนั้นแล้ว เขาก็ยังคงปอกมันอย่างพิถีพิถัน
สุดท้ายเมื่อกินเสร็จ สวี่ชิงก็ลุกขึ้นอย่างพออกพอใจ จ่ายเหรียญวิญญาณ ประสานหมัดอำลาเจ้าของร้าน ภายใต้ท่าทางทำตัวไม่ถูกของเจ้าของร้าน ก็จากไปจากที่นี่ กลับไปยังท่าจอดเรือศึกเวท
“ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป ไม่รีบ…เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องเป็นแค่คนแรกเท่าน้้น” สวี่ชิงเงยหน้ามองจันทร์เพ็ญ สายตาฉายแววล้ำลึก หันหลังกลับมายังห้องเรือ หลังจากนั่งลงขัดสมาธิ ก็เริ่มฝึกบำเพ็ญ
ศึกนี้ เขาสังหารเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง กลืนกินวิหคทองของอีกฝ่าย วิหคทองของตัวเองยกระดับเป็นขั้นสองได้สำเร็จ มีกำลังรบเพิ่มขึ้นหนึ่งวัง นี่ทำให้เขาในตอนนี้แม้จะมีวังสวรรค์ที่แปรสภาพจากมายามาเป็นของจริงเพียงสองวัง แต่ทางด้านกำลังรบสามารถปะทุได้ถึงสามวัง
รวมกับวิชาของเขา สวี่ชิงสามารถสยบผู้บำเพ็ญสามวังได้ กระทั่งว่าหากใช้ลูกกลอนพิษต้องห้าม สวี่ชิงคิดว่าหากรวมกับการป้องกันจากกวสนสูงสุดของตัวเอง ขอเพียงผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณสี่วังไม่อาจทำลายพลังจากกวานสูงสุดได้ เช่นนั้นสุดท้ายแล้วก็จะต้องตายภายใต้ลูกกลอนพิษต้องห้ามของเขา
“แต่ข้ายังต้องขยันขึ้นอีก รีบแปรสภาพมายาวังสวรรค์วังที่สามให้เป็นของจริงให้ได้” สวี่ชิงพึมพำ สำรวจตัวเอง จากการที่เขาใช้วิชาพรางมารยาชิงมรรคาช่วงชิงแก่นลมปราณของศัตรูมาหลายครั้ง วังสวรรค์วังที่สามตอนนี้เป็นวัตถุจริงไปแล้วครึ่งหนึ่ง
ดูเหมือนไม่เร็วเท่าไร แต่หากเทียบกับผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์คนอื่น ความเร็วของสวี่ชิงเร็วมากๆ แล้ว ส่วนเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องเห็นได้ชัดว่าได้วาสนาอื่นมา ไม่นับว่าเป็นความเร็วปกติ
และเศษเสี้ยวเจตจำนงที่หลงเหลือในแก่นลมปราณที่เขาช่วงชิงมาเหล่านั้นก็ไม่อาจสั่นคลอนใดๆ เขาได้ทั้งสิ้น
ภูเขาจักรพรรดิภูตในทะเลความรู้สึกของเขาองค์นั้นสยบซึ่งทุกสิ่ง
เวลาก็หมุนผ่านไปช้าๆ เช่นนี้เอง ไม่นานนักก็ผ่านไปหนึ่งเดือน
ในเวลาหนึ่งเดือนนี้ พันธมิตรก็ได้กำจัดผลกระทบสุดท้ายจากเคราะห์ภัยครั้งนั้นโดยสิ้นเชิง ขณะเดียวกันก็เพิ่มจำนวนการรับลูกศิษย์ เพิ่มสมาชิกใหม่จำนวนมากเข้าสำนักต่างๆ
ขณะเดียวกันทางสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็มั่นคงก้าวหน้า ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากจอมคนบูรพาสงัดยอมรับคำเชิญของเสี่ยเลี่ยนจื่อ เกาะบูรพาสงัดไม่ได้เป็นเพียงแค่พันธมิตรเท่านั้น ตัวนางก็ร่วมกับสำนักเจ็ดเนตรโลหิตด้วย กลายเป็นบรรพจารย์ที่ปรึกษาของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต
การเข้าร่วมของนางทำให้พลังของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตพุ่งเพิ่มขึ้น รวมกับสำนักเจ็ดเนตรโลหิตชิงของวิเศษเวทต้องห้ามต้นไม้โลหิตมาได้ ทุกอย่างนี้ทำให้สำนักเจ็ดเนตรโลหิตอยู่ในพันธมิตรแปดสำนัก ตำแหน่งเลื่อนขึ้นมาอย่างมหาศาล
ในขณะที่ทุกอย่างพัฒนาไปในทิศทางที่ดี สวี่ชิงก็แปรสภาพวังสวรรค์วังที่สามของตัวเองให้เป็นวัตถุจริงได้แปดส่วนแล้ว ห่างจากสำเร็จโดยสมบูรณ์ไม่ไกลแล้ว
จิตใจของเขาก็ฟื้นฟูกลับมาไปกว่าครึ่งแล้ว เรื่องทุกอย่างถูกเขาฝังเอาไว้ใต้ก้นบึ้งหัวใจ
ส่วนบรรพจารย์สำนักวัชระกับเจ้าเงาก็ต่างทุ่มเทสุดกำลัง เพิ่มความพยายามเป็นเท่าตัวในการทะลวงขีดจำกัดของตัวเอง
และในตอนนี้เอง…ในพันธมิตรก็เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น!
เรื่องนี้เกิดขึ้นที่สำนักโลกันต์ทมิฬ
สถานที่คือในแดนต้องห้ามสำนักโลกันต์ทมิฬที่ตรึงอสรพิษปีศาจเอาไว้
เรื่องเกิดขึ้นเมื่อเช้าตรู่ของวันนี้ จากเสียงที่ดังสะท้านฟ้าสะเทือนดิน เสียงคำรามดังก้องไปทั่วทั้งพันธมิตร อสรพิษปีศาจในสำนักโลกันต์ทมิฬตัวนั้น วิญญาณของมันตื่นขึ้นแล้ว
เหตุที่ตื่นขึ้น ด้านหนึ่งคือถูกกระตุ้น อีกด้านหนึ่งคือในปากกระดูกของมัน เขี้ยวข้างหนึ่งของมันถูกคนไม่รู้ว่าใช้วิธีอะไรถอนออกไป
คนร้ายถูกจับได้ทันที เป็นอู๋เจี้ยนอูแห่งสำนักเจ็ดเนตรโลหิตนั่นเอง
ว่ากันว่าในตอนที่ถูกจับ อู๋เจี้ยนอูยังร่ายบทกลอนใส่อสรพิษปีศาจอยู่เลย…
นอกจากนั้นแม้คนจะถูกจับได้ ทว่าของกลางกลับหายไป
ตอนที่สวี่ชิงรู้เรื่องนี้ เขากำลังดื่มน้ำแกงที่ร้านอาหารเช้า เหยียนเหยียนอยู่ข้างๆ เหมือนภรรยาตัวน้อย ปอกเปลือกไข่ให้สวี่ชิงอย่างเรียบร้อยน่ารัก
ไม่นานนักสวี่ชิงก็วางช้อนลงเงยหน้าขึ้น มองเงาร่างที่มาอย่างเร่งร้อน
เป็นนายกองนั่นเอง
เขามาถึงอย่างรวดเร็ว นั่งลงข้างกายสวี่ชิง มองไปรอบๆ อย่างร้อนตัว
“นายกองสีหน้าของท่านดูไม่ดีเอาเสียเลยไปทำเรื่องไม่ดีมาใช่หรือไม่” สวี่ชิง น้ำแกงอึกหนึ่งพลางเอ่ยถามเสียงเบา
“อาชิงน้อยเจ้าอย่าได้พูดมั่ว แค่อากาศเย็นข้าก็เลยเป็นหวัดนิดหน่อยเท่านั้น” นายกองกระแอมไอขึ้นมา สีหน้าจริงจัง
“จริงสิ ยังจำเรื่องใหญ่ที่ข้าบอกกับเจ้าว่าจะไปทำครั้งที่แล้วได้ใช่หรือไม่ ข้าเตรียมตัวจะออกเดินทางสักหน่อย พวกเจ้าสองคนไปหรือไม่”