ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 332 อย่าทิ้งของเรี่ยราดเพื่อเชื้อเชิญโจร
บทที่ 332 อย่าทิ้งของเรี่ยราดเพื่อเชื้อเชิญโจร
การสังหารบนพื้นดิน ไม่สามารถหยุดการเคลื่อนไหวของสวี่ชิงกับนายกองได้
ต่อให้รอบด้านมีอันตรายอยู่มากมาย แต่จากการเข้าใกล้ถ้ำพำนักด้านหน้าเรื่อยๆ ดวงตาของสวี่ชิงก็เผยประกายคมปลาบ ในดวงตานายกองแผ่ความบ้าคลั่งออกมา
ต้องพูดว่าจังหวะที่นายกองเลือกมาคือถูกต้องอย่างมาก ถ้ำพำนักที่เทพวิญญาณโยวจิงอยู่ พูดตามหลักการคือในสถานการณ์ปกติ พวกของสวี่ชิงทั้งสามคนไม่มีทางเข้าใกล้ได้เลย
อันดับแรกพวกเขาต้องผ่านศิษย์ไตรวิญญาณมากมายในเมืองด้านล่าง จากนั้นพวกเขาต้องต่อกรกับแรงกดดันของภูเขาดำทมิฬรวมถึงพวกค่ายกลต้องห้ามที่แฝงไว้ด้านใน
และท้ายสุด พวกเขายังต้องเผชิญหน้ากับพลังที่น่ากลัวของเทพวิญญาณโยวจิงอีก
ในนี้ไม่ว่าจะจุดใด ก็ล้วนทำให้แผนการล้มเหลวได้ทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอันตรายระดับความเป็นความตายมหาศาลอยู่ด้วย พูดว่ารอดหนึ่งส่วนตายเก้าส่วนก็ไม่เกินเลย โดยพื้นฐานคือเข้าไปได้แต่ไม่มีวันกลับ
ทว่าปัจจุบัน อุปสรรคทั้งหมดกลายเป็นหมอกควัน ศิษย์ไตรวิญญาณส่วนใหญ่บนพื้นดิน กำลังเข้าปะทะกับผู้ครองกระบี่ สนามรบที่วุ่นวายนี้ ทำให้พวกเขาทั้งสามคน เขามาที่ตีนเขาได้อย่างราบรื่น
ส่วนแรงกดดันที่มาจากภูเขาดำทมิฬรวมถึงค่ายกลต้องห้ามอีกมากมายก็เสียหายไปส่วนใหญ่แล้วก่อนหน้านี้จากการลงมือของผู้ครองกระบี่ แม้จะยังมีส่วนที่เหลืออยู่ แต่พลานุภาพก็สู้ก่อนหน้าไม่ได้
ถึงอย่างไรตัวภูเขาก็ถล่มไปแล้วครึ่งหนึ่ง ถ้ำพำนักก็เผยโพรงถ้ำขนาดใหญ่ออกมา
และภูเขาปรากฏร่องรอยการถูกทำลายขึ้นมาที่ใต้เท้าของพวกเขาทั้งสามคนจากการเข้าใกล้ เห็นอัสนีหลายสายแล่นอยู่ในร่องแตกของหิน อักขระที่พังยับเยินก็ล้วนเปล่งแสงหม่นออกมา
และยังมีบางจุดมีควันดำขโมงออกมาด้วย ยิ่งไปกว่านั้นภูเขาก็เต็มไปด้วยรอยแตกระแหง ต้นไม้แห้งเหี่ยว กระทั่งเศษหินมากมายยังร่วงลงมาไม่หยุด ราวกับว่าภูเขาลูกนี้จะถล่มลงมาได้ตลอดเวลา
ศพกองอยู่เต็มพื้น ผู้บำเพ็ญไตรวิญญาณบางคนที่ยังรอดชีวิตหนีออกไปด้วยความกลัว ไม่กล้าอยู่ที่นี่ ต่อให้เห็นพวกสวี่ชิงทั้งสามคนก็ไม่มีใครสนใจ รีบร้อนหนีตายออกไปหมด
ส่วนด้านบน ตำแหน่งถ้ำนั้น ก็เห็นสิ่งของบางส่วนระเกะระกะอยู่ที่พื้นในถ้ำพำนัก
สิ่งของเหล่านี้ ทำเอานายกองดวงตาเปล่งประกายไม่มีที่สิ้นสุด สวี่ชิงก็จิตใจสั่นสะเทือน
พวกเขาเห็นแสงสมบัติเจิดจ้า เห็นสิ่งของที่เหมือนทำขึ้นจากหยกเซียนมากมาย และยังมีสมบัติอีกนับไม่ถ้วน กระทั่งโต๊ะเก้าอี้ทุกตัวในถ้ำพำนักยังเป็นอาวุธเวทระดับสูงทั้งสิ้น
แม้ตอนนี้จะระเนระนาดไปหมด กระทั่งยังมีโครงกระดูกคนรับใช้ต่างเผ่าบางส่วนที่ถูกสะกดจนตายไปจากการลงมือของผู้ครองกระบี่อาวุโสก่อนหน้านี้
แต่ทั้งหมดทั้งมวล ก็ขวางความร้อนแรงของนายกองไม่ได้ ความเร็วของเขาเร็วขึ้นกว่าเดิมด้วยสัญชาตญาณ แม้สวี่ชิงจะมองจ้องสมบัติเหล่านั้น แต่หลังจากสังเกตเห็นถึงความเร็วของนายกอง ก็ครุ่นคิดขึ้นมา
ต้องรู้ว่าสวี่ชิงในปัจจุบันมีพลังต่อสู้ที่สามวังสวรรค์ แต่นายกองทางนั้นดูแล้วเหมือนจะยังไม่ใช่แก่นลมปราณ ทว่าการระเบิดของความเร็วเมื่อครู่นี้ สวี่ชิงแทบจะรู้สึกไม่แตกต่างกับตนเลย
แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกเกินคาดนัก เดิมทีเรื่องนี้ก็อยู่ในการคาดเดา เวลานี้ถอนสายตากลับมา พุ่งทะยานสุดกำลัง เข้าใกล้ถ้ำพำนักเรื่อยๆ พร้อมกับนายกอง
แต่ว่าแม้ค่ายกลต้องห้ามในภูเขานี้จะพังทลายลงไปก่อนหน้า ทว่าที่เหลืออยู่เหล่านั้นสำหรับพวกเขาแล้วก็ถือว่ายังมีพลังสังหารอยู่ ดังนั้นพริบตาต่อมาสวี่ชิงก็หน้าเปลี่ยนสี ร่างกายถอยฉากอย่างรวดเร็ว
เส้นใยสีดำเส้นหนึ่ง ปรากฏขึ้นกะทันหันเบื้องหน้าเขา กวาดมา กลิ่นอายไอพลังประหลาดที่เข้มข้นวูบหนึ่งก็แผ่ออกมาจากเส้นใยนี้จากการเข้าใกล้
พริบตาที่สวี่ชิงถอยหลัง เส้นใยสีดำเข้าประชิด แฉลบวูบผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ยังดีที่สวี่ชิงฉากหลบได้ทันท่วงที แต่ก็ยังตัดขาดเส้นผมกระจุกหนึ่งปลิวไปในพริบตา
ส่วนนายกองก็พุ่งทะยานเร็วเกินไป ฉากหลบไม่ทัน มือซ้ายถูกตัดจนขาด แต่เขาเองก็โหดเหี้ยม คว้าท่อนที่ขาดไปต่อไว้กับรอยตัดที่แขน กดลงไปแรงๆ ก็ฟื้นฟูกลับมาในพริบตา
“แค่ค่ายกลต้องห้าม จะมาขวางข้าได้อย่างไร!”
นายกองคำรามเสียงต่ำ คิดจะพุ่งไปต่อ แต่พริบตาต่อมา เบื้องหน้าก็มีเส้นแสงสว่างวาบ ปรากฏเส้นใยอีกนับร้อย หวีดหวิวพุ่งเข้ามาทางเขากับสวี่ชิง ถักทอสลับกันราวกับตาข่ายใหญ่ผืนหนึ่ง
ไอพลังประหลาดที่เข้มข้นยิ่งกว่าแผ่ออกมา
ไอพลังประหลาดเช่นนี้สำหรับผู้บำเพ็ญแล้วเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงให้ห่าง นางจึงนำมาใช้เป็นพลังของค่ายกลต้องห้าม
สวี่ชิงหรี่ตาลง พริบตาที่เส้นใยไอพลังประหลาดนับร้อยพุ่งเข้ามา เขาไม่ลังเลแม้แต่น้อย ควบคุมเจ้าเงามาขวางไว้เบื้องหน้าทันที
พริบตาต่อมา ตาข่ายที่ก่อตัวขึ้นจากเส้นใยนับร้อยก็สัมผัสเข้ากับเจ้าเงา
ขณะที่เจ้าเงาส่งคลื่นอารมณ์สนุกสนานเล็กน้อยออกมา ตาข่ายเส้นใยนั่นก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เลือนรางลงต่อหน้าเจ้าเงา ส่วนที่สัมผัสกันก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว แล่นผ่านหน้าสวี่ชิงไป
เนื่องจากเหยียนเหยียนอยู่ข้างหลังสวี่ชิง จึงหลบพ้นไปโดยปริยาย
แต่เนื่องจากนายกองวิ่งเร็วเกินไป อยู่ห่างไกลเกินไป จึงหลบไม่พ้น
ทว่าเขาเองก็มีวิธีการของเขา ไม่หลบเลี่ยงแม้แต่น้อยจากการที่เส้นใยเหล่านั้นตรงเข้ามา หลังจากยอมให้เส้นใยพาดผ่าน ร่างของเขาก็กลายเป็นชิ้นๆ นับสิบในพริบตา
แต่หลังจากเส้นใยผ่านไป เลือดเนื้อนับสิบชิ้นนี้ก็ลอยขึ้นมารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ก่อตัวขึ้นมาเป็นร่างของนายกองอีกครั้ง
“ฮ่าๆ อาชิงน้อย เป็นอย่างไร วิธีการของข้า เจ้ายอม…” นายกองหันหน้ากลับมาอย่างภูมิใจ คิดจะโอ้อวดเสียหน่อย แต่หลังจากที่เห็นสวี่ชิงไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน ตาข่ายเส้นใยนั่นผ่านตัวพวกเขาแล้วสลายหายไปเอง เขาก็อึ้งไปครู่หนึ่ง มองสวี่ชิงอย่างสงสัย
“เจ้าทำได้อย่างไร”
สวี่ชิงกระพริบตาปริบๆ มองตานายกองอย่างตั้งใจแล้วส่ายหัว
“พวกมันขาดไปเอง น่าจะเพราะค่ายกลต้องห้ามถูกทำลายจนพังมากเกินไป ผลของมันเลยใช้ไม่ได้แล้ว”
นายกองเงียบนิ่ง ก้มหน้ามองร่างของตนเองที่ยังมีรอยแดงตัดอยู่ เขาจู่ๆ ก็รู้สึกเหนื่อยใจ จึงเดินไปด้านหลังสวี่ชิงเงียบๆ อยู่กับเหยียนเหยียน กระแอมไอ
“ศิษย์น้องเล็ก พวกเราไปต่อเลยดีหรือไม่”
สวี่ชิงมองนายกองที่อยู่ด้านหลัง นายกองก็มองสวี่ชิง
สวี่ชิงไม่พูดอะไร ร่างกายโยกไหวพุ่งตรงไปยังถ้ำพำนักด้านหน้า ครั้งนี้นายกองไม่คิดจะขึ้นหน้าแล้ว แต่ตามไปด้านหลังกับเหยียนเหยียนอย่างว่าง่าย
แม้ทั้งสามคนจะตรงไปอย่างรวดเร็วตลอดทางเช่นนี้ แต่กลับระมัดระวังอย่างมาก ค่อยๆ เข้าไปใกล้ถ้ำพำนัก
ระหว่างทางพวกเขายังพบกับค่ายกลต้องห้ามอีกบางส่วน แต่ก็พวกเขาเลี่ยงออกมาได้ บางครั้งที่เลี่ยงไม่ได้ แต่เนื่องจากค่ายกลต้องห้ามเหล่านี้แฝงไว้ด้วยพลังไอพลังประหลาด ดังนั้น…สำหรับเจ้าเงาแล้ว อาหารรวมตัวกันเป็นวัตถุ มันก็กินได้หมด
ดังนั้นไม่นาน ในที่สุดพวกเขาทั้งสามคนก็มาถึงด้านหน้าถ้ำภูเขา ยืนอยู่ตรงนี้ กระทั่งยังได้กลิ่นหอมแผ่ออกมาจากด้านในถ้ำพำนักด้วย
ศึกบนท้องฟ้าก็กำลังรุนแรงขึ้นเวลานี้ ภูเขาลูกที่หนึ่งเสียงคำรามกราดเกรี้ยวโหมขึ้นฟ้า โครงกระดูกภูเขาลูกที่สองก็สูสี ส่วนภูเขาลูกที่สามเทพเทพวิญญาณโยวจิงที่แปลงกายเป็นสามร่าง ร่างทั้งสามก็กำลังถอยกลับอย่างเสียเปรียบ ส่งเสียงร้องแหลมออกมา
“พวกเราต้องเร่งมือ ไม่เช่นนั้นถ้ารอจนพวกเขาสู้จบ พวกเราคง…” สวี่ชิงมองเห็นฉากนี้ก็เอ่ยขึ้นทันที แต่ยังพูดไม่ทันจบ นายกองข้างๆ ก็ดวงตาเปล่งประกายร้อนแรง พุ่งเข้าไปในถ้ำแล้ว
พริบตาหลังจากเข้าไป สวี่ชิงก็เห็นนายกองตรงไปทางยังนกกระเรียนเซียนหินหยกประณีตหรูหราและยังมีพลานุภาพที่ไม่ธรรมดาแผ่ซ่านออกมา ที่อยู่กำลังส่องแสงเจิดจ้าอยู่ที่มุมกำแพงตัวหนึ่ง กัดลงไป
เสียงกร๊อบดังขึ้น หัวของกระเรียนเซียนตัวนั้นถูกนายกองกินเข้าไปแล้ว
“ทำจากหยกเซียน หรูหราเกินไปแล้ว เจ้านี่มันของดีเลย ตัวนี้นะต่อให้หลายล้านก้อนหินวิญญาณก็ซื้อไม่ได้!” เสียงของนายกองดูตื่นเต้น รีบจัดการเก็บกระเรียนเซียนไม่มีหัวตัวนี้ลงไป
สวี่ชิงก็ไม่ชักช้า รีบเดินเข้าไปในถ้ำพำนัก ยกมือขวาขึ้น จากนั้นโคมไฟที่อยู่รอบๆ ก็ลอยมาทางเขา
โคมไฟเหล่านี้ทุกดวงล้วนไม่ธรรมดา แผ่คลื่นพลังที่น่าตกตะลึงออกมา แม้จะไม่ใช่ตะเกียงแห่งชีวิต แต่เห็นได้ชัดว่ามีมูลค่าไม่ธรรมดา
สวี่ชิงรู้สึกว่าในถ้ำพำนักของผู้บำเพ็ญผู้ยิ่งใหญ่หวนสู่อนัตตาคนหนึ่ง สมบัติจะต้องมีอยู่ไม่น้อยเลย แต่ตอนนี้เวลามีจำกัด ไม่สามารถตรวจค้นอย่างละเอียดได้ ดังนั้นหยิบได้เท่าไรก็หยิบไปเท่านั้นแล้วกัน
พอเก็บโคมไฟแล้ว สวี่ชิงก็เริ่มย้ายพวกเครื่องเรือน ส่วนนายกองกลับรีบทะยานไปยังไข่มุกที่สลักอยู่ในกำแพงรอบๆ เหล่านั้น เห็นการย้ายเครื่องเรือนของสวี่ชิง เขาก็กระหยิ่มยิ้มย่อง รู้สึกว่าสวี่ชิงสู้ตนเองในเรื่องนี้ไม่ได้ ของดีๆ สลักอยู่บนกำแพงต่างหาก
สวี่ชิงเลิกคิ้ว หันหลังทะยานตรงไปยังห้องพัก จัดการเก็บเตียงใหญ่และของสัพเพเหระในห้องพักลงไปด้วย
ปกติแล้ว ในห้องของเจ้าของ มักจะมีของติดตัวอยู่เสมอ สวี่ชิงรู้สึกว่าในนี้น่าจะดีกว่า
นายกองกระพริบตาปริบๆ ตรงไปยังห้องพักอีกห้องหนึ่งด้วยเช่นกัน จากนั้นก็แยกร่างออกค้นหา ความเร็วเหนือกว่าสวี่ชิงมากพอดู
แต่ถ้ำพำนักนี้ก็ใหญ่เสียเหลือเกิน พวกเขาไม่อาจค้นทั้งหมดได้ในเวลาอันน้อยนิด ทำได้เพียงเห็นอะไรก็หยิบอันนั้น แต่หลังจากสังเกตความเร็วของตนเองแล้ว นายกองเองก็ยังรู้สึกภูมิใจ
“อาชิงน้อยหนออาชิงน้อย ครั้งที่แล้วในเผ่าสิงซากสมุทร เจ้าสูดรับไปมากกว่าข้า แต่ครั้งนี้คงไม่มากกว่าข้าแน่!”
นายกองอารมณ์ดี อันที่จริงครั้งที่แล้ว เขาก็จดจำมาตลอดว่าสวี่ชิงสูดรับวารีศักดิ์สิทธิ์ไปมากกว่า รู้สึกไม่ค่อยยินยอม เมื่อเห็นว่าครั้งนี้ความเร็วตนเองมากกว่าสวี่ชิง เขาก็ฮึกเหิมขึ้นมา
สวี่ชิงก็สังเกตเห็นความเร็วในการเก็บกวาดของนายกอง แต่สีหน้าเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไป เหลือบตามองไปนอกถ้ำ มองเหยียนเหยียนที่เดินเข้ามา
เหยียนเหยียนเดินเข้ามาในถ้ำพำนัก มองดูพื้นที่เกลี้ยงเกลา จากนั้นก็มองนายกองที่กำลังสาละวนอยู่ นางลังเลครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าตนเองควรจะหยิบจับอะไรดี ดวงตาจึงเผยแววครุ่นคิด
ตอนนี้เอง สวี่ชิงก็เดินเข้ามา
“เหยียนเหยียน เจ้าคิดว่าจุดที่สำคัญที่สุดในถ้ำพำนักสำหรับผู้บำเพ็ญหญิงคือที่ไหนกัน” สวี่ชิงถาม
“จุดแต่งตัวแต่งหน้ากระมัง” เหยียนเหยียนตอบอย่างรวดเร็ว สวี่ชิงตาเป็นประกาย หลังจากมองไปรอบๆ ก็เดินตรงไปห้องข้างๆ ห้องหนึ่งอย่างรวดเร็ว
หลังจากเปิดห้องข้างๆ นี้ ด้วยพลังการวิเคราะห์ของสวี่ชิงก็ยังต้องสูดปาก ถลึงตาโต
ในห้องข้างๆ นี้มีกระจกน้อยใหญ่อยู่นับสิบบาน และกระจกทุกบานล้วนแผ่คลื่นไม่ธรรมดาออกมา แค่มองก็รู้ว่าคุณสมบัติน่าตกตะลึง และยังมีกลิ่นหอมของยาเข้มข้นกับกลิ่นอายวิญญาณเซียนอยู่ แผ่ซ่านมาจากด้านใน
ไกลออกไปหน่อย มีราวเสื้อผ้าอีกเป็นทิว อาภรณ์วิเศษที่แต่ละตัวล้วนแผ่กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นออกมาแขวนเอาไว้เป็นระเบียบ ทุกตัวล้วนทำให้สวี่ชิงรู้สึกหายใจหอบถี่
หยกเซียนที่กระจายอยู่เต็มบนนั้นรวมถึงสมบัติประหลาดมหัศจรรย์อีกมากมายทำให้วังสวรรค์มายาในร่างกายสวี่ชิงถึงกับสั่นสะเทือนขึ้นมาจริงๆ สัญชาตญาณของเขาบอกว่าที่นี่มีสิ่งที่ทำให้วังสวรรค์ของตนเองกลายเป็นภาพจริงขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วอยู่
เจ้าเงาบนพื้นก็ตื่นเต้น จ้องขวดเหล่านั้นเขม็ง มันสัมผัสได้ถึงสิ่งของพิเศษบางอย่างที่มีประโยชน์ต่อการยกระดับของตนเอง
บรรพจารย์สำนักวัชระเองก็เช่นกัน จ้องที่กระจกเหล่านั้นเขม็ง สัญชาตญาณของเขาบอกกับตนเองว่า ในกระจกเหล่านี้ผนึกวิญญาณศัสตราเอาไว้ และการกลืนกินวิญญาณศัสตราก็จะช่วยการยกระดับพลังบำเพ็ญของเขาอย่างมาก ดีกว่าการกลืนวิญญาณเป็นไหนๆ
สวี่ชิงก็สูดปาก ไม่พูดพร่ำทำเพลง มือใหญ่โบก ฉับพลันก็จัดการเก็บกระจกและขวดเหล่านั้นลงไปอย่างรวดเร็ว เหยียนเหยียนเองก็มาช่วยเก็บอยู่ข้างๆ
น่าเสียดายที่เสื้อผ้าเหล่านั้นแปลกประหลาดและใหญ่เกินไป เต็มไปด้วยแสงวิบวับ ไม่สามารถเก็บลงไปในถุงเก็บของได้ ทำให้สวี่ชิงรู้สึกเสียดาย
ไม่นานนายกองก็สัมผัสถึงอะไรบางอย่างได้ รีบดิ่งเข้ามาจากด้านนอก หลังจากเดินมาถึงที่นี่ ไม่รอให้เขาได้มองไปรอบๆ สวี่ชิงก็ชี้ไปที่ราวเสื้อผ้าห่างออกไปทันที
“ศิษย์พี่ใหญ่ อาภรณ์วิเศษอยู่ทางนั้น!”