ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 334 หอมเตะจมูก
บทที่ 334 หอมเตะจมูก
สิ่งที่ทำให้นายกองคลุ้มคลั่งคือร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงที่ร่วงลงมาและกลิ่นอายเข้มข้นที่แผ่ซ่านมาจากบริเวณปากแผล รวมถึงพลังวิญญาณ
ร่างนี้ไม่ได้ประกอบจากเลือดเนื้อจริงๆ แต่แปลงมาจากต้นไม้วิญญาณ
แม้จะไม่รู้ว่าเป็นต้นไม้วิญญาณประเภท.f แต่เติบได้ใหญ่โตถึงเพียงนี้ก็เห็นได้ชัดว่าเทพวิญญาณโยวจิงทุ่มเทกำลังกายกำลังใจกับมันไปอย่างมหาศาล
ร่างนี้คือของวัตถุดิบฟ้าสมบัติดิน
แต่อันตรายก็น่าสะพรึงกลัวเช่นกัน
ตอนนี้จากที่มันร่วงลงมา ก็จะเห็นได้ว่ามิติรอบๆ กำลังบิดเบี้ยว เกิดเป็นระลอกคลื่นน่าหวาดหวั่น ยิ่งมีพลังกดดันท่วมฟ้าลอยเอ่ออยู่ในนั้น เมื่อรวมกับกลิ่นอายของมันก็เกิดเป็นพลังโจมตี
ในการโจมตีที่ไร้รูปร่างนี้ หินผาและต้นไม้ใบหญ้าทุกอย่างรอบๆ ล้วนกลายเป็นผุยผงทันที กระทั่งว่าแม้แต่พื้นดินก็กำลังถูกกัดกินเช่นกัน
จินตนาการได้ว่าทันทีที่เข้าใกล้จะต้องเกิดวิกฤตชีวิตความเป็นตายแน่นอน
แต่ทุกอย่างต้านทานความฮึกเหิมและความบ้าระห่ำในดวงตานายกองไม่ได้
“ของดี ของดี! นี่ไม่ใช่ร่างที่เป็นเลือดเนื้อ นี่คือร่างต้นไม้วิญญาณ เป็นสมบัติของล้ำค่า! เทพวิญญาณโยวจิงไปได้ต้นไม้วิญญาณร่างมนุษย์แบบนี้มาจากแห่งหนใดกัน!”
นายกองตื่นเต้น ส่วนเหยียนเหยียนก็มองนายกองเหมือนเห็นผี
นางรู้สึกว่าคนคนนี้ไม่ใช่คนบ้า แต่เป็นคนบ้าท้านรก
แม้ร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงจะเป็นของดี แต่ขนาดอยู่ห่างไกลลิบลับขนาดนี้นางยังรู้สึกหวาดหวั่น วิกฤตชีวิตความเป็นตายรุนแรง เลือดเนื้อทุกอณูทั่วร่างเหมือนกำลังกรีดร้องเตือนให้นางหนีไปให้เร็วที่สุด
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเข้าไปใกล้เลย ระลอกคลื่นพลังไร้รูปร่างรอบๆ ร่างแยกนั่น วัตถุอย่างหินผาแหลกละเอียด เหยียนเหยียนเห็นแล้วจิตใจสั่นสะท้านหวาดหวั่นพรั่นพรึงนัก
ดังนั้นนางจึงกำลังจะอ้าปาก ทว่าหลังจากนั้นนางก็สังเกตเห็นสีหน้าของสวี่ชิงที่อยู่ข้างๆ เห็นประกายที่ฉายออกมาจากในดวงตาของเขาเหมือนกับนายกองทุกประการ
เหยียนเหยียนเงียบนิ่ง เสี้ยวขณะต่อมา นางก็พลันเอ่ยขึ้น
“พี่สวี่ชิง ไม่อย่างนั้นพวกเราไปกินสักคำดีหรือไม่”
สวี่ชิงหวั่นไหว
ความบ้าระห่ำของสวี่ชิงไม่เหมือนนายกอง
พูดให้ถูกต้องคือ สวี่ชิงชอบที่จะวิเคราะห์ระดับความอันตรายมากกว่า แม้จุดนี้นายกองจะมีเหมือนกัน แต่หลายๆ ครั้งเขามักจะเมินมัน
สำหรับนายกองแล้ว เพียงของวิเศษดีพอ ชีวิตนับเป็นอะไร
เนื้อชุ่มเลือดจวีอิงตอนนั้นเขายังกล้าไปแย่ง แหลกละเอียดไปครึ่งตัวยังไม่เสียดาย
ในเผ่าสิงซากสมุทรก็ยิ่งกล้าไปแทะนิ้วเท้าของเทวรูปบรรพชนศพเพราะเขารู้สึกว่าไม่ตื่นเต้น อยากเอาชนะ
แล้วยังมีที่เกาะดาราสมุทร นายกองเหลือเพียงแค่ศีรษะก็ยังให้สวี่ชิงโยนเขาไปเพื่อที่จะกัดร่างหอมหวลของไป๋ลี่สักคำ
ดังนั้นในสายตาของนายกองตอนนี้ไม่มีสิ่งอื่นแล้ว อันตรายหรือพลังกดดันอะไรล้วนไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือ…ของวิเศษอยู่ข้างหน้าแล้ว!
แต่สวี่ชิงไม่เหมือนเขา
เขามองความไม่ธรรมดาของร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงออก และรู้สึกว่านั่นไม่ใช่ร่างเลือดเนื้อจริงๆ เป็นร่างที่แปลงมาจากต้นไม้วิญญาณ
สมบัติล้ำค่าประเภทนี้มีผลดีต่อการฝึกบำเพ็ญของเขาอย่างมหาศาล ดังนั้นเขาจึงหวั่นไหว
ส่วนเทพวิญญาณโยวจิงที่อยู่บนท้องฟ้าก็พ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง ถูกผู้ครองกระบี่สามคนล้อมโจมตี นี่ก็คือโอกาส
ดังนั้นในสายตาของเขาจึงฉายความบ้าระห่ำ จะเข้าไปสู้สุดชีวิตสักตั้ง
สิ่งเดียวที่ต้องพิจารณาคือร่างแยกนั่นถึงอย่างไรก็เป็นร่างแยกของเทพวิญญาณโยวจิง ความรุนแรงของพลังกดดันบนร่าง ต่อให้เป็นสวี่ชิงก็ยังอกสั่นขวัญแขวน รู้สึกว่าทุกอย่างของร่างกายล้วนถูกควบคุม คิดอยากจะหลบไปตามสัญชาตญาณ
สามารถจินตนาการได้ว่าความยากของการเข้าใกล้ร่างแยกนั้นมีไม่น้อยเลย ดังนั้นสวี่ชิงจึงมองไปทางนายกอง
นายกองตอนนี้ก็มองมาทางสวี่ชิงเช่นกัน
ทั้งสองคนต่างมองเห็นแสงความปรารถนาในดวงตาของซึ่งกันและกัน
“ต้องใช้อาวุธเวทที่ต้านทานพลังกดดัน!” สวี่ชิงเอ่ยอย่างรวดเร็ว
“ข้ามี!” นายกองหายใจหอบถี่ หยิบเอาอาวุธเวทต้านทานพลังกดดันมากมายออกมา มีจำนวนถึงยี่สิบกว่าชิ้น
สวี่ชิงค่อนข้างแปลกใจว่าทำไมนายกองถึงเตรียมของพวกนี้
“ของพวกนี้เป็นของที่ข้าเตรียมเอาไว้ในตอนนั้นที่พวกเรายังไม่ได้มามณฑลรับเสด็จราชัน เดิมทีจะเอาไว้ตอนไปรังเก่าวิหคเพลิงสวรรค์เพื่อไปเอาอะไรบางอย่าง ข้าคิดว่าแรงกดดันที่นั่นจะต้องหนักหน่วงสาหัสแน่ น่าเสียดายที่พวกเรามามณฑลรับเสด็จราชันเลยต้องปล่อยวิหคเพลิงสวรรค์นั่นไปสักครั้ง
“ตอนนี้เอามาใช้ที่นี่ก็ไม่นับว่าเสียเปล่า แต่สวี่ชิงเจ้าต้องให้ข้าเบิกนะ ข้าไม่มีเงินแล้ว” นายกองพูดรัวเร็ว แบ่งอาวุธเวทพวกนี้ให้สวี่ชิง
เรื่องนี้อันตรายเป็นอย่างยิ่ง พลังบำเพ็ญของเหยียนเหยียนยากจะต้านทาน ดังนั้นหลังจากสวี่ชิงหารือกับนายกอง ก็ไม่ได้ให้เหยียนเหยียนร่วมด้วย
ไม่นานนัก หลังจากทั้งสองทำการเตรียมตัว ต่างตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแล้ว ก็พุ่งออกไปท่ามกลางความหวาดหวั่นของเหยียนเหยียน ตรงดิ่งไปยังบริเวณร่างแยกร่างนั้นอยู่
รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เพียงพริบตาก็บินออกไปหลายสิบจั้งแล้ว
และพลังกดดันที่มาจากร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงในเสี้ยวพริบตานี้ก็รุนแรงทรงพลังขึ้นมาจากการเข้าใกล้
มิติรอบๆ เหมือนแข็งค้าง กลิ่นอายจากร่างแยกและการโจมตีไร้รูปร่างดุจทลายสมุทรถล่มภูเขาระลอกแล้วระลอกเล่าแผ่ซ่านมารอบๆ อย่างไรลำดับ
สวี่ชิงและนายกองสัมผัสได้อย่างลึกซึ้ง ทั้งสองต่างหน้าขาวซีด เลือดไหลจากมุมปาก อาวุธเวทต้านทานพลังกดดันที่กระตุ้นบนร่างต่างโคจรเต็มกำลัง
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น พลังกดดันนี่ก็ยังรุนแรงอยู่ดี
กระทั่งมองไปก็จะเห็นว่ารอบๆ ร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิง มิติยิ่งบิดเบี้ยวมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากการทับซ้อนไร้รูปร่างของมิติเกิดเป็นสายฟ้าสีดำเป็นทางๆ
เห็นแล้วชวนให้ประหวั่นพรั่นพรึงนัก ทำให้คนหวาดกลัวโดยสัญชาตญาณ
แต่ในใจสวี่ชิงกับนายกองไม่มีความคิดที่จะยอมแพ้ใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งสองคนหมอบบนพื้น คลานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
อย่างไรเสียหากยืนก็จะง่ายต่อการดึงดูดสายฟ้า อีกทั้งโอกาสถูกโจมตีก็สูง มิสู้คลานบนพื้น สะดวกในการเข้าไปใกล้มากกว่า
เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องหารือ เป็นการกระทำที่เป็นไปโดยสัญชาตญาณของทั้งสองคน
เวลาก็ไหลผ่านไปเช่นนี้เอง การสังหารบนท้องฟ้าก็ยังคงดำเนินไป ข้างล่างภูเขาเสียงดังกึกก้องท่วมฟ้า และบริเวณที่ร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงอยู่ เงาร่างของสวี่ชิงและนายกองก็กำลังเข้าใกล้เข้าไปอย่างต่อเนื่อง
พลังกดดันมาเยือน กลิ่นอายแผ่ซ่าน เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นจากการโจมตี การระเบิดฟาดผ่าจากสายฟ้า ล้วนไม่อาจต้านทานเงาร่างของพวกเขาได้
และจากการเข้าใกล้ อาวุธเวทของพวกเขาก็ทยอยแบกรับไม่ไหว เริ่มระเบิดไปทีละชิ้นๆ
ต่อให้นายกองเตรียมไว้มากแค่ไหนก็ยังไม่พอ โดยเฉพาะเมื่อเข้าไปใกล้ในระยะร้อยจั้ง พลังกดดันที่นี่ก็ยิ่งรุนแรง เกิดเป็นพลังต้านมหาศาล กระทั่งว่าเกิดแรงผลักรางๆ
เหมือนมีมือนับไม่ถ้วนผลักมาบนร่างของพวกเขาสุดกำลัง จะผลักพวกเขาออกไปจากที่นี่
ร่างของสวี่ชิงและนายกองสั่นเทิ้ม พวกเขาจึงเอาเศษผ้าที่เอามาจากถ้ำของเทพวิญญาณโยวจิงออกมา
การปรากฏขึ้นของเศษผ้าพวกนี้ทำให้พลังกดดันบนร่างของพวกเขาสลายไปเล็กน้อย แต่แรงต้านยังคงอยู่ ไม่สามารถกำจัดออกไปได้
อีกทั้งยิ่งเข้าไปใกล้ แรงต้านและแรงผลักก็ยิ่งรุนแรง แต่ว่าพวกเขาก็ยังคงกัดฟัน ค่อยๆ คลานไปข้างหน้า
จวบจนหลังจากนั้นครู่หนึ่ง สวี่ชิงก็พลันมองจ้องเพ่งไปอีกทางหนึ่ง
นายกองก็สัมผัสได้ในเวลาเดียวกัน มองไปด้วยสายตาจ้องเพ่งเช่นกัน
เสี้ยวพริบตาต่อมา ในดวงตาของนายกองก็ฉายแววดุดันราวสุนัขจรจัดหวงอาหาร สวี่ชิงเองในใจก็เกิดความระแวงระวังขึ้นมา
บริวเวณที่สายตาของพวกเขามองไป บนพื้นมีเงาร่างหนึ่งกำลังค่อยๆ คลานเข้าไปใกล้ร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงเช่นเดียวกัน
คนคนนี้สวมชุดคลุมยาวสีแดง ผมยาวมัดเป็นหางม้า ใบหน้าสวมหน้ากากสีขาว ดูจากรูปร่างที่เผยออกมาให้เห็นเป็นบางครั้งแล้วน่าจะเป็นผู้หญิง
อาวุธของนางยิ่งเกินสมควรเป็นอย่างยิ่ง เป็นเคียวยมทูตผีร้ายขนาดมหึมาเล่มหนึ่ง
ขั้วของเคียวเล่มนี้เป็นผีร้ายเหี้ยมเกรียม ปากผีคาบใบเคียว ส่วนด้ามจับของเคียวเป็นกระดูกสีดำ
อาวุธแปลกประหลาดชิ้นนี้แผ่ระลอกคลื่นหลังน่าครั่นคร้ามออกมา แค่เห็นก็ไม่ใช่ของธรรมดา บนนั้นยังแผ่ประกายแสงออกมาปกคลุมร่างของผู้หญิงคนนี้ ทำให้นางต้านทานพลังกดดันที่นี่ได้
สวี่ชิงและนายกองมองเห็นนาง และในตอนนี้หญิงสาวชุดแดงคนนี้ก็เห็นพวกเขาเช่นกัน
ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันหลายร้อยจั้ง มองอยู่บนพื้นสายตาประสานกัน
“เป็นเรื่องหายากจริงๆ มีคนจะมาแย่งของกับพวกเราอย่างนั้นหรือ!” แววตาของนายกองไม่เป็นมิตร สวี่ชิงไม่พูดอะไร มองไปอย่างเย็นชา
หญิงสาวชุดแดงตอนนี้คิ้วงามใต้หน้ากากอันนี้เลิกขึ้นเล็กน้อย กวาดสายตามาบนร่างสวี่ชิงและนายกองอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นเศษผ้าบนร่างของพวกเขาก็รู้ทันทีว่าเป็นอีกฝ่ายที่ชิงตัดหน้าไปกวาดค้นถ้ำ ดังนั้นสายตาจึงแปรเปลี่ยนมาเย็นชา
ทั้งสามคนจ้องตากันเพียงชั่งครู่ ก็ต่างดึงสายตากลับมา แต่ความเร็วกลับต่างฝ่ายต่างเร่งขึ้นมา
ในตาของนายกองประกายโหดเหี้ยมลอยเอ่อ เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว สวี่ชิงก็เหมือนกัน ทางผู้หญิงคนนั้นก็เช่นกัน
แต่จากการที่เข้าไปใกล้ในรัศมีร้อยจั้ง สายฟ้าที่นี่มีมากขึ้น การบิดเบี้ยวของมิติถี่ พลังกดดันก็เช่นเดียวกัน แต่สิ่งเหล่านี้เมื่ออยู่ภายใต้อาวุธเวทและเศษผ้าของสวี่ชิงกับนายกอง ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อความเร็วของพวกเขา
ประเด็นสำคัญคือแรงต้านแรงผลักรุนแรงหนักหน่วงที่แปรเปลี่ยนมาจากกลิ่นอายของร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงในพื้นที่แห่งนี้
แรงผลักนี้รุนแรงมาก พวกเขาแค่ผ่อนแรงเล็กน้อย ร่างก็จะถูกผลักออกไปไกลทันที
แรงผลักและแรงต้านประเภทนี้ก็เหมือนลมพายุพัดอยู่ข้างหน้า ทำให้เสื้อผ้าของนายกองและสวี่ชิงโบกสะบัด ผมก็ปลิวสยาย ดวงตาไม่สามารถลืมได้อย่งเต็มที่
ความเร็วจึงช้าลงอย่างช่วยไม่ได้
ส่วนอาวุธของผู้หญิงที่อยู่ไกลๆ คนนั้นแปลกประหลาดมาก ภายใต้การคุ้มครองของอาวุธของนาง ความเร็วผู้หญิงชุดแดงไม่ลดลงเลย ตอนนี้ห่างเพียงสี่สิบจั้งนางก็จะสามารถแตะศีรษะของร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงได้แล้ว
เห็นเช่นนี้นายกองร้อนใจแล้ว เขากัดปลายลิ้นพ่นเลือดสดๆ ออกมาทันที รูม่านตามีใบหน้าที่หลับสนิทดวงหนึ่งปรากฏขึ้นมาทันที หน้าตาของใบหน้าดวงนั้นเหมือนเขาไม่ผิดเพี้ยน แต่กลับเต็มไปด้วยความชั่วร้าย
กลิ่นอายทั้งตัวนายกองก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในเสี้ยวขณะนี้เช่นกัน ขณะเดียวกับที่เย็นเยียบขึ้น ความเร็วก็ปะทุขึ้นเช่นกัน เพียงพริบตาก็นำหน้าสวี่ชิงไป ห่างจากร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงไม่ถึงสามสิบจั้ง
ส่วนทางสวี่ชิงทางนี้ยังห่างอีกห้าสิบจั้ง
เขาหรี่ตาลง ส่งระลอกคลื่นไปหาเจ้าเงา ทันใดนั้น เจ้าเงาก็ซ่อนตัวเอง แผ่ลามไปข้างหน้าสวี่ชิงอย่างรวดเร็ว
พลังกดดันที่นี่สำหรับมันแล้วเหมือนไม่เป็นเรื่องอะไรทั้งนั้น อย่างไรเสีย ตอนนั้นในศาลเจ้าเผ่าเงือกที่เต็มไปด้วยพลังกดดันนั่น เจ้าเงาก็เป็นคนเอาตะเกียงมาให้สวี่ชิงได้
ที่นี่เทียบกับที่นั่นแล้วก็นับว่าแตกต่างกันอย่างมาก
ดังนั้นไม่นานนักเจ้าเงาจึงก้าวข้ามระยะร้อยจั้งไปสัมผัสกับร่างแยกขนาดมหึมาของเทพวิญญาณโยวจิง หลังจากที่พันที่หูก็ดึงสวี่ชิงที่อยู่ทางนี้ทันที
เพียงพริบตา รวมกับความเร็วของตัวสวี่ชิง ต่อให้แรงผลักจะรุนแรงเพียงใด สวี่ชิงก็ยังพุ่งตัวออกไปได้อยู่ดี เข้าไปใกล้ศีรษะของร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงไม่หยุด
สี่สิบจั้ง สามสิบจั้ง ยี่สิบจั้ง สิบจั้ง…
ความเร็วนำหน้านายกองไปทันที นำหน้าหญิงสาวชุดแดงที่อยู่ไกลๆ สุดท้ายก็เข้าไปใกล้บริเวณคอของร่างเนื้อร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิง
สุดท้ายสวี่ชิงไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น และไม่ใจแคบ คว้านายกองที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้งข้ามอากาศมาทันที
ภายใต้การช่วยเหลือของเขา นายกองปะทุความเร็วเช่นกัน เข้าไปใกล้อย่างรวดเร็ว หลังจากที่เข้าใกล้ร่างของสวี่ชิงอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาก็ดวงตาวาววาบ จ้องผิวพรรณใบหน้าของร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงที่เนียนใสข้างหน้าตาเขม็ง
“จมูก จมูก ไปดูดซับที่จมูก จมูกเป็นส่วนที่สูงที่สุด และเป็นจุดรวบรวมพลังวิญญาณ”
สวี่ชิงเงยหน้า มองจมูกสูงโด่งของร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิง
เขาพลันนึกขึ้นได้ว่าเทพวิญญาณโยวจิงที่ปรากฏตัวขึ้นในตอนที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตส่งข้ามมาถึงพันธมิตร นางในตอนนั้นส่องกระจกอยู่ เหมือนว่าจะพึงพอใจในจมูกของตัวเองเป็นอย่างมาก
สวี่ชิงจึงไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น พุ่งไปยังจมูกของร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิง
นายกองที่อยู่ข้างๆ ดวงตาฉายแววบ้าคลั่ง พุ่งตัวออกไปเช่นกัน