ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 337 เทพวิญญาณโยวจิงคุ้มคลั่ง
บทที่ 337 เทพวิญญาณโยวจิงคุ้มคลั่ง
สวี่ชิงระเบิดความเร็วทั้งหมด ใช้แรงผลักที่นี่ ทำให้ร่างกายตนเองเหมือนได้รับแรงหนุนนำ ในจังหวะที่เสียงของหญิงชุดแดงดังมา เขาก็ถอยร่นไปมากว่าห้าสิบจั้ง มาอยู่ข้างกายนายกอง
เขามองประกายสับสนในดวงตาของสาวชุดแดงตรงนี้ ความไม่ปลอดภัยไร้ชื่อเรียกก็โหมขึ้นมารางๆ ในจิตใจ ขณะเดียวกันนายกองก็ลงมืออย่างรวดเร็ว คว้าแขนสวี่ชิง
“อย่าเพิ่งขยับ!”
สวี่ชิงหยุดเท้า คำพูดของนายกองทำให้เขาครุ่นคิด จึงเงยหน้ามองหญิงชุดแดงตรงหน้า
หญิงชุดแดงยังยืนอยู่ที่เดิม สีหน้าสับสน เลือดที่เปื้อนอยู่ในมือนางเวลานี้โบกไหวอย่างรวดเร็ว ก่อตัวขึ้นเป็นปราณหมอกสีเลือดบางๆ แผ่ซ่านไปรอบทิศ
ปราณหมอกเหล่านี้เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แผ่กระจายต่อเนื่อง จนท้ายสุดก็รวมกันเป็นกระแสเลือดหลายสาย ไหลเวียนพันล้อมอยู่รอบตัวหญิงสาวชุดแดง
และจำนวนของกระแสเลือดก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงพริบตาก็เพิ่มขึ้นนับร้อย ราวกับกระแสเลือดแต่ละสายกลายเป็นอสสรพิษโลหิต แผ่ซ่านคลื่นพลังที่น่ากลัวออกมา และยังมีกลิ่นหอมหวานที่เข้มข้นอีกด้วย
นี่มันประหลาดมาก!
ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนยังคงเพิ่มขึ้น
จากความสับสนในดวงตาของหญิงชุดแดงที่ล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ กระแสเลือดรอบตัวก็ตัดสลับกัน ก่อตัวเพิ่มมากขึ้นไปอีก ความเร็วในการแล่นก็เร็วขึ้นด้วยเช่นกัน
ครู่ต่อมา กระแสเลือดก็เพิ่มจากร้อยเป็นพัน ตัดสลับกันและกันไปทั้งแปดทิศ ก่อตัวขึ้นทีละวง
ภาพนี้ทำให้รู้สึกตกตะลึงขึ้นอย่างเสียไม่ได้
ยิ่งมีลมหยินเย็นพัดมาจากทางหญิงชุดแดงมาที่ตัวสวี่ชิง ขนของเขาลุกชูชัน ม่านตาหดลง ยืนอยู่ที่นั่นไม่ขยับเขยื้อน
การสังหารและการต่อสู้หลายปีมานี้ของสวี่ชิง บ่มเพาะสัญชาตญาณอันตรายอย่างหนึ่งขึ้นมา ปัจจุบันสัญชาตญาณนี้รวมถึงการเตือนของนายกอง กำลังบอกเขาอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน ว่าตนเองห้ามขยับตัวเด็ดขาด
ความรู้สึกนี้แปลกประหลาดมาก ยิ่งดูไร้เหตุผลด้วย เพราะไม่ว่าอย่างไรพลังบำเพ็ญหญิงสาวชุดแดงคนนั้นก็อยู่แค่ระดับแก่นลมปราณสามวังสวรรค์เท่านั้น แต่กลับทำให้สวี่ชิงรู้สึกถึงวิกฤตอันแรงกล้าได้
นายกองเองก็ไม่ขยับเขยื้อน สีหน้าเคร่งขรึมยิ่งกว่า เขาจ้องไปที่หญิงชุดแดงคนนั้นเขม็ง แอบส่งสื่อเสียงให้สวี่ชิง
“อย่าขยับ ผู้หญิงคนนี้ชั่วร้ายมาก นางไม่ใช่แค่มีของศักดิ์สิทธิ์ของลัทธินอกวิถีกับสืบทอดวิชาระดับจักรพรรดิมาเท่านั้น แต่ยังมีเขตแดนจิตโลหิตที่ฝึกบำเพ็ญได้ยากที่สุดของสำนักเซียนล้ำบารมีด้วย
“เขตแดนจิตโลหิตนี้ ตั้งแต่โบราณคนที่ฝึกบำเพ็ญสำเร็จในสำนักเซียนล้ำบารมีมีอยู่น้อยถึงน้อยมาก ว่ากันว่าภายใต้เขตแดนจิตโลหิต อีกฝ่ายมีความสามารถในการสังหารระดับเดียวกันได้เลยทีเดียว ไม่รู้ว่าจริงหรือหลอก แต่พวกเราก็อย่าไปทดสอบจะดีกว่า
“และเขตแดนจิตโลหิตนี้ ยังมีสิ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นข้อเสียในข้อเสียหรือไม่ นั่นก็คือ…โลกในสายตาของอีกฝ่าย จะไวต่อวัตถุที่เคลื่อนไหวมาก!”
ความเคร่งขรึมจากเสียงนายกอง สวี่ชิงรับรู้ได้อย่างชัดเจน
ดวงตาเขาจ้องไปที่หญิงชุดแดงเขม็ง ค่อยๆ หรี่ลง
ตอนนี้ รอบด้านไม่มีเสียงของใครลอดออกมา มีเพียงเสียงลมอื้ออึงกึกก้องรวมถึงเสียงมิติปริแตกที่ก่อตัวขึ้นจากกลิ่นอายของเทพวิญญาณโยวจิง
และยังมีเสียงเน่าสลายที่มาจากใบหน้าของร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงร่างนั้น เสียงนี้ราวกับมีฟองอากาศมหาศาลแตกฟู่ มองไกลๆ หลังจากที่สวี่ชิงนำเลือดเต๋าไป ใบหน้าของร่างแยกนี้ก็กำลังเน่าสลาย
จมูกละลายก่อนเป็นสิ่งแรก จากนั้นคือดวงตาและปาก ทั้งหมดนี้ ทำให้ใบหน้าของร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิง เปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์และแปลกประหลาดอย่างมาก
ขณะเดียวกัน สีผิวทั้งใบหน้าจากเทาก่อนหน้า ก็เริ่มดำคล้ำ
สวี่ชิงกับนายกองไม่สนใจภาพการละลายนี้ สายตาของพวกเขาล้วนอยู่ที่หญิงสาวชุดแดง
ตอนนี้ดวงตาสาวชุดแดงยังคงมีประกาย ราวกับยังไม่ได้เพ่งไปยังจุดใด เหมือนจะมองมาที่สวี่ชิงกับนายกอง แต่ก็รู้สึกเหมือนไม่เห็นสวี่ชิงกับนายกองอยู่ในสายตา
“พวกเจ้าใช่หรือไม่?” หญิงชุดแดงเอ่ยขึ้นแผ่วเบา
สายตานี้ คำพูดที่เอ่ยซ้ำ ทำให้ความระแวดระวังในใจสวี่ชิงรุนแรงขึ้นอีกครั้ง ภาพสักการะวิหคทองเริ่มแผดเผา กวานสวรรค์ม่วงสูงสุดก็เปล่งแสงจ้าออกมาด้วย
ขณะเดียวกับที่วังสวรรค์ในร่างกายสั่นสะเทือน แมลงสีดำกระจายออกไปรอบทิศ เตรียมตัวปะทะ
นายกองก็เช่นกัน แผ่ซ่านปราณเย็นที่น่าตกตะลึงออกมาทั้งร่าง ใบหน้าในม่านตาเองก็ลืมตาขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมองอย่างละเอียดก็เห็นว่าในดวงตาของใบหน้านั้นก็ยังมีใบหน้ากำลังกะพริบ เหมือนว่าไม่มั่นคงเท่าไรนัก
และพริบตาที่ทั้งสองฝ่ายกำลังคุมเชิงกันอยู่ หญิงชุดแดงก็ยกเท้าขวาขึ้น
ความเร็วการไหลของกระแสเลือดรอบด้านก็เพิ่มความเร็ว ทำให้เกิดเสียงหวีดหวิวแหลมขึ้น เหมือนตัดสะบั้นได้ทุกสรรพสิ่ง กำลังหลั่งทะลักไปทางสวี่ชิง
และตอนนี้เอง บนท้องฟ้าจู่ๆ ก็มีเสียงแหลมดังเข้ามา
“พวกเจ้ากำลังทำอะไร!!”
ความดังของเสียงนี้เหนือกว่าอัสนีสวรรค์ ราวกับว่าอัสนีทั้งหมดระเบิดขึ้นมาระหว่างฟ้าดิน พลังปะทะที่ก่อตัวขึ้นทำให้สวี่ชิงกับนายกองสั่นไปทั้งตัว แต่ละคนกระอักเลือด ร่างกายถอยร่น
กระแสเลือดรอบด้านของหญิงสาวชุดแดงคนนั้นก็สั่นสะเทือนด้วยเช่นกัน ม้วนกลับอย่างรวดเร็ว กลับไปอยู่บนฝ่ามือของหญิงชุดแดง และแปรกลับไปเป็นเลือดสดใหม่อีกครั้ง สีหน้าหญิงสาวชุดแดงคนนี้บิดเบี้ยว ความสับสนในดวงตาหายไปในพริบตา กลายเป็นความดุดันก่อนหน้า ถอยออกมาอย่างไม่มีการลังเล พุ่งไปอีกด้าน
สวี่ชิงกับนายกองก็ไม่มีเวลาสนใจผู้อื่น หนีออกไปอย่างสุดกำลัง
ขณะที่ทั้งสองฝ่ายหลบหนี ร่างแยกร่างหนึ่งของเทพวิญญาณโยวจิงร่างหนึ่งบนท้องฟ้า ดวงตามีโทสะ มุมปากเลือดสดไหลริน เสื้อผ้าขาดวิ่นกำลังพุ่งเข้ามาอย่างเร่งด่วน
ก่อนหน้านี้นางกำลังทำศึกเป็นตายอยู่บนท้องฟ้า ไม่ได้สนใจพื้นดิน แต่เมื่อครู่บังเอิญนางเหลือบมองเห็นเผ่ามนุษย์ตัวจ้อยสามคนอยู่รอบๆ ร่างแยกของตนเอง และใบหน้าของร่างแยกเองก็แปลกไป ราวกับว่ากำลังมัวหมอง
สิ่งนี้ทำให้นางใจสั่น และยอมบาดเจ็บเพื่อปลีกตัวออกมาโดยไม่สนอะไร เมื่อมองอย่างละเอียด ร่างของเทพวิญญาณโยวจิงก็สั่นเทิ้มอย่างรุนแรง ถลึงตาโตเผยความไม่อยากเชื่อ
นางเห็นสีหน้าดำสนิทของร่างแยกตนเอง
มองเห็นใบหน้าทั้งหมดกำลังสลายหายไป
มองเห็นความน่าเกลียดที่ยากจะพรรณนาได้
การกระตุ้นที่เกิดจากภพนี้ สำหรับหญิงสาวที่รักสวยรักงามคนหนึ่ง ถือว่ายิ่งใหญ่มากระดับสะเทือนฟ้าดิน
ร่างกายเทพวิญญาณโยวจิงสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง ลมหายใจหอบถี่ จิตวิญญาณโหมโทสะสู่ฟ้า ความโกรธนี้สามารถแผดเผาท้องนภา บดขยี้ทุกสรรพสิ่ง
“พวกเจ้า!”
“พวกเจ้า!!”
“รนหาที่ตาย!!!” เทพวิญญาณโยวจิงหวีดร้อง คุ้มคลั่งทันที ยกสองมือขึ้นตบลงไปทางสวี่ชิงและนายกอง รวมถึงทางหญิงสาวชุดแดงนั่นด้วย
แต่พริบตาต่อมา ผู้อาวุโสครองกระบี่สองคนก็ไล่ตามมาจากท้องฟ้า
พวกเขาก็เห็นใบหน้าดำคล้ำของร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงบนพื้นรวมถึงใบหน้าที่กำลังสลายหายไป ในใจก็เกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นมา และยังเห็นพวกของสวี่ชิงทั้งสามคนกำลังหลบหนีด้วย
แม้ทั้งสามคนจะปิดบังหน้าตา แต่ในสายตาพวกเขากลับเห็นอย่างชัดเจน
หลังจากสังเกตเห็นว่าเป็นเผ่ามนุษย์ ในใจพวกเขาก็รู้ทันทีว่าทั้งสามคนนี้น่าจะเป็นพวกกล้าหาญและมีเบื้องหลังไม่ธรรมดาที่มาจากขั้วอำนาจเผ่ามนุษย์ในมณฑลรับเสด็จราชันเหล่านั้นแน่ๆ นอกจากนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับโถงครองกระบี่อยู่บ้างไม่มากก็น้อย
ไม่เช่นนั้น ไม่มีทางล่วงรู้ถึงแผนการและเวลาของโถงครองกระบี่แน่นอน ถือโอกาสใช้ช่วงเวลานี้ปล้นสะดม
แต่ว่ามาปล้นชิงจนถึงใบหน้าร่างแยกของเทพวิญญาณโยวจิงทำพวกเขากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ในเมื่อเป็นเผ่ามนุษย์ พวกเขาก็มีหน้าที่ต้องคอยปกป้อง จึงลงมือในพริบตา ใช้พลังวิเศษร้ายกาจเข้าสกัดเทพวิญญาณโยวจิง
เทพวิญญาณโยวจิงส่งเสียงร้องออกมาเข้าขวางวิกฤต นางทำได้เพียงระงับความโกรธในใจลง ต้องปล่อยพวกสวี่ชิงทั้งสามคนก่อนอย่างจนใจ
และเพราะเสื้อผ้าของตนเองขาดวิ่น อาภรณ์วิเศษสูญเสียพลังป้องกันไป มือขวาโบกคว้าอากาศ จะล้วงอาภรณ์วิเศษของตนเองออกมา เพื่อใช้เป็นสมบัติรับมือศัตรูของตนเอง
ในถ้ำพำนักของนางก็ส่งเสียงครืนครันจากการคว้าจับ เสื้อผ้าบินออกมาทีละชุด ตรงมาหานาง
พริบตาที่มาถึง ดวงตาเทพวิญญาณโยวจิงก็ถลึงตาโตอีกครั้ง อึ้งตะลึงไป นางมองเห็นเสื้อผ้าฉีกขาดยับเยินเหล่านี้จนสติสตังแทบหลุดลอยไป
ความเสียหายของเสื้อผ้าเหล่านี้ มันหนักหนาเกินไปจริงๆ
ไข่มุกกับของดีหายไปหมดไม่เหลือ
สภาพเปลี่ยนไปมาก บางตัวกลายเป็นริ้วๆ เหมือนมู่ลี่บานประตู บางตัวด้านบนเป็นรูโหว่รูพรุนนับร้อย
อันที่จริงตอนนี้ไม่ใช่แค่เทพวิญญาณโยวจิงเท่านั้นที่สับสน ผู้ครองกระบี่ที่กำลังลงมือกับนางอีกสองคนก็ตะลึงงันด้วยเช่นกัน
เห็นเสื้อผ้าที่ขาดยับเยินเหล่านั้น สีหน้าของทั้งสองคนก็ประหลาดใจ จำจดพวกสวี่ชิงทั้งสามคนได้อย่างลึกซึ้ง จนอดส่งสื่อเสียงหากันไม่ได้
“นี่มันเป็นพวกผู้เยาว์จากสำนักใดกัน โหดเหี้ยมเหลือเกิน!”
ส่วนทางเทพวิญญาณโยวจิง…นางมองเสื้อผ้าขาดวิ่นเหล่านี้ สีหน้าขาวซีด ร่างกายสั่นเทิ้ม ในใจกำลังหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด ทุกชุดในนี้ล้วนเป็นของที่นางรัก ทว่าตอนนี้กลับกลายสภาพเป็นเช่นนี้
ความเจ็บปวดรวดร้าวก้าวข้ามทุกสิ่งอย่างในใจนาง กลายเป็นเสียงกรีดร้องออกมาฉับพลัน
“ข้าจะเลาะกระดูกพวกเจ้าทั้งสามคนป่นเป็นผง ทำลายทั้งจิตวิญญาณและร่างกายทิ้งเสีย!!”
เสียงนี้หวีดแหลมนัก ดังก้องไปทั้งเก้าชั้นฟ้า ด้านในแฝงไว้ด้วยความอาฆาตและเกลียดชัง รุนแรงเหนือสิ่งอื่นใด
ขณะที่คุ้มคลั่งจนแทบขาดใจ เทพวิญญาณโยวจิงสูญสิ้นสติสัมปชัญญะไปแล้ว พุ่งไปหาสวี่ชิงและนายกองพร้อมกับจิตสังหารสะท้านฟ้า
และร่างแยกอีกร่างของนางบนท้องฟ้าก็ส่งเสียงน่าเวทนาออกมา พุ่งไปหาหญิงชุดแดงอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
นางจะสังหารเจ้าหัวขโมยทั้งสามนี้โดยไม่สนว่าต้องจ่ายอะไร!
แต่สภาพและความบุ่มบ่ามของนาง สำหรับผู้อาวุโสครองกระบี่ที่กำลังประมือด้วยทั้งสามคนแล้ว ถือว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง
เทพวิญญาณโยวจิงเสียสติสัมปชัญญะไป พวกเขาก็จะลงมือสะกดได้ราบรื่นยิ่งขึ้น ดังนั้นพริบตาต่อมา พวกเขาทั้งสามจึงระเบิดพลังบำเพ็ญทั้งหมด เข้าสกัดกั้นอย่างสุดกำลัง
ภายใต้การสกัดกั้นของพวกเขา เทพวิญญาณโยวจิงไม่สามารถทำได้ตามที่ปรารถนา ลงมือไม่ได้ดังใจหวัง และยิ่งเป็นเช่นนี้ ในใจนางก็ยิ่งคุ้มคลั่ง ทำให้การสะกดของผู้อาวุโสครองกระบี่ทั้งสามคนเฉียบคมขึ้นมา
ภาพนี้ ทั้งสามคนที่ต่างฝ่ายต่างหลบหนีก็ได้เห็นแล้ว
นายกองกับสวี่ชิงหนังศีรษะชาหนึบ เพิ่มความเร็วยิ่งขึ้น ส่วนหญิงสาวชุดแดงทางนั้นกลับในใจเต็มไปด้วยความโกรธเคือง และน้อยเนื้อต่ำใจ ถึงอย่างไรเรื่องที่ถ้ำพำนัก ก็ไม่ใช่สิ่งที่นางทำ
แต่ตอนนี้จะพูดอธิบายไปก็ไม่มีประโยชน์ หญิงสาวชุดแดงกัดฟัน หนีต่อไปโดยไม่เหลียวหลัง
ทั้งสามคนใช้ความเร็วไปถึงขีดจำกัดของตนเอง ไม่นานสวี่ชิงกับนายกองก็มาถึงที่เหยียนเหยียนอยู่
ขณะที่เหยียนเหยียนกำลังหวาดกลัวและตะลึงพรึงเพริด ทั้งสองฝ่ายไม่มีเวลาจะพูดคุยกัน สวี่ชิงคว้าตัวเหยียนเหยียน ล้วงเอาเรือเวทออกมาแล้วย่างขึ้นไป นายกองเองก็ตามหลังมา
พริบตาต่อมา เรือเวทก็กลายเป็นสายรุ้งยาว โหมเสียงหวีดหวิว พุ่งทะยานสู่ขอบฟ้า ออกจากอาณาเขตใจกลางเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคา แล่นหนีเร็วขึ้นเรื่อยๆ บนท้องฟ้า
ส่วนด้านหลังเสียงคำรามของเทพวิญญาณโยวจิงยังคงสนั่นลั่น พร้อมกับความหวีดแหลม พร้อมกับความเจ็บปวดเกลียดชัง พร้อมกับความคุ้มคลั่งแผ่กระจายไปทั้งแปดทิศ
อันที่จริงสำหรับนางแล้ว วันนี้เป็นหายนะที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต ไม่เพียงแต่โถงครองกระบี่เข้าสะกด ร่างแยกของตนถูกทำลายโฉม เลือดเต๋าถูกช่วงชิง และเสื้อผ้าที่หวงแหนมาทั้งชีวิต ก็ถูกฉีกทึ้งทำลายจนย่อยยับ
เรื่องนี้ ต่อให้พลังบำเพ็ญจะสูงส่งเพียงใด แต่สำหรับหญิงที่รักสวยรักงามแล้วถือว่าทิ่มแทงจิตใจมาก ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยเจอมาก่อน
กระทั่งพูดได้ว่า นางไม่ได้เกลียดชังการสะกดของโถงครองกระบี่เลย แต่ที่นางเกลียดชังที่สุดคือเจ้าโจรที่บ้าคลั่งสามคนนั้น!