ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 338 ชาตินี้พวกพวกเราเดินทางด้วยกัน
บทที่ 338 ชาตินี้พวกพวกเราเดินทางด้วยกัน
“คุ้มแล้วๆ!”
ตอนนี้เรือศึกเวทของสวี่ชิงไปจากเขตพื้นที่ใจกลางเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคาแล้ว แล่นไปที่ไกลอย่างรวดเร็ว ทิ้งระยะห่างกับสนามต่อสู้ข้างหลังไกลลิบลับ
นายกองที่นอนแผ่หลาอยู่บนพื้นกระดาน เปลี่ยนโฉมหน้าเดิมกลับมา หายใจหอบแฮก แต่ในตากลับแฝงด้วยประกายวาววับ ใบหน้าเต็มไปด้วยความพอใจ
ทั้งยังประเดี๋ยวๆ ก็เรอออกมา ท่าทางเหมือนอิ่มมาก
“ฮ่าๆ ทำเรื่องใหญ่กับอาชิงน้อยพึ่งพาได้มากกว่าจริงๆ ด้วย ครั้งนี้ข้าอยู่รอดปลอดภัยดี ไม่เคยมีมาก่อนเลยนะ” นายกองยิ่งคิดยิ่งได้ใจ ลุกขึ้นนั่ง ตบกระดานเรือส่งเสียงดังตุบๆ
“เจ้าไม่รู้อะไร อาชิงน้อย ก่อนหน้านี้ข้าทำเรื่องใหญ่กับจางซาน ทุกครั้งต้องขาดแขนขาดขา
“เวลาข้าลงมือเองยิ่งเป็นแบบนี้ หลายครั้งที่หัวเกือบหาย ส่วนเจ้าจางซานก็เอาของดีไปทุกครั้ง”
นายกองใบหน้าเศร้าสร้อย เต็มไปด้วยความสะท้อนใจ
สวี่ชิงนั่งขัดสมาธิบนกระดานพื้นเรือ ยังคงปิดบังโฉมหน้าที่แท้จริงเอาไว้ ได้ยินคำดังนั้นก็ปรายตามองนายกองแวบหนึ่ง เขาไม่ค่อยเชื่อ
เห็นสวี่ชิงมองมาทางตัวเอง นายกองกะพริบตาปริบๆ ในใจวางแผนร้อยแปด แต่สีหน้าไม่แสดงออกมาแม้เพียงเล็กน้อย ถอนหายใจต่อไป
“ข้าคนนี้เจ้าก็รูู้ มีคุณธรรมให้ความสำคัญกับมิตรภาพ จางซานเป็นสหายที่ดี ในเมื่อเขาอยากได้ ข้าเองก็หน้าบางจะไม่ให้ก็รู้สึกละอาย
“ดังนั้น ทุกครั้งข้าจึงให้ส่วนใหญ่กับเขา ข้าเอาส่วนน้อย แบ่งน้อยมากๆ เลย เฮ้อ ไม่เหมือนกับเจ้า ศิษย์น้องเล็ก ครอบครัวพวกเราคนละครึ่งมาตลอด ตั้งแต่แรกก็ทำกันแบบนี้ แบบนี้ถึงจะเรียกว่ายุติธรรมใช่หรือไม่”
นายกองเวลาพูดโกหกไม่มีการใจเต้น หน้าแดงเลย หนักกว่านั้นคือแฝงความจริงใจในนั้นไว้ด้วย
สวี่ชิงระแวดระวังขึ้นมาทันที เดาความคิดของนายกองได้รางๆ
“ศิษย์น้องเล็กไยเจ้าจึงมองข้าเช่นนี้ อ๋อๆๆ ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าจะให้ข้าทำให้ดูเป็นตัวอย่างใช่หรือไม่ ไม่มีปัญหา พวกเราสำนักเดียวกัน พวกเราเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน คนละครึ่งเป็นวิธีการแบ่งที่ดีมาก
“ข้าในฐานะที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ก็จะทำให้ดูเป็นตัวอย่างก่อน หินวิญญาณสามล้านก้อนที่เจ้าติดข้าไว้ ข้ายกหนี้ให้เจ้าครึ่งหนึ่งก็แล้วกัน”
นายกองตบอกปุ แต่ตอนนี้พูดมากเกินสมควร อ้าปากกว้างเกินไป จึงเป็นเหตุให้พลังเซียนจากร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิงที่เขาดูดซับไปก่อนหน้านี้ ลอยออกมาจากปากของเขาส่วนหนึ่ง
นายกองรีบปิดปาก เขาไม่อยากให้ของที่ตัวเองได้มาอย่างยากเย็นสลายไปแบบนี้หรอกนะ
สวี่ชิงมองนายกองแวบหนึ่ง เขารู้ว่านายกองหมายความว่าอะไรแล้ว
“นายกอง ข้าเตรียมจะปิดด่านแล้ว”
“อาชิงน้อย ฮุบไว้คนเดียวไม่ใช่นิสัยที่ดีนะ!” นายกองเห็นสวี่ชิงแกล้งทำเลอะเลือน ร้อนใจนิดหน่อย รีบอ้าพูดขึ้นมา แต่พอพูด พลังเซียนก็ลอยออกมาอีกครั้ง
สวี่ชิงกะพริบตาปริบๆ สังเกตเห็นพลังเซียนของนายกองลอยออกมา เจ้าเงาที่คนนอกมองไม่เห็นบนกระดานพื้นเรือกำลังดูดซับอย่างรวดเร็ว จึงหยิบผิงกั่วออกมาลูกหนึ่งด้วยใบหน้าไร้อารมณ์แล้วโยนไปให้นายกอง
นายกองรับมาโดยสัญชาตญาณ เงยหน้ามองสวี่ชิงอย่างลังเลเล็กน้อย
“ศิษย์น้องเล็ก ทำบุญทำทานได้หรือไม่”
“รู้แล้ว” สวี่ชิงพยักหน้าอย่างจริงจัง จากนั้นก็หลับตา เริ่มโคจรวังสวรรค์ที่สามในร่าง เขาเตรียมวางลูกกลอนพิษต้องห้ามของตนไว้ในนั้น
ขั้นตอนนี้แม้จะค่อนข้างอันตราย แต่ก่อนหน้านี้สวี่ชิงทำการสังเกตลูกกลอนพิษมาก่อน ลูกกลอนนี้ด้านหนึ่งคือเป็นของกึ่งสำเร็จ อีกด้านหนึ่งคือเนื่องจากผ่านวันเวลามาเนิ่นนานมากแล้วความเป็นพิษใกล้จะเหือดหายไปหมดแล้ว
โดยเฉพาะหลังจากที่สัมผัสกับโลกภายนอก เค้ารางเหือดแห้งยิ่งชัดเจน ทันที่ที่สุดท้ายกลายเป็นลูกกลอนไร้ฤทธิ์แล้ว ก็เหมือนน้ำที่ไร้ต้นกำเนิด ไม่อาจสำแดงฤทธิ์ได้อีก คุณค่าก็จะลดลงไปอีกมหาศาล
ดังนั้น ลงมือให้เร็วที่สุดย่อมดีที่สุด ขณะเดียวกัน เขาก็ชั่งน้ำหนักผลเก็บเกี่ยวของครั้งนี้
ครั้งนี้ผลเก็บเกี่ยวของเขามากมายมหาศาลนัก วัตถุที่ใส่อยู่ในถุงเก็บของมีมากมาย ของล้ำค่าหล่อเลี้ยงประเภทต่างๆ ก็มีไม่น้อย ขณะเดียวกัน ยังมีกระจกและขวด กระปุกต่างๆ เหล่านั้น ของพวกนี้มีประโยชน์กับเจ้าเงาและบรรพจารย์สำนักวัชระมหาศาล
ของมีมากมายก่ายกอง สวี่ชิงตรวจสอบทีละชิ้นๆ ไม่ได้ ดังนั้น สิ่งสำคัญในการให้ความสนใจคือพลังเซียนที่สะสมในทะเลความรู้สึกและเขาจักรพรรดิภูตของตัวเองลูกนั้น
เขาจักรพรรดิภูตตอนนี้ภายใต้การควบคุมของสวี่ชิงก็ไม่ได้กลืนกินพลังเซียนในทะเลความรู้สึกต่อ เค้าร่างรางเลือนส่วนใบหน้าก็มีโครงร่างคล้ายสวี่ชิงสองสามส่วนแล้ว
สวี่ชิงไม่รู้ว่าหากดำเนินต่อไปจะเป็นอย่างไร คิดว่าจะกลับไปถามอาจารย์แล้วค่อยตัดสินใจ
นอกจากนั้นก็เป็นโลหิตเต๋าที่ชิงกับหญิงสาวชุดแดงในตอนสุดท้าย
สวี่ชิงไม่รู้ประโยชน์ของโลหิตเต๋า แต่เขาสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่แผ่ออกมาจากเขาจักรพรรดิภูตในทะเลความรู้สึกของตัวเอง นอกจากนี้แม้พลังชีวิตที่แผ่ออกมาจากโลหิตเต๋าจะพอใช้ได้ แต่สิ่งที่มีมากกว่านั้นคือท่วงทำนองเต๋า
จากการสังเกตและวิเคราะห์ก่อนหน้านี้ ของสิ่งนี้น่าจะเป็นหนึ่งในวิธีที่ควบคุมร่างแยกเทพวิญญาณโยวจิง
ในขณะที่สวี่ชิงขบคิดอยู่ นายกองก็มองมาตาละห้อย อยากได้โลหิตเต๋าที่สวี่ชิงได้มาในตอนสุดท้ายเสียเหลือเกิน
แต่อย่างไรก็เป็นสวี่ชิงที่ชิงมันมาได้ เขาพูดขอตรงๆ ลำบาก การชักแม่น้ำทั้งห้าและเอ่ยเป็นนัยๆ ก่อนหน้านี้ก็เพื่อโลหิตเต๋า
สีหน้าของเขาจึงค่อยๆ ทุกข์ระทม ยิ่งมีความเศร้าสร้อยหมองหม่น เงยหน้าขึ้น ยกกาเหล้าขึ้นมา ดื่มลงไปอึกใหญ่
“ชีวิตมนุษย์ช่างยากลำบากหลือเกิน
“ครั้งนี้ข้าเสียอาวุธเวทต้านทานพลังกดดันไปยี่สิบกว่าชิ้น เสียอาวุธเวทอำพรางกายไปสี่สิบกว่าชิ้น ที่สำคัญที่สุดคือภัยแอบแฝงในร่างของข้ามีสัญญาณว่าจะระเบิดขึ้นมานิดๆ แล้ว ศิษย์น้องเล็ก ไม่แน่ว่าวันไหน เจ้าอาจจะไม่มีศิษย์พี่ใหญ่แล้วก็เป็นได้”
สวี่ชิงลืมตา มองนายกองแวบหนึ่ง เอาขวดใบเล็กออกมาใบหนึ่งแล้วโยนไป
ในนั้นมีโลหิตเต๋าอยู่สามส่วน
“พอหรือไม่” สวี่ชิงถาม
นายกองรับเอาไว้อย่างรวดเร็ว ความทุกข์ยากทั้งหมดสลายหายไปจนสิ้น หน้าตาเบิกบาน หัวเราะร่า
“พอแล้วๆ เป็นศิษย์น้องเล็กที่ใจกว้าง ไม่มีอะไรต้องพูดอีก วันหน้ามีเรื่องอะไรศิษย์พี่ยืนอยู่ข้างเจ้าแน่นอน!” พูดแล้วก็ดื่มลงไปทันที ร่างพลันสะท้านเฮือก หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ผ่อนลมหายใจยาวออกมา สีหน้าแฝงด้วยความฮึกเหิม
“ข้าปลดผนึกอีกผนึกได้แล้ว!
“อาชิงน้อย ศิษย์พี่ไม่ใจแคบ อันนี้ให้เจ้า!” ท่ามกลางความฮึกเหิม นายกองหยิบกล่องใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ แล้วโยนให้สวี่ชิง
“นี่คือวัตถุที่ข้าเจอในซากโบราณสถานแห่งหนึ่ง เมื่อครู่เห็นนางชุดแดงคนนั้นใช้อาวุธรังแกเจ้า ข้าเลยคิดว่าจะให้เจ้านี่กับเจ้า เมื่อเจ้ากลับไปทำด้ามก็ใช้ได้แล้ว”
สวี่ชิงเมื่อรับมาก็เปิดดู ในนั้นเป็นใบมีดส่องประกายวาววาม คมเป็นอย่างยิ่ง
บนนั้นมีลวดลายตามธรรมชาติบางอย่างจับกลุ่มเป็นดวงตาข้างหนึ่ง ฉายความชั่วร้ายออกมา
สวี่ชิงแค่ได้เห็นก็ชอบเป็นอย่างมาก เขาขาดกริชที่เหมาะมืออยู่จริงๆ แม้เพลิงวิญญาณจะแปรเปลี่ยนเป็นกริชได้ แต่อย่างไรเมื่อถือในมือแล้วก็ขาดความรู้สึกบางอย่างไร
จึงมองไปทางนายกองอย่างจริงใจ
“ขอบคุณศิษย์พี่ใหญ่”
“ขอบคุณอะไรกัน วันหน้าพวกเราไปทำเรื่องใหญ่ด้วยกันอีก ข้ากำลังวางแผนอยู่ แต่ว่าตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดของพวกเราคือแปรเปลี่ยนผลเก็บเกี่ยวที่ได้ครั้งนี้ให้เป็นพลังแท้จริงของตัวเองโดยเร็วที่สุด จากนั้นก็ไปโถงครองกระบี่ รีบสำเร็จเป็นผู้ครองกระบี่!”
นายกองในดวงตาวาววับ เป็นผู้ครองกระบี่กลายเป็นความยึดมั่นของเขาไปแล้ว
“เชื่อข้าศิษย์น้องเล็ก เป็นผู้ครองกระบี่พวกเราถึงจะนับว่ามีคุณสมบัติก้าวสู่บุคคลสำคัญเผ่ามนุษย์ในอนาคต! จะอย่างไรมณฑลรับเสด็จราชันก็เล็กเกินไป และใต้หล้านี้ก็ช่างกว้างใหญ่นัก อนาคตและความงดงามมากมายกำลังรอให้พวกเราไปฟันฝ่า รอให้พวกเราไปดู!
“ข้าอยากเดินในดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิ ข้าอยากฝึกบำเพ็ญเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้นข้าอยากเดินไปให้ทั่วแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ควบคุมท้องฟ้าลมเมฆ และอยากจะไปดูแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ว่านั่นสักหน่อย!
“สิ่งที่ข้าอยากได้มีมากมายนัก ดังนั้นข้าถึงต้องยิ่งบ้าระห่ำ ศิษย์น้องเล็ก ชาตินี้พวกเราเดินทางไปด้วยกัน!”
ฟังคำพูดของนายกอง ในดวงตาสวี่ชิงฉายประกายล้ำลึก นานหลังจากนั้น เขาพยักหน้า จดจำคำพูดนี้เอาไว้อย่างขึ้นใจ
ชาตินี้พวกเราร่วมเดินทางไปด้วยกัน
เหยียนเหยียนที่อยู่ข้างๆ มองภาพนี้ กะพริบตาปริบๆ พูดอย่างรวดเร็ว
“พาข้าไปด้วยก็ได้”
ขณะเดียวกัน หลังจากที่พวกสวี่ชิงทั้งสามคนนั่งเรือศึกเวทจากไปไกลอย่างรวดเร็ว การต่อสู้ที่ภูเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคาก็มาถึงจุดเดือด ครั้งนี้โถงครองกระบี่เตรียมตัวมาพร้อมด้วยใจมุ่งมั่นที่จะชนะ
ต่อให้เขาไตรมรรคาสะกดวิญญาณกระตุ้นของวิเศษเวทต้องห้าม แต่จากการปรากฏขึ้นของวังขนาดมหึมาวังหนึ่งก็สะกดทุกสิ่ง
ต่อให้เป็นทางเขาจักรพรรดิภูต เจ็ดวิญญาณของจักรพรรดิภูตที่แปรเปลี่ยนเป็นเจ็ดพิฆาตก็ล้วนได้สัมผัสได้เช่นกัน คิดจะมาช่วย แต่ก็ถูกกำลังหลักจากอีกกลุ่มของโถงครองกระบี่ที่เตรียมตัวไว้นานแล้วสกัดกั้นขัดขวาง
ดังนั้นแนวโน้มของการต่อสู้ครั้งนี้ถึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ สุดท้ายแล้ว เทพวิญญาณโยวจิงที่เป็นเจ้าสามในบรรดาไตรวิญญาณก็ถูกโถงครองกระบี่สะกดควบคุม เป้าหมายของพวกเขาครั้งนี้เดิมก็คือน้องสามตนนี้
เพราะนางอ่อนแอที่สุด เหมาะที่จะสะกดควบคุมจับเป็นที่สุด
และขอเพียงควบคุมวิญาณดวงใดดวงหนึ่งก็จะทำให้จักรพรรดิภูตตื่นขึ้นมาไม่ได้ นี่เป็นสถานการณ์ของผลการต่อสู้ที่เหมาะสมที่สุด หากการต่อสู้ดำเนินต่อไป ต่อให้โถงครองกระบี่จะได้เปรียบ แต่จะอย่างไรก็ต้องปวดหัวนิดๆ อยู่บ้าง
ตอนนี้โองการที่เขตปกครองบนสั่งลงมา ทุกอย่างมีการรักษาความสงบมั่นคงเป็นสำคัญ หากเรื่องนี้พัวพันลึกมากเกินไป สุดท้ายทำให้เขตปกครองบนแตกตื่นลงมือ ต่อให้สะกดได้แต่ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทำงานได้ไร้ความสามารถ
ดังนั้นหลังจากที่จับเป็นเทพวิญญาณโยวจิงได้แล้ว โถงครองกระบี่ก็เลือกที่จะจากไป
ส่วนพี่ใหญ่และเจ้ารองในบรรดาไตรวิญญาณ ในขณะที่เงียบนิ่งก็ไม่ได้ขัดขวาง ทั้งสองฝ่ายล้วนแต่เป็นปีศาจเฒ่าที่อยู่มานานนมขนาดนั้น เรื่องนี้ทีแรกบางทีพวกเขาอาจจะนึกสงสัย แต่ตอนนี้ทุกอย่างกระจ่างแล้ว
น้องเล็กคงไม่ตาย ในระดับหนึ่งก็มีตัวตนเหมือนไปเป็นตัวประกัน ไม่เช่นนั้นแล้วโถงครองกระบี่ไม่วางใจ
และเมื่อการต่อสู้จบสิ้น หลังจากโถงครองกระบี่จากไปแล้ว อีกทิศหนึ่งของเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคา ณ ยอดเขาสูงแห่งหนึ่งที่ไกลจากที่นี่ระยะหนึ่ง
ภายใต้แสงพรายแดงฉานจากแสงอาทิตย์อัสดงบนท้องฟ้า ท่ามกลางลมภูเขาพัดต้อง อาภรณ์แดงสะบัดปลิวกลางสายลม
เด็กสาวชุดแดงแบกเคียวยมทูตผีร้ายที่สูงท่วมหัวคน ยืนอยู่ตรงนั้น ทอดสายตามองไปทางเขาไตรวิญญาณ
ที่คอของนางมีแผลเป็นที่สมานตัวไปไม่นาน
รอบแผลใหญ่มาก ดูแล้วชวนสยดสยอง เหมือนว่าหากลึกอีกนิดก็จะตัดเส้นเลือดและคอของนางขาด
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เด็กสาวชุดแดงก็หันไปมองทางที่พวกสวี่ชิงทั้งสามคนจากไป ความเหี้ยมโหดในดวงตาค่อยๆ เข้มข้นขึ้น
นานหลังจากนั้น ใต้หน้ากากสีขาวที่มีรอยแตกเล็กน้อย ก็มีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังออกมา
“จดสองชื่อนี้เอาไว้!”
จากเสียงของเด็กสาวชุดแดงที่ดังขึ้น ใบหน้าผีร้ายที่อยู่บนเคียวพลันลืมตาขึ้น ส่งจิตเทพออกมา
“ชื่อแซ่อะไร”
“คนหนึ่งชื่อหมาบ้า อีกคนชื่อมือผี!” เด็กสาวชุดแดงเอ่ยเสียงราบเรียบ
ผีร้ายพยักหน้าทันที จดสองชื่อนี้เอาไว้ ขอเพียงวันข้างหน้าอีกฝ่ายปรากฏอยู่ในขอบเขตการรับรู้ของมัน มันจะรู้ได้ในทันที
“ใช่แล้ว ท่องชื่อที่ข้าจดเอาไว้แต่ยังไม่ถูกข้าจัดการทิ้งพวกนั้นอีกรอบ ข้ากลัวข้าจะลืม”
“วาจาสุนัข กลายเป็นหิน น้าหญิง หกนิ้ว หัวลา…” เคียวยมทูตผีร้ายเปิดปาก พูดชื่อหนึ่งแล้วก็อีกชื่อหนึ่ง จำนวนมากมายนัก เกรงว่าคงมีถึงหลายร้อย ส่วนเด็กสาวคนนั้นฟังพลางเดินจากไปไกล
ในมือของนางมีก้อนหินก้อนเล็กๆ ปรากฏขึ้นมาเมื่อไรไม่รู้ นางถือมันไว้แล้วแตะไปบนบาดแผลที่คอ ก่อนจะคลึงเบาๆ
หินก้อนเล็กก้อนนี้อัศจรรย์นัก จากการนวดคลึงแผลเป็นก็ค่อยๆ จางลง แล้วค่อยๆ หายไปช้าๆ
“ขอเพียงข้าทำภารกิจอีกจำนวนหนึ่งสำเร็จก็จะได้สิทธิ์ที่สูงขึ้น ก็จะได้รับอนุญาตให้ออกไปจากมณฑลรับเสด็จราชันได้ ถึงตอนนั้นข้าก็จะไปฐานที่มั่นคนเก็บกวาดได้แล้ว”
ท่ามกลางสายลม อาภรณ์แดงของนางสะท้อนกันประกายแสงพรายรุ้งของอาทิตย์ยามอัสดง
ยิ่งเดินยิ่งจากไปไกล
ณ จุดที่ไกลยิ่งกว่า บนเรือศึกเวท สวี่ชิงหยิบตำราไม้ไผ่ออกมา
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในสมองก็มีจิตสังหารในดวงตาของหญิงสาวชุดแดงในยามที่มองตนผุดขึ้นมา จึงสลักชื่อหนึ่งลงไปบนนั้น
หญิงชุดแดง