ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 352 เรื่องราวผิดปกติ
บทที่ 352 เรื่องราวผิดปกติ
แดนเหนือมืดเร็วกว่าแดนใต้เล็กน้อย ยามเย็นก็เช่นกัน
มาไว ไปไว หลีกทางให้ยามราตรี
เพราะหิมะไม่ชอบแสงตะวัน เพราะท้องนภารังเกียจยามเย็น
ดังนั้นไม่นานท้องนภาก็มืดมิด
เพียงแต่นภาราตรีที่ยาวนาน ยังไม่สู้ความคิดคะนึง…
สวี่ชิงยืนอยู่หน้ากระโจมฐานที่มั่น มองฟ้ายามราตรี มองไปทางทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ
ที่นี่ห่างจากทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณไกลแสนไกล
“ไม่รู้ว่าเฉินเฟยหยวนเป็นอย่างไรบ้าง แล้วก็ถิงอวี้ตอนนี้เป็นอย่างไร มีพวกเขาอยู่ หลุมศพอาจารย์คงไม่ขาดของเซ่นไหว้กระมัง” สวี่ชิงพึมพำ เดินเข้าไปในกระโจมที่พัก
หลังจากนั่งขัดสมาธิ เขาก็ถอนใจเบาๆ หลับตาลง
ผ่านไปนาน คลื่นอารมณ์ของเขาถึงสงบลง จึงล้วงเอาขวดดินเหนียวใบเล็กออกมา
“หวังว่าจะใช้ได้” สวี่ชิงหยิบขวดดินเหนียวใบเล็กออกมาวางไว้ข้างๆ และล้วงเหล็กแหลมสีดำที่พกติดตัวมาหลายปีออกมา ใช้มือขวาลูบเบาๆ
เขารู้จักความคมทุกส่วนของเหล็กแหลมนี้ดี เขาคุ้นเคยกับทุกๆ รายละเอียดทั้งหมด
อาจารย์สอนหนังสือในถ้ำยาจกเคยพูดไว้ว่า คนยิ่งอายุมาก ก็จะยิ่งคิดถึงเรื่องเก่าๆ มากขึ้น สวี่ชิงรู้สึกว่าคำพูดนี้ไม่ค่อยถูกต้องนัก เพราะเขาอายุยังไม่มาก แต่เขาก็คิดถึงอดีตเหลือเกิน
ไม่ว่าจะคนหรือสิ่งของในอดีต ขอแค่เคยช่วยเหลือเขา เขาก็ไม่เคยลืมเลือน
สวี่ชิงก้มหน้าลงเปิดขวดดินเหนียวพร้อมกับอารมณ์เช่นนี้ นำเหล็กแหลมสีดำใส่เข้าไป จากนั้นก็แผ่สัมผัสไปที่เหล็กแหลม เพื่อสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงของมัน
ไม่นาน สวี่ชิงก็สัมผัสถึงปราณหมอกสีทองเป็นสายๆ ที่แผ่ออกมาจากในขวดกระเบื้องนี้ได้
ปราณหมอกล่องลอย ผสานเข้าไปในเหล็กแหลมสีดำ แต่ส่วนใหญ่จะไหลวนอยู่รอบๆ เหล็กแหลมเป็นวงๆ หล่อหลอมช้าๆ
ขั้นตอนนี้ค่อนข้างนาน ผ่านไปหนึ่งคืนเต็ม จนกระทั่งท้องฟ้าด้านนอกเริ่มสว่าง ปราณหมอกสีทองที่ห้อมล้อมเหล็กแหลมสีดำก็สลายหายไป
พวกมันหลอมรวมเข้าไปในเหล็กแหลมสีดำทั้งหมดแล้ว
สวี่ชิงหยิบเหล็กแหลมออกมาสังเกตอย่างละเอียดทุกชุ่นอย่างตั้งใจ จนหลังจากตรวจสอบทั้งหมดแล้ว สวี่ชิงก็เผยรอยยิ้มยินดีออกมา
รอยผุพังเว้าแหว่งหลายรอยในอดีตของเหล็กแหลมสีดำฟื้นฟูไปแล้วกว่าครึ่งในคืนเดียว ที่สำคัญที่สุดคือคุณภาพของมัน เหมือนจะแตกต่างกับก่อนหน้าอยู่บ้าง
ราวกับถูกหลอมขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
จุดนี้ บรรพจารย์สำนักวัชระก็มีสิทธิ์มีเสียง ดังนั้นตอนที่สวี่ชิงเรียกเขาออกมา เมื่อบรรพจารย์สำนักวัชระเห็นภาพนี้ ก็สัมผัสอย่างตั้งใจมาก ท้ายสุดจึงเอ่ยยืนยันออกมาว่า
“นายท่าน ข้าสัมผัสได้ว่าคุณสมบัติของเหล็กแหลมสีดำกำลังเปลี่ยนแปลง เหมือนกับผู้บำเพ็ญที่ยกระดับขึ้น มันก็กำลังยกระดับเช่นกันขอรับ ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปมันก็จะเปลี่ยนแปลงจากของวิเศษล้ำค่ากลายเป็นอาวุธเวท และเพราะข้าเคยร่ายเวทย์ไว้ ดังนั้นเมื่อกลายเป็นอาวุธเวท พลานุภาพของมันก็จะแทบไม่ต่างจากอาวุธวิญญาณเลย!
“กระทั่งพูดได้ว่า สิ่งนี้คืออาวุธวิญญาณไปแล้ว แต่ยังต้องการการหล่อหลอมที่มากขึ้นถึงจะใช้ได้ขอรับ”
สวี่ชิงพยักหน้า ดวงตาเผยแววครุ่นคิด
ราคาของปราณธาตุทองซ่างจางนั้นแพงมาก แน่นอนว่าการซื้อมาเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ทว่าสวี่ชิงรู้สึกว่าน่าจะมีขายอยู่ด้านนอกไม่มาก
‘ลองหาดูก่อนแล้วกัน อีกอย่างช่วงนี้ข้าจะไปที่เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะสักหน่อย ดูว่าจะได้รับปราณธาตุทองซ่างจางมาหรือไม่’
สวี่ชิงตัดสินใจ เก็บเหล็กแหลมอย่างระมัดระวัง หลับตาลงนั่งสมาธิ
ไม่นานท้องฟ้าก็สว่าง สวี่ชิงลืมตาเดินออกมา ค้นหาปราณธาตุทองซ่างจางที่ตลาดในเมือง
และเป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ ปราณมหัศจรรย์ที่ได้มาจากเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะนี้ ใช่ว่าจะไม่มีขาย แต่จำนวนน้อยมาก สวี่ชิงหาทั้งวัน ก็หาได้แค่สามกลุ่มเท่านั้น
จากการวิเคราะห์ของเขา หากจะยกระดับเหล็กแหลมสีดำให้สำเร็จ เขาจำเป็นต้องใช้อย่างน้อยสามสิบกลุ่ม
ระหว่างทางที่สวี่ชิงกลับไปยังฐานที่มั่นพร้อมกับความคิดนี้ขณะที่ยามพลบค่ำใกล้เข้ามา เขาก็เห็นชายชรานั่งขัดสมาธิอยู่ในลานพิธีเต๋านั่นอีกครั้ง และได้ยินคำบอกเล่าหญ้าสมุนไพรจากปากเขา
“เชียนหนิวราตรี มีอีกชื่อว่ารากเขาพิษหญ้าดอกขาว เป็นเถาวัลย์พร้อมรากของพืชตระกูลหญ้าดอกขาว ลักษณะเป็นไม้เถา ขึ้นอยู่ตามหุบเขาที่มีร่มเงา ริมธารน้ำเย็นรวมถึงในป่าทึบ…”
น้ำเสียงเจนโลก ดังก้องไปทั่วสารทิศ เพียงแต่จำนวนของผู้บำเพ็ญไร้สังกัดนอกลานพิธีเต๋าน้อยกว่าเมื่อวานนี้ วันนี้มีแค่สิบกว่าคนเท่านั้น
สวี่ชิงฟังอยู่พักหนึ่ง เดินออกไปเงียบๆ ครั้งนี้ก่อนที่เขาจะจากไป เขาจ่ายหินวิญญาณไปหนึ่งก้อน
ไม่นานก็ผ่านไปครึ่งเดือนเช่นนี้
ในครึ่งเดือนนี้ศิษย์เผ่ามนุษย์สำนักต่างๆ ที่มาเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะก็มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เมืองมรรคาสวรรค์นี้ยิ่งคึกคัก ยิ่งไปกว่านั้นผู้บำเพ็ญที่ปีนเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะก็เพิ่มมากขึ้นไม่น้อย
เพียงแต่คนที่อยู่อันดับหนึ่ง ยังคงเป็นหลี่จื่อเหลียง ระดับความสูงของเขาเกือบถึงแปดร้อยจั้งแล้ว ยิ่งปีนป่ายขึ้นไปสูงก็ยิ่งยากลำบากมากขึ้น
ช่วงนี้ คนผู้นี้ก็ยังส่งสารท้าดวลมายังพันธมิตรอีกสามครั้ง คนที่ท้าดวลยังคงเป็นสวี่ชิง
สวี่ชิงไม่สนใจ ช่วงนี้เขานอกจากออกไปหาซื้อปราณธาตุทองบางครั้งแล้ว เวลาส่วนใหญ่คือหมกตัวอยู่ที่ลานพิธีเต๋า ทุกวันตอนขากลับก็จะมาหยุดที่นี่ จนกลายเป็นความเคยชินของเขาไปแล้ว
กระทั่งเขาได้ยินชายชราคนนั้นเริ่มบรรยายวิชาหลอมยาลูกกลอน เขาจึงนั่งลงข้างลานพิธีเต๋าเพื่อฟัง
ครั้งนั้นปรมาจารย์ไป่ถ่ายทอดให้เขาแค่เรื่องยาสมุนไพร ถ่ายทอดวิชาหลอมยาลูกกลอนให้ไม่มากนัก ล้วนเป็นสวี่ชิงที่ค่อยๆ คลำทางและเล่าเรียนด้วยตนเองในภายหลัง
แม้จะมีผลงานส่วนหนึ่ง แต่พูดโดยรวม สวี่ชิงก็ยังบกพร่องเรื่องการหลอมยาลูกกลอนอยู่ เขาจึงฟังอย่างตั้งใจ วันคืนเช่นนี้มาพร้อมกับความสงบสุข หลายครั้งที่ทำให้สวี่ชิงรู้สึกเหมือนกลับไปอยู่ที่ฐานที่มั่นคนเก็บกวาด
ขณะเดียวกันเขาก็สัมผัสได้ว่าชายชราหน้าตาอัปลักษณ์คนนี้ สำเร็จในวิถีหลอมยาลูกกลอนมาก เพราะว่าจุดสำคัญมากมาย หลายครั้งที่ทำให้สวี่ชิงรู้สึกเหมือนบรรลุได้ทันทีด้วยประโยคเดียว
“อันที่จริงวิธีการแปรสภาพเพียบพร้อมหยินหยางเป็นแค่หนึ่งในนั้น วิถีลูกกลอนยิ่งใหญ่ลึกล้ำ จนปัจจุบันมีวิธีหลอมลูกกลอนมากกว่าหกพันวิธีแล้วสำหรับเผ่ามนุษย์
“ข้าไม่ได้เทิดทูนการถ่ายทอดวิชาหลอมลูกกลอน เพราะนี่ถือเป็นเพียงการถ่ายทอดวิธีสู่โลกภายนอก ดังนั้นมากสุดก็ทำได้เพียงถ่ายทอดวิชาแปรเปลี่ยนเพียบพร้อมหยินหยางให้เท่านั้น ด้วยเหตุนี้วิธีการไม่ใช่การหลอมสกัด แต่เป็นการประยุกต์ใช้พืชสมุนไพรอย่างหนึ่ง
“พวกเจ้าจงจดจำไว้ เส้นทางมีมากมายนับหมื่นพัน แต่ท้ายสุดก็กลับสู่เส้นทางเดียว
“ดังนั้นพื้นฐานวิถีลูกกลอนคือสิ่งสำคัญที่สุด จากนี้จำต้องหาวิธีที่เหมาะสมด้วยตนเอง ถึงอย่างไรสิ่งที่ง่ายที่สุดคือผสมเข้าด้วยกันก็มีประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน
“และที่เรียกกันว่าหลอมสกัด จากที่ข้าเห็น อันที่จริงก็เป็นเพียงวิธีนำสรรพคุณของสมุนไพรมากระตุ้นและจัดสรรเท่านั้น
“แม้วิธีเหล่านี้จะเป็นวิชาหลอมยาลูกกลอน แต่ข้าก็หวังว่าผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ที่ได้ฟังวิถีลูกกลอนของข้า จะเข้าใจถึงแก่นแท้ได้ เช่นนี้จึงจะประสบความสำเร็จในอนาคต”
สวี่ชิงฟังทั้งหมดนี้ สีหน้าก็เลื่อนลอย เหมือนเห็นชายชราตรงหน้าคนนี้กลายเป็นปรมาจารย์ไป่ไปแล้ว
เขานั่งตัวตรงตามสัญชาตญาณ จดจำทั้งหมดตามสัญชาตญาณ ขณะที่เรียนรู้ เขาค่อยๆ รู้สึกเข้าใจวิถียาลูกกลอนและสมุนไพรมากขึ้น
ความตระหนักรู้วิถีลูกกลอนยาสมุนไพรของตนเองยกระดับขึ้นอย่างชัดเจน และมีระบบระเบียบคอยค้ำจุน
ปรมาจารย์ไป่วางพื้นฐานให้เขามั่นคงอย่างมาก
ภายหลังที่ศึกษาด้วยตนเองประสมประเสกันจนค่อยๆ ยุ่งเหยิง เป็นเพราะเขาอาศัยพื้นฐานในอดีต รวมถึงมุ่งเน้นไปทางวิถีพิษ จึงพอประคับประคองระบบวิถียาลูกกลอนของตนเองไม่ให้ย่ำแย่ไปมากกว่านี้
ส่วนการเรียนรู้ครั้งนี้เหมือนกำจัดส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป ทำให้วิถียาลูกกลอนของสวี่ชิงค่อยๆ มีเข้าร่องเข้ารอยแล้ว
จากคำบอกเล่าตอนที่นายท่านเจ็ดพาสวี่ชิงไปที่เขาจักรพรรดิภูตเมื่อครั้งนั้น สวี่ชิงยามนี้ก็มี “เทพเจ้า” อีกองค์สถิตในใจที่คอยส่องสว่างแนวทางวิถียาลูกกลอนให้เขา
สิ่งนี้ทำให้สวี่ชิงมีความสุขมาก นานมากแล้วที่เขาไม่ได้มีความสุขเช่นนี้
การที่ความรู้เพิ่มพูนขึ้นทำให้เขารู้สึกเติมเต็ม เพียงแต่เรื่องไม่คาดคิดก็มักจะปรากฏขึ้นอย่างฉุกละหุก ทำให้การเรียนรู้ของสวี่ชิงถูกตัดบท
มีเรื่องหนึ่ง ที่เขาต้องไปจัดการ
สาเหตุของเรื่องคือความขัดแย้งที่ไม่ได้หนักหนานักบางอย่าง ศิษย์ของแต่ละสำนักหลายคนอย่างสำนักโลกันต์ทมิฬรวมถึงเจ็ดเนตรโลหิตในแปดพันธมิตรกระทบกระทั่งกับสำนักเซียนล้ำบารมี ที่จริงเรื่องนี้จะมากจะน้อยก็เกี่ยวข้องกับสวี่ชิง
ช่วงนี้เขาไม่สนใจการท้าดวลของหลี่จื่อเหลียงหลายครั้ง จนทำให้ลือกันไปทั่ว และคำวิจารณ์เหล่านี้ก็ทำให้ศิษย์ของพันธมิตรแปดสำนักไม่สบายใจ
จึงหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งได้ยาก
ครั้งนี้ก็เป็นเช่นกัน ขณะที่ศิษย์หลายคนของสำนักโลกันต์ทมิฬกับเจ็ดเนตรโลหิตกระทบกระทั่งกับสำนักเซียนล้ำบารมี ก็ถูกหลี่จื่อเหลียงจากสำนักเซียนล้ำบารมีกักตัวไว้ และยังลงมืออย่างโหดเหี้ยมอีกด้วย
อีกทั้งแจ้งกับพันธมิตรแปดสำนัก ชี้ให้สวี่ชิงออกมาขอโทษแล้วรับคนกลับไป
นี่เห็นได้ชัดว่าจะบีบสวี่ชิงให้ประมือกับเขา
เรื่องนี้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ศิษย์สำนักต่างๆ ส่วนใหญ่ในเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะรู้กันหมด และพากันให้ความสนใจเรื่องนี้
ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ที่สวี่ชิงไม่รับการท้าดวล ในมุมมองของคนที่ไม่รู้จักสวี่ชิงก็จะเข้าใจว่าเขาขี้ขลาดเลี่ยงไม่สู้ และอุบายของหลี่จื่อเหลียงวันนี้ พวกเขาก็อยากจะเห็นว่าสวี่ชิงจะยังหลีกเลี่ยงต่อไปหรือไม่
“น่ารำคาญจริง” หลังจากสวี่ชิงรู้เรื่องนี้ก็ขมวดคิ้วมุ่น ที่เขารำคาญย่อมไม่ใช่ศิษย์ของพันธมิตร แต่เป็นหลี่จื่อเหลียงจากสำนักเซียนล้ำบารมีคนนี้ต่างหาก
อีกฝ่ายคิดจะใช้เขาเพิ่มบารมี คิดจะดึงดูดสายตาของผู้ครองกระบี่ สวี่ชิงรู้ดี
จะบอกว่าความคิดนี่ผิดก็ไม่ได้ แต่การกักตัวบีบให้ต่อสู้เพื่อบรรลุเป้าหมายก็เกินไป และเมื่อเกินไปก็เท่ากับผิดปกติ
เรื่องผิดปกติ สวี่ชิงก็จะขบคิดอย่างลึกซึ้ง
อย่างเช่น ที่อีกฝ่ายท้าดวลหลายครั้งมีเป้าหมายอื่นอยู่หรือไม่
แต่ไม่ว่าจะมีเป้าหมายอะไร ก็เหมือนอีกฝ่ายจะยังไม่พร้อม จึงทำได้แค่บีบให้ตนต้องรับคำท้าดวล และศึกที่ไม่ใช่ศึกเป็นตายก็ทำให้สวี่ชิงรู้สึกว่าอีกฝ่ายน่าจะแค่ทดสอบพลังของตนเท่านั้น
ไม่ว่าจะที่ถ้ำยาจกหรือฐานที่มั่นคนเก็บกวาด หรืออาจจะเป็นวิธีการในการจัดการเรื่องต่างๆ ที่เขาเรียนรู้มาจากในสำนัก เมื่อพบกับสถานการณ์เช่นนี้ วิธีการจัดการของสวี่ชิงก็มีเพียงอย่างเดียว
นั่นคือไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้ลงมือเป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกก็ต้องเล่นงานให้ตาย
สิ่งที่เขาไม่ชอบที่สุดก็คือสู้แล้วยังสังหารทิ้งไม่ได้ ถึงอย่างไรจากการวิเคราะห์ เป็นไปได้มากที่อีกฝ่ายจะมีความเกลียดชังหลงเหลืออยู่ สถานการณ์เช่นนี้ จะต้องผูกความเกลียดชังไว้เป็นแน่
หากอีกฝ่ายยังมีชีวิตต่อไปได้ สวี่ชิงก็รู้สึกว่ามีอันตรายแฝงเร้น
สวี่ชิงจึงหยิบแผ่นหยกออกมา สื่อเสียงไปสอบถามกับบรรพจารย์
“ท่านบรรพจารย์ขอรับ ในอาณาเขตเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะไม่อนุญาตให้สังหาร นี่หมายถึงในอาณาเขตทั้งหมดหรือว่าแค่เฉพาะในเมืองหรือขอรับ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง บรรพจารย์ก็ตอบกลับเสียงอ่อน
“ในเมืองนี้ นี่เจ้า…ช่างเถอะ เจ้าจัดการตามสมควรเถอะ”
สวี่ชิงพยักหน้า ประสานหมัดให้ชายชราที่กำลังบรรยายเรื่องพืชสมุนไพรจากด้านนอกลานพิธีเต๋า เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้สนใจ เพราะว่าช่วงเวลานี้ ชายชราเอาแต่บรรยายอย่างเดียว ไม่เคยสอบถามหรือสนใจใครที่อยู่ด้านล่างเลย
แต่สวี่ชิงให้ความสำคัญกับมารยาทมาก หลังจากคารวะเสร็จ เขาก็ไหววูบทะยานสู่ท้องฟ้าด้วยความเร็วราวสายอัสนี พุ่งออกไปด้านนอกเมือง ยืนอยู่กลางอากาศ ส่งเสียงเรียบออกมา
“หลี่จื่อเหลียง ศึกเป็นตาย เจ้าจะรับหรือไม่”
เมื่อเสียงดังออกไป ทั่วทั้งเมืองมรรคาสวรรค์ก็ฮือฮาทันที