ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 363 ความจริงของการสัมผัสรับรู้
บทที่ 363 ความจริงของการสัมผัสรับรู้
สวี่ชิงไม่ได้สัมผัสอะไรได้อย่างละเอียด แต่ชั่วขณะเมื่อครู่นี้ ในใจเขากลับมีความหวาดกลัวผุดขึ้นอย่างน่าประหลาด
“ที่นั่น…” สวี่ชิงระมัดระวัง ความรู้สึกระแวงรุนแรง
บาดแผลของเขาสาหัส ดังนั้นหลายวันนี้ล้วนปิดด่านรักษา ตอนนี้ฟื้นตัวแล้วกว่าครึ่ง จึงหยิบแผ่นหยกมาถามเรื่องของโลกภายนอก โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับสำนักเซียนล้ำบารมี
คนที่เขาถามคือเสี่ยเลี่ยนจื่อ
สำหรับบรรพจารย์ สวี่ชิงรู้ว่าลำพังเพียงแค่ขอบคุณไม่มีความหมายใดๆ เรื่องที่ตัวเองร่วงลงมาจากความสูงสามพันจั้ง บรรพจารย์ลงมือช่วยในทันที เขาจำเอาไว้ขึ้นใจ
แล้วยังมียาลูกกลอนรักษาอาการบาดเจ็บที่มอบให้พวกนั้นอีก เรื่องพวกนี้สวี่ชิงไม่มีทางลืม
คนอื่นดีกับเขา ต่อให้เป็นเพียงแค่เรื่องเดียว สวี่ชิงก็จะจำขึ้นใจ กลับกันแล้วหากคิดร้ายก็เช่นกัน
ไม่นานนักสวี่ชิงก็ได้คำตอบ ขณะเดียวกันบรรพจารย์ก็ได้บอกเรื่องบางอย่างที่เกี่ยวกับภาพสัญลักษณ์ดวงจันทร์ด้วย รวมถึงการแตกดับของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ รวมถึงเทพเจ้าที่ไม่ได้มีแค่เสี้ยวหน้าเทพเจ้าตนนี้เท่านั้น แต่ยังมีความลับซ่อนเร้นอีกมากมาย
หลังจากฟังจบ สวี่ชิงจิตใจเกิดคลื่นซัดโหม ข้อมูลที่แฝงในเรื่องพวกนี้น่าตกใจเกินไป ยิ่งสอดคล้องกับการประสบพบเจอของเขา
คิดถึงวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณของตัวเอง คิดถึงภาพบนผนังในราชรถสัมฤทธิ์
ตอนนั้นเขาก็แปลกใจมาก เพราะจากภาพบนผนังที่สลักดวงอาทิตย์แตกดับไปแล้ว แต่ท้องฟ้ายังมีดวงอาทิตย์อยู่
ตอนนี้สวี่ชิงได้คำตอบแล้ว
เด็กหนุ่มที่นั่งบนราชรถสัมฤทธิ์ก็เป็นหนึ่งในดวงอาทิตย์ที่แตกดับนั่นเอง
“ท่านบรรพจารย์บอกว่าภาพที่อยู่บนเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะเป็นหนึ่งในดวงจันทร์ทั้งสิบสองดวงของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ในตอนนี้ ดวงจันทร์ดวงนี้อยู่ที่สุดแดนตะวันตกของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ อีกทั้งหมื่นเผ่าต่างสงสัยว่า บนดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จะมีเทพเจ้าหลับใหลอยู่อย่างนั้นหรือ
“ก่อนหน้านี้บนดวงจันทร์ในทะเลความรู้สึก ข้าได้ยินเสียงหายใจ…แล้วยังมีคำพูดที่เงาวิญญาณเด็กหนุ่มในทะเลความรู้สึกพูดอีก…” สวี่ชิงเงียบนิ่ง ความจริงคำตอบผุดขึ้นในใจของเขาตั้งนานแล้ว
“เทพเจ้า
“เช่นนั้น ดวงจันทร์สีม่วงที่ข้าใช้ไอพลังประหลาดโจมตีแย่งชิงมาก็เป็นพลังส่วนหนึ่งของเทพเจ้าเช่นนั้นหรือ”
สวี่ชิงพึมพำ สัมผัสรับรู้ดวงจันทร์สีม่วงดวงเล็กในทะเลความรู้สึกเล็กน้อย
ดวงจันทร์ม่วงดวงนี้เทียบกับจันทร์สีชาดแล้วไม่ถึงหนึ่งในล้านเลย แต่พลังที่แฝงอยู่ในนั้นก็ยังคงน่าหวาดกลัวสุดขีด สวี่ชิงแค่สัมผัสเล็กน้อยก็ขนลุกทั่วตัว
ความรู้สึกเหมือนมองเสี้ยวหน้าเทพเจ้าที่หลับตาบนท้องฟ้า
แต่เขาก็แค่ถูกพลังนี้สยบเท่านั้น ไม่มีอันตรายอะไร เพราะระหว่างดวงจันทร์สีม่วงกับเขามีการติดต่อเชื่อมโยงที่แนบแน่นเป็นอย่างมาก เขามีอำนาจในการควบคุม
เพียงแต่ แม้เขาจะมีสิทธิ์ในการควบคุม แต่เพราะตัวเองเล็กจ้อยเป็นอย่างยิ่ง จึงยากที่จะขยับมันได้อย่างแท้จริง ทำได้เพียงแค่เหนี่ยวนำพลังของดวงจันทร์สีม่วงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่กลับไม่มีผลกระทบต่อการรับรู้ของสวี่ชิง
“ไอพลังประหลาดเกิดขึ้นจากข้า ดังนั้น วัตถุที่ไอพลังประหลาดโจมตีก็จะมีข้าเป็นต้นกำเนิดพลังใช่หรือไม่”
สวี่ชิงสัมผัสครู่หนึ่ง หลังจากยืนยันการวิเคราะห์ของตัวเอง ก็เงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างอดไม่ได้
“เช่นนั้นสำหรับเสี้ยวหน้าเทพเจ้าแล้ว สิ่งที่ถูกพลังของเสี้ยวหน้าเทพเจ้าโจมตีทุกอย่าง ความจริงแล้วล้วนอยู่ในการควบคุมของเขา” สวี่ชิงเงียบนิ่ง จากนั้นสายตาก็เคร่งเครียด คิดถึงนายกองขึ้นมา
“นายกองน่าจะได้ผลเก็บเกี่ยวมาเหมือนกัน แต่ดูจากที่ท้องเขาระเบิด ท่าทางคงกลืนกินมันลงไปแล้ว ไม่เหมือนกับข้า” สวี่ชิงพึมพำ หยิบแผ่นหยกมาสื่อเสียงหานายกอง บอกการวิเคราะห์ของตัวเองก่อนหน้านี้
“นายกอง พลังนั่นหากดูดซับบางทีอาจอันตราย
“ไม่เป็นไร ข้ากินไปมากมาย หากถูกควบคุมจริงๆ อย่างเจ้าว่า เช่นนั้นคงมีเทพเจ้ามากมายต้องสู้กันสักยก ถึงจะกำหนดอนาคตของข้าได้
“อาชิงน้อยเจ้าอย่าได้อิจฉาข้า เจ้าถูกผู้บำเพ็ญหญิงแย่งชิง แต่ข้าไม่เหมือนกับเจ้า ข้าถูกเทพเจ้าแย่งชิง” นายกองหัวเราะฮ่าๆ
“อีกทั้ง ไม่แน่ว่าสิ่งที่ผนึกในกายข้าอาจไม่ใช่แค่สิ่งประหลาด ข้ารู้สึกว่าไม่แน่ว่าในกายอาจจะผนึกเทพเจ้าองค์หนึ่งเอาไว้ ดังนั้น เจ้าจะให้ข้าช่วยเจ้าหรือไม่ มอบส่วนนั้นของเจ้ามาให้ข้า ข้าช่วยเจ้าแบกรับความทุกข์ยากเอง”
“ขอบคุณแต่ไม่ต้อง” สวี่ชิงปิดแผ่นหยก ด้วยความเข้าใจในตัวศิษย์พี่ใหญ่ อีกฝ่ายพูดเช่นนี้ก็หมายความว่าเขาจัดการได้ ส่วนผนึกเทพเจ้าอะไรนั่น สวี่ชิงไม่เชื่อ
ดังนั้นหลังจากที่เขาฝังความคิดนี้ไว้ในใจ ทำจิตใจให้สงบแล้ว ก็วิเคราะห์ความรู้สึกหวาดกลัวที่ส่งมาจากทางสำนักเซียนล้ำบารมี
“ผู้สืบมรรคาสำนักเซียนล้ำบารมี ร่วงลงมาที่ความสูงสามพันจั้ง เกือบร่างและวิญญาณแตกดับอย่างนั้นหรือ
“เช่นนั้นปัญหาของผู้สืบมรรคาสำนักเซียนล้ำบารมีก็อยู่ที่เรื่องเขาเหยียบย่างที่ความสูงสามพันจั้งแล้ว” สวี่ชิงคิดถึงตรงนี้ ก็พลันมีการคาดเดาอย่างหนึ่งผุดขึ้น
“คงไม่ใช่ว่าเทพเจ้าที่หลับใหลในจันทร์สีชาด เนื่องจากการดูดซับและช่วงชิงมาจากข้ากับนายกองก็เลยตื่นขึ้น หลังจากนั้นก็เห็นจางซืออวิ้นหรอกนะ…”
สวี่ชิงดวงตาเบิกกว้าง ยิ่งคิดยิ่งคิดว่าความเป็นไปได้นี้สูงมาก นี่ก็อธิบายเรื่องที่ว่าจางซืออวิ้นเกือบตายได้แล้ว
“แต่ก็ไม่ถูก หากเทพเจ้าตื่นขึ้นจริงๆ จางซืออวิ้นที่เป็นระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์ไม่มีทางถูกช่วยรอดมาได้ เขาต้องตายแน่นอน”
สวี่ชิงพึมพำ เขานึกถึงความหวาดกลัวเมื่อครู่
“จางซืออวิ้นที่ถูกช่วยไว้ได้ทำไมถึงสร้างความหวาดกลัวและอันตรายให้กับข้าได้”
สวี่ชิงขบคิดครู่หนึ่ง ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นเล็กน้อยอย่างช้าๆ การคาดเดาที่น่ากลัวผุดขึ้นมาในสมองของเขา
“ผู้สืบมรรคาสำนักเซียนล้ำบารมีเกือบแตกดับเกี่ยวพันกับจันทร์สีชาด และการที่เขาไม่ตายก็เกี่ยวกับจันทร์สีชาดเหมือนกัน”
สวี่ชิงจิตใจสั่นสะท้าน ความระวังและความระแวงป้องกันยิ่งรุนแรงขึ้น เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนวิเคราะห์ถูกหรือผิด แต่วันข้างหน้าจะต้องระมัดระวังรอบคอบขึ้นไปอีกไม่มีทางผิดแน่นอน
เวลาก็ไหลผ่านไปอีกเช่นนี้เอง ไม่นานนักก็ผ่านไปเจ็ดวัน ศึกทดสอบคุณสมบัติผู้ครองกระบี่กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
ในเจ็ดวันนี้เกิดเรื่องมากมาย
ยกตัวอย่างเช่นการสืบค้นบนเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะยังไม่จบสิ้น ทำให้ไม่อาจปีนเสาได้อีก และสวี่ชิงก็รู้สึกว่าน่าเสียดาย
เพราะเขาจักรพรรดิภูตในทะเลความรู้สึกของเขายิ่งสมจริงขึ้นอีก ใบหน้าก็มีความคล้ายกับสวี่ชิงเกือบจะเก้าส่วนแล้ว
และกระบองที่ปรากฏในมือทั้งสองของเขาจักรพรรดิภูตก็แปรสภาพจากสภาพกึ่งโปร่งแสงรางเลือนมาชัดเจนขึ้นอีกมาก
ขณะเดียวกันการแข่งขันชิงอันดับรายชื่อก่อนหน้าก็ได้ผลสรุป
สวี่ชิง เฉินเอ้อร์หนิวและจางซืออวิ้น ทั้งสามคนล้วนปีนได้ระดับความสูงสามพันจั้ง ได้ที่หนึ่งเหมือนกัน
ทุกคนล้วนได้รับโอกาสสัมผัสรับรู้เคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ครั้งหนึ่ง
แต่ไม่ได้ไปสัมผัสรับรู้ตอนนี้ แต่จะดำเนินการหลังจากที่ทดสอบผู้ครองกระบี่จบสิ้นในตอนสุดท้าย
นอกจากนี้ รางวัลที่เขาปีนเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะก่อนหน้านี้ บรรพจารย์ก็ส่งมาแล้ว แต่เจาะจงยากว่าโดยละเอียดแล้วทุกคนได้มากน้อยเท่าไร ดังนั้น บรรพจารย์จึงแบ่งตามผลงานของสวี่ชิงก่อนหน้านี้ แบ่งให้เขาเจ็ดส่วน ที่เหลือสามส่วนให้เฉินเอ้อร์หนิว
นายกองดีใจมาก สวี่ชิงก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไรมาก โดยเฉพาะในรางวัลพวกนี้ยังมีเคล็ดวิชามรดกอีกชุดหนึ่งด้วย
เคล็ดวิชานี้ชื่อว่าเคล็ดทองสังหาร หลังจากสำแดงแล้วสามารถควบคุมธาตุทองรอบๆ ให้เป็นอาวุธของตัวเอง การสังหารทำลายล้างแข็งแกร่ง
หลังจากสวี่ชิงฝึกฝนแล้วก็ให้นายกอง นายกองก็รู้เรื่องที่สวี่ชิงรวบรวมปราณธาตุทองซ่างจาง จึงส่งปราณธาตุทองที่ตัวเองได้มาให้ ขณะเดียวกันก็ขอปราณธาตุอย่างอื่นด้วย
ส่วนสิ่งอื่นๆ สวี่ชิงวางแผนว่าจะขายทิ้ง แต่นายกองบอกให้เก็บไว้ วันหน้าไปเขตปกครองผนึกสมุทรจะมีประโยชน์เป็นอย่างมาก
ดังนั้นสวี่ชิงจึงเก็บไว้
นอกจากนั้น ทั้งสองคนก็หารือเกี่ยวกับว่าโถงครองกระบี่จะขอพลังที่พวกเขาได้มาหรือไม่
เรื่องนี้นายกองรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสที่พวกเขาจะกันตัวเองออก จึงจะเป็นฝ่ายเสนอส่งคืนไป สวี่ชิงก็รู้ว่าที่นายกองพูดมามีเหตุผล
แต่เขาเอาออกมาไม่ได้ ต่อให้เอาออกมาได้ก็ไม่ใช่พลังจันทร์สีชาด แต่เป็นพลังจันทร์สีม่วง
นายกองส่งมากลุ่มหนึ่ง
สวี่ชิงค่อนข้างตกใจ นายกองน้อยนักจะใจกว้างแบบนี้
“เพราะข้าพบอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ฮี่ๆ ข้ากำลังวางแผน ถึงตอนนั้นเจ้าต้องช่วยข้า ครั้งนี้ข้าเตรียมกินให้สะใจเลย”
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด
ขณะเดียวกันเหล็กแหลมของเขาภายใต้ปราณธาตุทองที่มากเพียงพอก็ทำการแปรสภาพให้สำเร็จโดยสมบูรณ์ กลายเป็นอาวุธวิญญาณ บรรพจารย์สำนักวัชระผสานเข้าไปอีกครั้ง
เพียงพริบตา พลังของเหล็กแหลมสีดำก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล รวมกับอัสนีแดงเคราะห์สวรรค์ของบรรพจารย์สำนักวัชระ ก็มีพลังสังหารระดับแก่นลมปราณสามวังลงมาได้
สวี่ชิงถือไว้ในมือกำเล่นอยู่ครู่หนึ่ง พอใจเป็นอย่างยิ่ง
แม้เจ้าเงาจะไม่ยอมจำนนแต่ก็จนปัญญา ทำได้แค่ส่งระลอกคลื่นอารมณ์ไปหาสวี่ชิงหลายครั้ง บอกไม่หยุดว่ามันเป็นเด็กดี ขณะเดียวกันก็แสดงอารมณ์ที่ทั้งกลัวแต่ก็ปรารถนาต่อจันทร์สีม่วงดวงนั้น
สวี่ชิงเห็นมันน่าสงสารจึงอนุญาตให้มันเข้าใกล้มาเล็กน้อย
หลังจากที่เจ้าเงาเข้ามาใกล้อย่างระมัดระวัง ก็เหมือนหมาป่าเดียวดายบูชาพระจันทร์ หมอบทำความเคารพจันทร์สีม่วง จากนั้นก็พ่นลมหายใจออกมา
สวี่ชิงมองภาพนี้อย่างอัศจรรย์ ยิ่งมีความเข้าใจจันทร์สีม่วงลึกซึ้งยิ่งขึ้น
“ดวงจันทร์สีม่วงดวงนี้เอามาเป็นวัตถุในวังสวรรค์วังที่ห้าของข้าหลังจากนี้ได้”
สวี่ชิงพึมพำ
ตอนนี้เขามีวังสวรรค์สามวัง วังสวรรค์วังที่สี่ก็เตรียมการไว้ตั้งนานแล้ว คิดจะบรรจุอสูรสมุทรบรรพกาลไปในนั้น มันก็จะกลายเป็นแก่นวิญญาณวังสวรรค์
ความจริงแล้ว แก่นวิญญาณวังสวรรค์หากตามปกติแล้ว ถึงจะเป็นวังสวรรค์ระดับแก่นลมปราณวังแรกของผู้ที่สัมผัสรับรู้วาฬบรรพกาลทะเลต้องห้ามได้ในระดับรวมปราณของยอดเขาที่เจ็ด
แต่หนทางการฝึกบำเพ็ญของสวี่ชิงต่างจากคนอื่น ตะเกียงแห่งชีวิตแปรเปลี่ยนเป็นวังสวรรค์ ลูกกลอนพิษต้องห้ามก็มีความเสี่ยงที่จะสูญสลาย ต้องบรรจุก่อน
นี่ทำให้แก่นวิญญาณวังสวรรค์ล่าช้ามาโดยตลอด
และจากการที่แก่นลมปราณประดุจผลึกวารีสี่ลูกของหลี่เหลียงจื่อถูกสวี่ชิงหลอมรวม วังสวรรค์วังที่สี่ของเขาก็แปรสภาพเป็นวัตถุจริงแล้วส่วนหนึ่ง จากการวิเคราะห์ของสวี่ชิง อีกไม่นานนัก วังสวรรค์วังที่สี่ก็จะก่อตัวขึ้น
นอกจากนั้น ในเจ็ดวันนี้ก็มีผู้ครองกระบี่มาหาสวี่ชิง แจ้งเรื่องที่โถงครองกระบี่ต้องการพลังภาพสัญลักษณ์แดนเทพ และบอกว่าเมื่อส่งมอบแล้ว สามารถแลกเป็นแต้มความชอบได้
แต้มความชอบเมื่อถึงระดับหนึ่งสามารถยกระดับตำแหน่งได้
ต่อให้หลังจากนี้ไม่ได้เป็นผู้ครองกระบี่ ก็สามารถใช้แต้มความชอบแลกวัตถุฝึกบำเพ็ญที่เป็นเฉพาะของโถงครองกระบี่เท่านั้นบางอย่างได้
เรื่องนี้สวี่ชิงหารือกับนายกองมาแล้ว เขาจึงทำท่าลังเล ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ส่งมอบพลังกลุ่มนั้นไป
หลังจากเจ็ดวันผ่านไปเช่นนี้ ศึกสิทธิ์การทดสอบผู้ครองกระบี่ที่ทำให้ผู้บำเพ็ญสำนักต่างๆ ที่มาที่นี่เฝ้ารอมานาน ก็มีประกาศว่าจะเริ่มแล้วส่งมา
ศึกสิทธิ์ทดสอบครั้งนี้ คนที่เขาร่วมมีถึงหลายพันคน แต่สุดท้ายเอาแค่สิบคนเท่านั้น!
สิบคนที่ได้รับสิทธิ์การทดสอบทำการคัดเลือกผู้ครองกระบี่สุดท้าย
เป็นผู้ครองกระบี่ที่แท้จริง!