ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 376 คำตอบของเอ้อร์หนิว
บทที่ 376 คำตอบของเอ้อร์หนิว
สวี่ชิงหลับตา แผ่สัมผัสออกไป ผสานกับหินสีดำก้อนใหญ่เบื้องหน้า
พริบตาที่สัมผัสกับหินก้อนนี้ ในสมองของเขาก็มีหมอกหนาทึบขึ้นมา
ท่ามกลางหมอกหนาทึบ มีเสียงพึมพำดังมาแว่วๆ เสียงนี้ล่องลอย เหมือนไกลมาก แต่ก็เหมือนใกล้
“กระบี่แห่งจักรพรรดิ…ไม่ได้ชักออกมาง่ายๆ
“ครั้นเมื่อชักออกมา ฟ้าจักถล่มดินจักทลาย”
สวี่ชิงใจสั่นสะท้าน ตั้งใจฟังอย่างละเอียด จากนั้นเสียงแว่วเหล่านั้นก็ค่อยๆ กลายเป็นเบาะแส สะท้อนก้องอยู่ในจิตวิญญาณของเขาไม่หยุด
เบาะแสเหล่านี้ บอกเล่าเรื่องกระบี่จักรพรรดิ
กระบี่จักรพรรดิ มีอีกชื่อหนึ่งว่ากระบี่แห่งผู้ครองกระบี่ เป็นหนึ่งในวิชาระดับจักรพรรดิดั้งเดิมของเผ่ามนุษย์ สร้างขึ้นโดยจักรพรรดิหยวนไจ่ผู้ยิ่งยงคงกระพัน
ฆ่าฟันเป็นหลัก พลานุภาพคลอนสวรรค์ สังหารไร้อาณา
เคยล้างสังหารไปหมื่นเผ่า และมหาจักรพรรดิเคยใช้ฟาดฟันเทพเจ้าในโบราณกาลก่อน
จักรพรรดิโบราณเสวียนโยวในอดีตก็ชื่นชมกระบี่ของมหาจักรพรรดิเล่มนี้เป็นอย่างมาก
และหลังจากวังกระบี่สายหนึ่งกลายเป็นผู้ครองกระบี่ มหาจักรพรรดิก็นำวิชาระดับจักรพรรดิทั้งหมดตอนตนมาเก็บไว้ในกรมครองกระบี่ และเปิดให้ผู้ครองกระบี่มาสัมผัสรับรู้ตามลำดับที่แตกต่างกัน
โดยเฉพาะวิชากระบี่จักรพรรดิที่มหาจักรพรรดิเปิดเผยอย่างใจกว้าง ผู้ครองกระบี่ที่เพิ่งเข้ามาทุกคน หลังจากกลายเป็นผู้ครองกระบี่ จะได้รับโอกาสสัมผัสรับรู้หนึ่งครั้ง
แต่มีเพียงครั้งเดียว จากนั้นก็ต้องใช้แต้มทหารแลกเปลี่ยน
และกระบี่จักรพรรดินั้นก็สัมผัสรับรู้ได้ยากมาก จวบจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีใครสามารถทำสำเร็จได้ในครั้งเดียว ส่วนใหญ่ต้องทำหลายครั้ง จึงจะสามารถฝืนประทับลงไปในใจได้ กลายเป็นเมล็ดพันธุ์กระบี่
ส่วนพลานุภาพกระบี่นี้ แข็งแกร่งแต่ก็ไม่แข็งทื่อ
และปัจจัยที่ใช้ตัดสินขีดจำกัดของพลานุภาพจะเกี่ยวข้องกับพลังบำเพ็ญของผู้บำเพ็ญ แต่ที่มากยิ่งกว่าคือเวลา
กระบี่จักรพรรดิต้องบ่มเพาะ ไม่ได้ชักออกมาง่ายๆ
และยิ่งใช้เวลาบ่มเพาะยาวนานเท่าไร เมื่อชักกระบี่ออกมา พลานุภาพก็จะยิ่งน่ากลัวเท่านั้น
แม้ว่าหลังจากชักกระบี่ไปหนึ่งครั้ง พลานุภาพจะลดหลั่นลงมาเท่าเดิม แต่การสยบเช่นนี้ก็น่าประหวั่นพรั่นพรึงมาก
เคยมีผู้ครองกระบี่บ่มเพาะเอาไว้ถึงพันปี เมื่อชักออกมา ใช้พลังบำเพ็ญปราณก่อกำเนิดขั้นสูงสุดข้ามไปซ่อนวิญญาณขั้นใหญ่ สังหารผู้บำเพ็ญหวนสู่อนัตตาคนหนึ่งทิ้งได้ทันที
แน่นอนว่านั่นเป็นช่วงก่อนหน้าที่เทพเจ้าจะมาเยือน ตอนนั้นพลังวิญญาณฟ้าดินยังเข้มข้น หมื่นเผ่าอายุยืนจนน่าตกตะลึง
ตอนนี้ไม่เท่าสมัยก่อน แต่กระบี่จักรพรรดิยังคงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เผ่าต่างๆ หวาดกลัวกรมครองกระบี่เผ่ามนุษย์ เพราะเจ้าไม่มีทางรู้เลยว่าในกรมครองกระบี่มีพวกผู้เฒ่าไม่ยังตายอยู่หรือเปล่า พวกเขาบ่มเพาะกระบี่มานานเพียงใดแล้ว
ขณะเดียวกันก็จินตนาการได้ว่า หลังจากที่เผ่าใดได้ครอบครองวิชาสังหารเช่นนี้ จะต้องจัดคนกลุ่มหนึ่งไว้คอยบ่มเพาะกระบี่ทั้งชีวิตโดยเฉพาะ ไม่ปล่อยให้ออกไปด้านนอกเป็นแน่
แค่เพื่อเมื่อชักกระบี่นั้นออกมาในช่วงเวลาสำคัญจะทรงอำนาจน่าตกตะลึง
สิ่งเหล่านี้คือหนึ่งในทักษะของกรมครองกระบี่ และเป็นสาเหตุที่ทำไมจักรพรรดิต้องเปิดเผยวิชากระบี่จักรพรรดินี้ให้แก่ผู้ครองกระบี่ทั้งหมดในตอนนั้น
เขาต้องการสร้างกรมครองกระบี่ให้มีรากฐานยากที่จะถูกสั่นคลอนและดำรงอยู่นิจนิรันดร์นั่นเอง
แต่กระบี่นี้สัมผัสรับรู้ยากเหลือเกิน หาใช่ผู้ครองกระบี่จะสัมผัสรับรู้ได้สำเร็จทุกคน ดังนั้นจำนวนครั้งในการสัมผัสรับรู้นั้นจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ครั้งนี้เท่ากับว่าสวี่ชิงกับนายกองและจางซืออวิ้นได้รับรางวัลเป็นกรณีพิเศษหนึ่งครั้ง
สวี่ชิงรู้ตัวดีว่าเขาไม่รู้กระแสเวลาด้านนอก ตอนนี้อยากจะแหวกหมอกหนาทึบตรงหน้านี้อย่างมาก แต่ปราณหมอกในสัมผัสรับรู้นี้เข้มข้นเกินไป เขาทุ่มสุดกำลังก็ขจัดออกไปอย่างรวดเร็วไม่ได้
ทำได้เพียงโหมแรงสุดกำลัง เดินไปข้างหน้าในหมอกหนาทึบไม่หยุด อยากไปดูด้านหลังหมอกหนาทึบให้ชัดๆ
เวลาก็ค่อยๆ ผ่านไปเช่นนี้
ไม่รู้ว่านานเท่าไร ในที่สุดหมอกหนาทึบเบื้องหน้าในครรลองสายตาก็เบาบางขึ้น เขาเห็นกระบี่เล่มหนึ่งรางๆ ด้านหลังหมอกหนาทึบ
หัวสมองเขาก็โหมเสียงครืนครันสนั่น พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
เพราะแม้จะเป็นกระบี่ที่ดูธรรมดาๆ แต่ภายในกลับแฝงการฆ่าสังหารที่น่าสะพรึงเอาไว้
ปราณพิฆาตที่ยากจะพรรณนา จิตสังหารที่สั่นคลอนจิตใจ แผ่ซ่านออกมาจากบนกระบี่เล่มนั้น
ราวกับว่าจะพุ่งตัดชั้นเมฆ ฟาดฟันทุกสิ่ง ทำลายฟ้าดินทั้งหมด
หินสีดำก้อนใหญ่ที่เป็นที่ตั้งของมันราวกับสะกดมันไว้ไม่ได้ ต้องพันธนาการด้วยโซ่เหล็กหลายชั้น ถึงจะฝืนทำให้กระบี่เล่มนี้ทิ้งภาพคงค้างได้
สวี่ชิงหายใจหอบถี่ สมองขาวโพลน มีเพียงแค่กระบี่ด้านหลังหมอกหนาทึบนี้ที่ค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นในครรลองสายตา เจตจำนงน่าหวาดหวั่นของมันก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
และขณะที่เขากำลังเลื่อนลอย ในทะเลความรู้สึกก็ค่อยๆ ปรากฏรูปร่างกระบี่เล่มนี้ขึ้นมา
การสัมผัสรับรู้ของสวี่ชิงที่แม้แต่นายท่านเจ็ดยังตกตะลึง เห็นจุดที่เลิศล้ำที่สุดของเขาได้
เวลานี้ความปรารถนาอันแรงกล้าปรากฏขึ้นในใจสวี่ชิง เขากำลังจะแหวกปราณหมอกนี้อีกครั้ง กำลังจะหลอมรวมกระบี่เล่มนี้ไว้ในใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ทว่าตอนนี้เอง…
พลังดึงดูดน่าหวาดหวั่นพลันดูดดึงจากทางด้านหลังกะทันหัน ลากตัวเขาออกมาด้านนอกฉับพลัน หลังจากฟ้าดินโกลาหลในพริบตานั้น ร่างของสวี่ชิงก็สะท้าน เมื่อเงยหน้ามอง ก็พบว่าตนไม่ได้อยู่ในที่ที่สัมผัสรับรู้แล้ว
และด้านนอกตำหนัก
จางซืออวิ้นก็อยู่ที่นี่ด้วย ตาแดงเถือก เหมือนกำลังข่มความปรารถนาในใจอย่างสุดกำลัง
หญิงชุดแดงชิงชิวก็อยู่ไม่ไกลนัก มองพวกเขาอย่างเย็นชา
นางรู้ว่าคนเหล่านี้ไปสัมผัสรับรู้วิชาระดับจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ แต่นางก็ไม่รู้ว่าทำไมตนเองที่ไม่มีคุณสมบัติ แต่โถงครองกระบี่ก็ยังให้นางรออยู่ที่นี่
“รอๆๆ แล้วต้องให้ข้ารอไปถึงเมื่อไรกัน!” ชิงชิวไม่พอใจอย่างยิ่ง
สวี่ชิงไม่สนใจชิงชิวกับจางซืออวิ้น เขารีบเงยหน้าขึ้นมองไปทางจุดที่ตนเองสัมผัสรับรู้ก่อนหน้า ในใจโหมความปรารถนาขึ้นมหาศาล
โดยเฉพาะตอนที่เขาสัมผัสโครงร่างกระบี่ในทะเลความรู้สึกได้ครู่หนึ่ง
แม้จะเลือนรางมาก แต่ก็มองออกว่านั่นเป็นเงากระบี่จริงๆ เพียงแต่เมื่อไม่มีรากฐานจึงค่อยๆ หายไป ดูจากความเร็วเกรงว่าอย่างมากสุดก็สองปีก็จะหายไปจนหมด
ทั้งหมดนี้ ทำให้สวี่ชิงรู้สึกอย่างหนึ่งว่าเมื่อครู่อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น ตนก็จะเห็นกระบี่เล่มนั้นอย่างชัดเจน
ความรู้สึกที่ถูกลากออกมาอย่างรุนแรงกะทันหัน ทำให้เขารู้สึกผิดหวังไม่จบไม่สิ้น
ขณะเดียวกัน เงาของนายกองก็ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าด้วยเช่นกัน ร่วงลงมาที่พื้นเช่นเดียวกับสวี่ชิง ยืนขึ้นพลันพลางหายใจหอบถี่ มองไปไกลๆ
‘อะไรกัน ข้าเกือบจะสำเร็จอยู่แล้วเชียว ข้าอ้าปากแล้วด้วยซ้ำ!’ นายกองโหมความคับแค้นอย่างยิ่งขึ้นในใจ เขาไม่กล้าพูดออกมา ทำได้แค่ไม่สมอารมณ์อยู่ในใจ
“พวกเจ้าสงบอารมณ์กันก่อน!”
ขณะที่สวี่ชิงกับนายกองล้วนมีระลอกคลื่นอารมณ์ เสียงเรียบเสียงหนึ่งก็ดังก้องขึ้นมาในใจทั้งสอง
ผู้ครองกระบี่กลางคนที่นำมาทางก่อนหน้าคนนั้น ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา
แรงกดดันแข็งแกร่งที่มาจากตัวเขาทำให้สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก สะกดความปรารถนาเอาไว้ในใจ
“พวกเจ้ารู้สึกว่าอีกนิดเดียวก็จะเห็นกระบี่จักรพรรดิแล้วใช่หรือไม่ อีกนิดเดียวพวกเจ้าก็ทำสำเร็จแล้วใช่หรือไม่
“ข้าบอกพวกเจ้าเลยว่าผู้ที่สัมผัสรับรู้ทุกคนก็ล้วนรู้สึกเช่นนี้ แต่อันที่จริง…ยังห่างกับการสัมผัสรับรู้สำเร็จอยู่ไกลแสนโข
“อีกอย่าง ที่ขีดจำกัดการสัมผัสรับรู้อยู่ที่สามชั่วยามนั้นมีเหตุผล
“ตั้งแต่โบราณจนปัจจุบัน ผู้ครองกระบี่ที่สัมผัสรับรู้เกินสามชั่วยามทั้งหมดจะกลายพันธุ์ไปในพริบตา ตายไปขณะที่กำลังสัมผัสรับรู้ ไม่รอดชีวิตสักคน”
ผู้ครองกระบี่กลางคนเอ่ยเสียงเรียบ ที่พูดออกมา ทำให้สวี่ชิงสงบนิ่ง
“สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะมหาจักรพรรดิในครั้งอดีตสังหารเทพเจ้าองค์หนึ่งไป แต่กระบี่เล่มนี้ก็เหมือนถูกเทพเจ้าสาปแช่งไว้ ทำให้นับจากนั้นผู้ที่สัมผัสรับรู้เกินกว่าสามชั่วยามจะกลายพันธุ์กันหมด
“ส่วนพวกเจ้าก็ไม่ต้องรีบร้อน พวกเจ้าโชคดีมาก ก่อนหน้านี้เป็นรางวัลพิเศษครั้งหนึ่ง รอจนพวกเจ้าไปถึงเมืองหลวงเขตปกครองเสียก่อน แต่ละคนก็จะได้โอกาสสัมผัสรับรู้อีกครั้ง
“ตอนนี้ ควรจะไปจัดการอีกเรื่องหนึ่งเสียก่อน เหล่าใต้เท้ารออยู่นานแล้ว”
จางซืออวิ้นค่อนข้างสงสัย เขาไม่รู้ว่าจากนี้จะมีเรื่องอะไร
แต่ตอนที่เขากำลังตั้งใจฟัง ผู้ครองกระบี่กลางคนก็โบกมือขวา ทันใดนั้นร่างของจางซืออวิ้นก็หายไปจากที่เดิม
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา แต่เกี่ยวกับพวกเจ้าสามคน” ผู้ครองกระบี่กลางคนไม่สนใจว่าจางซืออวิ้นที่ถูกตนเองไล่ออกไปจะคิดอย่างไร เอ่ยแช่มช้า
สวี่ชิงใจกระตุก มองนายกอง จากนั้นมองชิงชิว เริ่มครุ่นคิดขึ้นมา
ชิงชิงขมวดคิ้ว นางเดาคำตอบได้แล้วเลาๆ เพียงแต่คำตอบนี้ ทำให้นางคิดว่าเป็นเรื่องโชคร้ายมาก จึงรู้สึกหดหู่
นายกองนึกอะไรขึ้นได้เช่นกัน แววตาเผยประกายประหลาด พร้อมกับค่อนข้างตื่นเต้นเลาๆ รีบร้อนพูดออกมาว่า
“ใต้เท้า เกี่ยวข้องกับเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคาใช่หรือไม่”
ผู้ครองกระบี่กลางคนไม่สนใจเฉินเอ้อร์หนิว
สำหรับเขา เฉินเอ้อร์หนิวที่มีประกายแสงเปล่งออกมาเพียงหนึ่งจั้งจากเทวรูปมหาจักรพรรดิ ถือว่าเป็นความอัปยศของผู้ครองกระบี่
อันที่จริงไม่ใช่แค่เขาที่คิดเช่นนี้ ผู้ครองกระบี่คนอื่นที่คิดเช่นนี้ก็มีอยู่ไม่น้อย ถึงอย่างไร…ในระดับหนึ่งก็ถือว่าไม่ผ่านด่านในด้านแนวคิด แต่งตั้งไม่สำเร็จ
เขาจึงคร้านจะสนใจ แต่มองไปทางสวี่ชิงกับชิงชิว
“พวกเจ้าทั้งสามคน เคยไปปรากฏตัวที่เขาไตรวิญญาณสะกดมรรคา และเห็นการสะกดเทพวิญญาณโยวจิงของโถงครองกระบี่เรามาแล้ว
“ตอนนี้ ลานครองกระบี่ของพวกเราคุมขังเทพวิญญาณโยวจิงไว้เรียบร้อย กำลังถูกไต่สวน เหล่าใต้เท้าต้องการให้พวกเจ้าทั้งสามไปกระตุ้นเทพวิญญาณโยวจิงเสียหน่อย ทำให้นางไม่อยู่ในสภาวะอารมณ์ที่ราบเรียบอีก กระเพื่อมระลอกคลื่นรุนแรงขึ้น
“เช่นนี้ ก็จะสามารถทำให้เหล่าใต้เท้าล้วงความลับในจิตวิญญาณของนางได้สะดวกขึ้น”
พูดจบ ผู้ครองกระบี่กลางคนก็เดินไปไกล
สวี่ชิงทั้งสามลุกขึ้นเดินตามไป ระหว่างทางนายกองก็กะพริบตาปริบๆ ชั่งน้ำหนักในใจอย่างรวดเร็ว
‘ท่าทางประกายแสงหนึ่งจั้งของข้า ไม่ได้รับการยอมรับเท่าไร
‘ไม่ได้ ครั้งนี้ข้าต้องทำให้ดีๆ ช่วงชิงคะแนนในใจเหล่าผู้อาวุโสโถงครองกระบี่เหล่านั้นมาให้ได้ เช่นนั้นต่อไปจะไม่ดีกับการเลื่อนขั้น’
ขณะที่ในใจนายกองกำลังตื่นตัวก็รู้สึกกลัดกลุ้มมาก เวลานี้เขายังคิดว่าเหตุใดตนถึงได้ประกายแสงแค่หนึ่งจั้ง
‘คำตอบของข้าก็ไม่เลวนี่ แม้คำถามของมหาจักรพรรดิจะไม่ได้เป็นในคำถามหนึ่งพันข้อนั่น แต่ในนั้นก็มีอยู่สี่สิบเจ็ดข้อที่ตอบอย่างมีชั้นเชิงได้
‘ข้าตอบคำถามนั้นออกมา เป็นคำตอบที่สูงกว่ามาตรฐานอย่างสิ้นเชิงด้วยซ้ำ ทุกข้อล้วนอย่างน้อยก็ได้สูงกว่าระยะกว่าร้อยจั้งทั้งนั้น ประกอบกันจะต้องได้หมื่นจั้งแน่ จะจ่ายหินวิญญาณไปเสียเปล่าไม่ได้สิ
‘กระทั่งข้ายังสอพลอไปอีกตั้งมากมาย พูดไม่ซ้ำสักประโยค!
‘ยิ่งเพื่อแสดงให้เห็น ข้ายังบอกว่ามหาจักรพรรดิก็คือเทพเจ้าอีกด้วย
‘มีปัญหาตรงจุดใดกัน ตอนนั้นแสงมหาจักรพรรดิก็สั่นไหว เห็นได้ว่าพอใจมากนี่’
พอคิดถึงท่าทีในตอนนั้นของตน นายกองก็ยิ่งไม่พอใจ
‘ด้วยเหตุใดถึงให้ข้าแค่จั้งเดียว!’
นายกองเศร้าซึม มองสวี่ชิง รู้สึกว่าแรงกดดันมหาศาลมาก
ขณะที่อารมณ์เขากำลังตีเกลียว ผู้ครองกระบี่กลางคนก็พาทั้งสามมาถึงเบื้องหน้าคุกในโถงครองกระบี่
ที่นี่เป็นห้องลับที่มืดมิดแห่งหนึ่ง รอบด้านมีผนึกต้องห้ามอยู่นับไม่ถ้วน คนทั้งหมดที่มาที่นี่ ล้วนจะถูกจิตเทพเพ่งเล็งทั้งสิ้น
หลังผ่านการตรวจสอบ คนทั้งสี่ก็เดินเข้าไปตามบันไดแคบๆ ในคุกด้วยการนำทางของผู้ครองกระบี่กลางคน ขณะที่เดินไปท่ามกลางแสงไฟสลัว ที่ไกลๆ ก็มีเสียงของเทพวิญญาณโยวจิงที่ราบเรียบมาพร้อมกับความไพเราะเพราะพริ้งดังมา
“ได้ยินเสียงฝีเท้า มีคนเข้ามาอีกแล้วหรือ
“ไม่มีประโยชน์ พวกเจ้าคิดจะสืบค้นวิญญาณของข้า คิดจะกระตุ้นอารมณ์ของข้าสินะ เป็นไปไม่ได้หรอก
“ข้าเป็นสิ่งที่แปรมาจากวิญญาณของจักรพรรดิภูต ไร้ระลอกคลื่นอารมณ์ ต่อให้มีจริงก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญหวนสู่อนัตตาอย่างพวกเจ้าจะทำได้
“ร่างกายข้าแฝงความเป็นเทพเอาไว้ พวกเจ้า…มันก็แค่มดปลวก”