ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 380 วัยเด็กของสวี่ชิง
บทที่ 380 วัยเด็กของสวี่ชิง
“สหายตัวน้อย สีหน้าเช่นนี้ คือไม่ได้รับจดหมายข้า หรือ…เจ้าไม่ใช่คนเขียนจดหมาย”
จอมเซียนจื่อเสวียนใบหน้างามไร้ตำหนิ ใต้คิ้วโค้งงามงอนคือดวงตาใสกระจ่างดึงดูใจ เผยแววหยอกเย้า
“ผู้อาวุโส ข้า…” สวี่ชิงกัดฟันคิดจะอธิบาย
“หากไม่ใช่จดหมายที่เจ้าเขียน เช่นนั้นก็เป็นการล้อข้าเล่น ข้าจะไปตรวจสอบอย่างละเอียด ดูว่าในพันธมิตรแปดสำนัก ใครกันที่กล้าหาญชาญชัยมาเล่นกับข้าเช่นนี้
“เมื่อหาพบ ข้าจะฝังเขาไว้ที่นี่ คิดแล้วคนที่ไม่เคารพกันเช่นนี้ ต่อให้เป็นอาจารย์ของเขาก็คงพูดอะไรไม่ได้”
จอมเซียนจื่อเสวียนผลิยิ้มงดงามดุจบุปผา น้ำเสียงนุ่มนวล แต่ในดวงตากลับมีความตั้งใจ สวี่ชิงรู้สึกได้ว่านางตั้งใจจะทำเช่นนั้นจริง
สวี่ชิงก้มหน้ากวาดตามองจุดที่นายกองอยู่
นายกองที่ขัดกระดูกอสรพิษอยู่ไม่ไกลนัก ร่างคุดคู้ เขาได้ยินคำพูดของจื่อเสวียน เวลานี้กะพริบตาปริบๆ เงยหน้ามองสวี่ชิง กระอักกะอ่วนเล็กน้อย
แน่นอนว่าเขาฟังออกว่าจอมเซียนจื่อเสวียนตั้งใจพูด ตั้งใจเตือน แต่ปากถูกปิดผนึกไว้พูดไม่ออก ประสาทสัมผัสเทพก็เช่นกัน สื่อออกไปไม่ได้เลย ทำได้แค่กะพริบตาไม่หยุด
สวี่ชิงเห็นเช่นนี้ ก็แอบถอนหายใจออกมา เรื่องนี้จนถึงตอนนี้ เขาไม่เชื่อว่าจอมเซียนจื่อเสวียนจะมองที่มาที่ไปไม่ออก และไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่รู้ว่าใครเป็นคนเขียนจดหมาย ถึงอย่างไรก็เป็นหวนสู่อนัตตา ระดับเดียวกับท่านบรรพจารย์
คนเช่นนี้ ผ่านเรื่องราวมามากมาย ความคิดความอ่านก็เช่นกัน ดังนั้นเป็นไปได้มากว่าตอนที่เห็นจดหมายครั้งแรก จอมเซียนจื่อเสวียนก็คงจะรู้ทั้งหมดแล้ว
แต่ตอนนี้ ก็ยังเอ่ยออกมาเช่นนี้…
สวี่ชิงทำได้แค่หันหน้าไปมองจอมเซียนจื่อเสวียนอย่างใจเย็น
เวลานี้ใบหน้างดงามของจอมเซียนจื่อเสวียนแย้มรอยยิ้มที่ทำให้คนสติหลุดลอยออกมา รอยยิ้มงดงามมากราวกับทุ่งดอกไม้กำลังแย้มบาน เอ่ยเสียงนุ่มนวล
“เจ้ารับปากข้าไว้ไม่ใช่หรือว่ากลับมาแล้วจะเล่าอดีตของเจ้าให้ข้าฟัง”
เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา ดวงตาจอมเซียนจื่อเสวียนก็เผยความจริงใจ
เวลานี้นายกองที่อยู่ด้านล่างก็กะพริบตาอย่างบ้าคลั่ง ส่งสัญญาณว่าอย่างนี้สิ ต้องให้ได้อย่างนี้ กลัวว่าสวี่ชิงจะซื่อตรงเกินไปจนเปิดโปงเรื่องนี้ ถึงอย่างไรจอมเซียนจื่อเสวียนก็รู้อยู่แล้ว แต่กลับเลือกยอมรับโดยดี แต่ถ้าจะเปิดโปงอีกเวลานี้ก็จบสิ้นแล้ว
สวี่ชิงเงียบนิ่ง
ขณะที่นายกองร้อนใจ ผ่านไปเจ็ดแปดอึดใจ สวี่ชิงมองความจริงใจในดวงตาของจอมเซียนจื่อเสวียน เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“อดีตของข้าหรือขอรับ
“ข้าธรรมดามาก เกิดในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ เมืองนั่นชื่อว่าเมืองเป็นเอก
“ตระกูลข้าทำกิจการหอส่งจดหมาย โดยมีส่งจดหมายทางอากาศเป็นหลัก จึงเลี้ยงนกไว้มาก มีทั้งอีกา นกกระจอก นกพิราบ สวยงามทุกตัว และเชื่อฟังข้ามากด้วยเช่นกัน
“จนวันนหนึ่ง อีกาก็นำเหยี่ยวตัวหนึ่งมา นกทั้งหมดล้วนกระจัดกระจายหนีหาย ไม่รู้ว่าไปแห่งหนใด ข้าจึงออกจากเมืองเป็นเอกเพื่อไปตามหาพวกมัน”
“แล้วหาพบหรือไม่” จอมเซียนจื่อเสวียนเสียงอ่อนโยน
“เมื่อรู้ว่านกกระจอกกับนกพิราบอยู่ที่ใดแล้วขอรับ จากนั้นข้าก็จะไปพาพวกมันกลับบ้าน” สวี่ชิงตั้งใจ
“ขออวยพรให้เจ้า เช่นนั้นระหว่างทาง เจ้าเจออะไรมาบ้างเล่า” จื่อเสวียนมองสวี่ชิง ตั้งใจตั้งอกมากเช่นกัน
“ก็ไม่มีอะไรมากขอรับ ข้าเจอกับอีแร้งมากมาย พวกมันดุร้ายมาก ข้าเห็นนกเขาลายด้วย พวกมันก็ดื้อรั้นเช่นกัน สื่อสารด้วยลำบากมาก จริงสิ นกแขกเต้าข้าก็เคยเจอ เจ้าเล่ห์มาก ต่อมาก็ถูกอีแร้งกินไป”
สวี่ชิงเอ่ยราบเรียบ
จอมเซียนจื่อเสวียนมองสวี่ชิงเงียบๆ
นายกองที่เดิมทีร้อนรนอยู่ด้านล่าง เวลานี้เองก็สงบลง
มีเพียงเสียงของสวี่ชิงที่ยังกำลังสะท้อนก้องแผ่วเบา
“หลังจากนั้นข้าก็มุ่งไปข้างหน้ามาตลอด จนเห็นต้นไม้ต้นหนึ่ง บนต้นไม้มีนกหัวขวานด้วย ข้าพักผ่อนอยู่ที่นั่นพักหนึ่ง ต่อมาฝนตกฟ้าร้อง สายอัสนีผ่าต้นไม้ลงมา นกหัวขวานก็ตายไป
“สวยงามมาก บริสุทธิ์มาก”
จื่อเสวียนพยักหน้าเบาๆ
“แต่มันก็ตายไปแล้วเช่นกัน เพราะคู่ของมันถูกเหยี่ยวตัวหนึ่งกินไปหลายปีก่อน มันจึงยังวนเวียนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน สุดท้ายก็แก่ตาย ข้าเป็นคนฝังมันเอง
“จากนั้น ข้าก็ไปยังป่าสีเลือดแห่งหนึ่ง ที่นั่นปลาใหญ่กินปลาเล็ก อันตรายมาก แต่ว่าข้าได้พบกับนกกระสาขาวตัวที่สามที่นั่น และยังมีนกกระจาบฝน นกแก้ว และยังมีนกขมิ้น นกอีกหลากหลายชนิด จริงสิ ในป่ายังมีหมาบ้าอีกตัวหนึ่งด้วย”
“นี่ก็คือเรื่องราวของข้า” สวี่ชิงพูดถึงจุดนี้ ยิ้มแล้วมองไปยังจอมเซียนจื่อเสวียน
“แล้วนกกระสาขาวตัวที่สองล่ะ” จื่อเสวียนถามแผ่วเบา
ดวงตาสวี่ชิงย้อนความทรงจำ ครู่หนึ่งก็พึมพำออกมา
“นกกระสาขาวตัวที่สองก็ตายไปแล้วเช่นกัน ถูกค้างคาวทำร้ายจนตาย ต่อมาข้าก็ไปเล่นงานค้างคาวนั่นจนดับสูญ”
แดนลับอสรพิษปีศาจ เงียบงันไปหมด
นายกองก้มหน้า เห็นสีหน้าไม่ชัด อู๋เจี้ยนอูทำหน้างุนงง เห็นได้ชัดว่าเขาฟังไม่ออก ราวกับรู้สึกว่าในบ้านของสวี่ชิงน่าสนุกดี เลี้ยงนกเอาไว้ตั้งมากมาย
จอมเซียนจือเสวียนมองสวี่ชิง ในดวงตาแฝงความรู้สึกไร้ชื่อเรียก ทั้งห่วงใย ทั้งเวทนา
“แล้วเจ้าหลังจากนี้ล่ะ?”
“หลังจากนี้ ข้าจะไปหาเจ้าอีกา” สวี่ชิงยิ้มตอบโดยไม่ต้องคิด
“หลังจากที่เล่นงานมันจนตาย
“เมื่อจัดการมันแล้ว ข้าจะคอยดูว่าตัวข้าจะมีวิธีใดหรือไม่ แล้วค่อยไปสังหารเจ้าเหยี่ยวตัวนั้น”
สวี่ชิงนั่งอยู่บนกระดูกอสรพิษ ตอนที่พูด เขากำลังยิ้ม
พูดไปเรื่อยๆ ราวกับว่าความเครียดและความอึดอัดยามอยู่ต่อหน้าจอมเซียนสวี่ชิงหายไปมาก สีหน้าก็ผ่อนคลายลง เขากระทั่งถามขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“ผู้อาวุโส แล้วอดีตของท่านล่ะขอรับ”
“ของข้าหรือ”
จอมเซียนจื่อเสวียนชันเข่าขึ้น สองมือกอดหัวเข่าเอาไว้ ท่าทางนี้ทำให้เส้นโค้งเว้าที่งดงามยิ่งชัดเจนขึ้น
เวลานี้นางผินหน้ามองสวี่ชิง ใบหน้ารูปแตงที่ราวกับบุปผา กระจ่างใสราวหยก ผิวขาวนวลเนียนดั่งน้ำแข็งดุจหิมะ มีเพียงดวงตาที่ฉายประกายแสงนึกย้อนความทรงจำช้าๆ
“อดีตของข้าเรียบง่ายมาก ข้าไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพ่อแม่
“ความทรงจำที่ลึกลึกที่สุดคือท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์เลี้ยงดูข้าจนเติบใหญ่ สั่งสอนวิชาเวทแก่ข้า ตอนนั้นสำนักโลกันต์ทมิฬยังไม่ได้เข้าร่วมพันธมิตร และยังไม่ได้มีขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้”
จอมเซียนจื่อเสวียนเอ่ยด้วยยิ้ม
“ต่อมาก็พบกับเรื่องมากมาย สำนักโลกันต์ทมิฬถึงได้มีขนาดดังเช่นปัจจุบัน และเข้าร่วมกับพันธมิตร แน่นอนว่าก็มีคุณูปการของอาจารย์อยู่ ทว่า…ข้าก็เกลียดเขามาก
“ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว ในเมื่อเจ้าถามข้า ข้านึกเรื่องหนึ่งออก เรื่องนี้บอกเจ้าได้”
รอยยิ้มจื่อเสวียนงดงามมาก แก้มแดงฝาดระเรื่อเล็กน้อย โดยเฉพาะตอนที่ยิ้ม สองตาก็โค้งราวจันทร์เสี้ยว
“ข้ามักจะฝันอยู่เรื่องหนึ่งอยู่บ่อยๆ หลายปีแล้ว เมื่อก่อนเป็นทุกวัน ต่อมาก็เป็นทุกปี จนตอนนี้คือทุกๆ สิบปี…”
“ในฝัน เป็นโลกที่มืดมิด มองไม่เห็นรอบๆ เห็นเพียงแค่ตะเกียงใบหนึ่งเลาๆ อยู่เบื้องหน้าข้า
“ตะเกียงใบนั้นเหมือนจะเป็นสีม่วง แน่นอนว่านี่แค่การคาดเดาของข้า เพราะมันดับมอดไปแล้ว ไม่มีแสงไฟ ข้าเห็นแค่เลือนรางเท่านั้น จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน มันราวกับอยู่ไกลแสนไกล และก็เหมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อม
“แต่ข้าคิดว่ามันน่าจะดูเหมือนเป็นดอกชงโคที่บานสะพรั่ง บนนั้นมีหงส์สีม่วงตัวหนึ่งเกาะอยู่ กางปีกสยายเหมือนกำลังเบ่งบาน”
“ตะเกียงนี้ ปรากฏในความฝันของข้ามาตลอด มอดดับทุกครั้ง ทุกครั้งในโลกใบนั้นไม่มีแสงสว่างเลย
“บางที คงเป็นเพราะจุดนี้ ข้าจึงตามหาแสงสว่างมาตลอด” จอมเซียนจื่อเสวียนเอ่ยเสียงแผ่ว เมื่อพูดใกล้จบก็กลายเป็นเสียงพึมพำ
“ข้าก็ไม่รู้เพราะเหตุใด ความฝันนี้สมจริงมาก ตะเกียงนั้นก็สมจริงมากเช่นกัน”
สวี่ชิงตกตะลึง นิ่งเงียบไม่พูดจา
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป สวี่ชิงไม่พูด จอมเซียนจื่อเสวียนก็ไม่พูด ทั้งสองคนนั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้น
ผ่านไปนาน จื่อเสวียนก็หัวเราะ เสียงหัวเราะราวกับนกจาบฝน เสนาะหูมาก
“สวี่ชิง เอาเศษไม้ประตูวิญญาณจำนงนิรันดร์ของเจ้าให้ข้ายืมหน่อยสิ”
สวี่ชิงมองจื่อเสวียน หยิบเศษไม้สีดำออกมาจากในถุงเก็บของ วางไว้เบื้องหน้า
เมื่อหยิบเศษไม้ออกมา จอมเซียนจื่อเสวียนเพียงโบกๆ ทันใดนั้นเศษไม้สีดำก็แผ่แสงดำออกมา ขณะแสงนี้แผ่ขยายออกไป ประตูไม้โบราณที่ผ่านวันเวลาบานหนึ่งก็ปรากฏเป็นภาพมายาขึ้น
ประตูไม้ที่ปรากฏขึ้นแผ่กลิ่นอายเยือกเย็นมืดมนออกมา ขณะที่แผ่ซ่านไปทั่วสารทิศ ร่องรอยการไหลผ่านของกาลเวลา ก็ราวกับปรากฏแจ่มชัดขึ้นที่ลวดลายของประตูไม้
จื่อเสวียนยกมือขึ้นมา นิ้วราวหยกสัมผัสเบาๆ ต่อหน้าสวี่ชิง
ทันใดนั้นประตูไม้ก็ค่อยๆ เปิด จ่อไปที่จื่อเสวียน
มืดมิดไปหมด
ราวกับหุบเหว
นี่คือโลกภายในจิตใจของจอมเซียนจื่อเสวียน อาจจะหาใช่ว่าไร้ซึ่งสิ่งใดเลย เพียงแต่ความมืดปกคลุมไปทั้งหมด
ที่นั่นไม่มีแสง จึงไม่สว่าง
ที่นั่นต้องการแสง เพื่อส่องสว่าง
สวี่ชิงเหมือนจะเข้าใจเลาๆ เขารู้ว่าสิ่งที่สาดสะท้อนตนเองที่ออกมาจากประตูบานนี้คือแสงสว่าง
ไม่นานนัก ประตูไม้ก็สลายไป กลับกลายมาเป็นเศษไม้อีกครั้ง ร่วงลงมาบนมือของจอมเซียนจื่อเสวียน
นางคลึงเล่นอยู่ในมือครู่หนึ่ง หลังจากยื่นให้สวี่ชิงก็ลุกขึ้นยืน
ผมดำสยายไหวราวน้ำตกจากการลุกขึ้นยืน สวยงามมาก รูปร่างอ้อนแอ้นและท่วงท่าที่ทรงสง่านั้นทำให้คนที่เห็นอดนึกถึงความฝันที่นางพูดไว้ก่อนหน้าไม่ได้ และถอนหายใจเบาๆ ออกมาอย่างอดไม่อยู่
“สวี่ชิง เจ้ายังจำบทเพลงโสกกำสรดได้หรือไม่”
สวี่ชิงพยักหน้า ล้วงขลุ่ยที่จื่อเสวียนมอบให้ไว้ออกมาเป่าอย่างแผ่วเบา
เสียงขลุ่ยล่องลอย เวียนวนในฟ้าดินนี้ประดุจสายลม
ไม่รู้ว่าบทเพลงสิ้นสุดลงเวลาใด
และไม่รู้ว่าร่างเงาของจื่อเสียนก็หายไปเวลาใด
นางจากไปแล้ว
ราวกับว่าที่พาสวี่ชิงมาที่นี่ครั้งนี้ ก็เพื่อมาฟังเรื่องราวอดีตของสวี่ชิง และมาฟังบทเพลงโสกกำสรดนี้ จากนั้นก็วิจารณ์ออกมา
“ไม่ค่อยเพราะเท่าไร”
ประโยคนี้ ดังก้องอยู่ข้างหูสวี่ชิง
สวี่ชิงคิดๆ มองไปทางนายกองกับอู๋เจี้ยนอู
ทั้งสองคนส่ายหน้า ด้วยท่าทางที่เหมือนกับบอกว่าไม่เพราะจริงๆ
สวี่ชิงยืนขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เดินไปด้านหน้า ออกจากแดนลับนี้
ตอนที่ออกไปด้านนอกฟ้าก็สางแล้ว ในแดนลับอสรพิษปีศาจ ไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวก็ผ่านไปหนึ่งคืนแล้ว
เวลานี้เป็นช่วงเช้าตรู่ สวี่ชิงกำลังจะไปสำนักเพื่อคารวะนายท่านหก
ระหว่างทาง แผ่นหยกสื่อเสียงของเขาก็มีเสียงของเจ้าอ้วนน้อยหวงเหยียนดังขึ้น
“สวี่ชิง เมื่อวานข้าบอกกับเจ้าว่าจะกลับทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณกับศิษย์พี่หญิง พวกเราจะออกเดินทางแล้ว จึงบอกลาเจ้า”
“จะไปวันนี้หรือ พวกเจ้าอยู่ที่ค่ายกลส่งข้ามหรือที่ท่าเรือ” สวี่ชิงถามขึ้น
“ไม่ได้ไปค่ายกลส่งข้าม พวกเรากำลังจะขึ้นเรือ เราสองคนจะล่องไปในทะเล ใช้ชีวิตสองเรา”
หวงเหยียนหัวเราะ เหมือนจะมีความสุขเป็นพิเศษที่ได้กลับทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ
สวี่ชิงพลันเร่งความเร็วไปที่ท่าเรือ ไม่นาน เมื่อใกล้ถึงเขาก็เห็นเรือเวทของศิษย์พี่หญิงรองแล้ว และเห็นหวงเหยียนยืนตรงนั้นด้วย
เห็นสวี่ชิงมา หวงเหยียนก็คลี่รอยยิ้มดีใจ เดินมากอดสวี่ชิง
ศิษย์พี่หญิงรองก็เดินออกมาจากห้องเรือ มองสวี่ชิงด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์น้อง เมื่อคืนข้าเพิ่งจะกลับมาจากการทำภารกิจของสำนัก เมื่อวานจึงไปร่วมงานเลี้ยงไม่ทัน ยินดีด้วยที่เจ้ากลายเป็นผู้ครองกระบี่แล้ว!”
สวี่ชิงรีบประสานหมัด เขากับศิษย์พี่หญิงรองไม่ได้สนิทกันมากนัก แต่เขาก็รู้สึกขอบคุณที่อีกฝ่ายช่วยจัดการวงล้อมตอนอยู่ในร้านขายของยอดเขาลำดับหกของเจ็ดเนตรโลหิตให้ ต่อให้อีกฝ่ายทำเพื่อหวงเหยียน แต่ตอนนั้นก็แก้ไขเรื่องวุ่นวายให้เขาได้บ้างจริงๆ
ศิษย์พี่หญิงรองยิ้ม ไม่นานจากการที่สวี่ชิงมองส่งด้วยสายตา นางก็ออกเรือ
ไกลออกไป หวงเหยียนบนเรือเวทมองสวี่ชิงที่อยู่บนฝั่ง ตะโกนออกมาว่า
“สวี่ชิง ข้ามีสหายอยู่ที่เมืองหลวงเขตปกครอง ข้าบอกกับเขาแล้วว่าให้เขาช่วยดูแลเจ้าหน่อย แล้วก็จำไว้นะว่าถ้าด้านนอกมันไม่สนุก ก็กลับมาที่ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ
“ไม่ว่าเจ้าจะไปก่อเรื่องวุ่นวายภายนอกไว้มากเพียงใด ในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณมันไม่ใช่เรื่องอะไรเลย!”
หวงเหยียนตบหน้าอก เอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
สวี่ชิงไม่สนใจ ยิ้มแล้วพยักหน้า ประสานหมัดคารวะท่ามกลางสายลมที่พัดผ่านใบหน้า