ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 394 การพลิกโจมตีของสวี่ชิง
บทที่ 394 การพลิกโจมตีของสวี่ชิง
“นำทาง” สวี่ชิงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง
เขาทำเช่นนี้ทำให้ลูกศิษย์วังอาญาสองคนนั้นหรี่ตาลงเล็กน้อย ประเมินสวี่ชิงตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง ในใจเกิดความสงสัย หลังจากที่มองหน้ากันก็กัดฟันกรอด เอาเครื่องพันธนาการออกมาเดินไปทางสวี่ชิง
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด นายกองเลิกคิ้ว
ทั้งสองคนในเสี้ยวขณะนี้ จากภาพที่ไม่สมเหตุผล ก็มั่นใจเป้าหมายของอีกฝ่ายได้อย่างสมบูรณ์
นายกองยิ้มเจ้าเล่ห์มาก
สวี่ชิงไม่ได้ขัดขืน ปล่อยให้คนทั้งสองจากวังอาญาสวมเครื่องพันธนาการ ก้าวเดินไปข้างหน้า
เนื่องจากเดินช้าไป ลูกศิษย์วังอาญาที่อยู่ข้างๆ ก็ตวาดใส่
สวี่ชิงหันหน้าไป มองเขาด้วยความหมายล้ำลึกแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร เดินตามคนทั้งสองจากไปไกล
จื่อเสวียนมองทุกอย่าง นางเลือกที่จะเชื่อว่าสวี่ชิงจัดการได้ แต่ก็ยังเอาแผ่นหยกออกมา ติดต่อสหายสนิทในเมืองหลวงเขตปกครอง ใช้วิธีของตัวเองเพิ่มการรับประกันของเรื่องนี้
เฉินถิงหาวเองก็เช่นกัน เขาไม่ใช่คนที่มีน้ำใจกระตือรือร้น เขาแค่มีน้ำใจกับผู้ครองกระบี่เท่านั้น ตอนนี้ก็รีบติดต่อวังครองกระบี่ รายงานเรื่องนี้ทันที
“ทุกคนอย่าได้ร้อนรุ่มกังวลไป เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายจะสาดโคลนใส่อาชิงน้อย ร่องรอยชัดมาก ลงมือได้หยาบมาก
“วิธีการหยาบถึงเพียงนี้ หากได้ผลกับศิษย์น้องเล็ก เช่นนั้นพวกเราที่เคยอยู่กรมปราบพิฆาตมานานหลายปี ก็อยู่อย่างเสียเปล่าแล้วจริงๆ
“เรื่องนี้อย่างมากสามวันห้าวันก็คลี่คลาย ถึงตอนนั้นพวกเจ้าเชื่อข้า ทำตามข้าก็พอแล้ว” นายกองมองไปทางทิศที่สวี่ชิงจากไป ในใจมีเปลวไฟลุก
นี่เป็นครั้งแรกที่เขามองศิษย์น้องของตัวเองถูกคนอื่นพาไปเช่นนี้ต่อหน้าต่อตา
และในตอนนี้ นอกเมืองหลวงเขตปกครอง ในวังมหึมาที่ลอยอยู่สามวัง ในตำหนักข้างแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในวังกรมอาญา จางซืออวิ้นกำลังยืนระมัดระวัง ยอมจำนนอยู่ข้างๆ ใบหน้าแฝงความกังวล
เขาที่เป็นแบบนี้ เป็นด้านที่คนนอกไม่เคยมีใครได้เห็น
จางซืออวิ้นที่ปกติเจ้าเล่ห์เจ้าแผนการเหี้ยมโหดเย็นชา มีเพียงอยู่ต่อหน้าคนคนหนึ่งเท่านั้นถึงจะแสดงทีท่าเช่นนี้ นั่นก็คือมารดาของเขา
มารดาของเขาในตอนนี้นั่งอยู่ที่โต๊ะที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก กำลังก้มหน้าเปิดเอกสารของวังอาญา
ทั้งๆ ที่เป็นแม่คนแล้ว แต่ผมยาวดำสนิท ผิวขาวราวหิมะเนียนละเอียด ทั้งยังมีใบหน้าดวงเล็กที่งดงามเลิศล้ำดวงนั้น ทำให้นางเหมือนเซียนในภาพเดินลงมาในโลกมนุษย์
สวยจนทำให้คนตาพร่า งดงามจนเหมือนไร้ซึ่งมลทิน
ดูแล้วไม่เหมือนมารดาของจางซืออวิ้นเลย เหมือนพี่สาวของเขาเสียมากกว่า
นางนั่งอยู่ตรงนั้น หลังเหยียดตรง ในขณะที่ทำให้อกอวบอิ่มก็ยังทำให้เส้นโค้งเว้างดงามปรากฏขึ้นด้วย
จางซืออวิ้นไม่กล้าจะหายใจ ก้มหน้ารอคอยอย่างเงียบๆ
จวบจนนานหลังจากนั้น นอกตำหนักข้างมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น จากเสียงงดงามแผ่วเบาของหญิงสาวดังออกไป ประตูใหญ่ก็เปิดออก
ผู้บำเพ็ญสองคนนั้นที่เอาตัวสวี่ชิงมาเมื่อก่อนหน้านี้ ก้าวเข้ามาอย่างเคารพนอบน้อม คุกเข่าคารวะหญิงสาวที่อยู่ที่นั่งที่สูงขึ้นไป
“คารวะใต้เท้า
“ใต้เท้า นำตัวสวี่ชิงมาและส่งตัวไปยังคุกแล้ว แต่น่าเสียดายที่สำนักของเขาไม่ได้ทำการต่อต้านใดๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สวี่ชิงคนนี้ก็ไม่ได้ปฏิเสธการจับกุม…ไม่ทราบว่าต่อไปจะให้จัดการอย่างไรขอรับ”
“สำนักเล็กสำนักนี้ก็ไม่ใช่พวกไร้สมอง ไม่ต้องจัดการอะไร ขังเอาไว้ก็พอ” หญิงสาววางม้วนเอกสาร เงยหน้ามองไปทางผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสอง เอ่ยอย่างสงบนิ่ง
สายตาของผู้บำเพ็ญทั้งสองประสานกับหญิงสาว ระลอกคลื่นเกิดขึ้นในใจอย่างไม่อาจควบคุมได้ แม้ว่าจะพบกันบ่อย แต่ทุกครั้งที่พวกเขาเห็นหัวหน้าของตัวเองคนนี้ ต่างเกิดความรู้สึกปั่นป่วนอย่างอดไม่ได้
เป็นเพราะความงามของหัวหน้าคนนี้แฝงไว้ด้วยความเย้ายวนอันตราย แต่พวกเขาก็รู้ถึงความเหี้ยมโหดของอีกฝ่าย จึงตัวสั่นงันงก รีบก้มหน้ารับคำ เลือกที่จะถอยออกไป
เห็นลูกน้องสองคนของมารดาไปแล้ว จางซืออวิ้นยากจะปกปิดระลอกคลื่นอารมณ์ในใจ มองไปทางมารดาอย่างวาดหวัง
ต้นเหตุของเรื่องนี้คือหลังจากที่เขามาถึง ก็ได้บอกถึงเหตุผลที่ล้มเหลวเรื่องการทดสอบผู้ครองกระบี่ที่มณฑลรับเสด็จราชันครั้งนี้กับมารดา จากนั้นจึงเกิดเรื่องที่สำนักย่อยของพันธมิตรแปดสำนักถูกจับ
ตอนนี้ก็จับตัวสวี่ชิงมา นี่ทำให้ความคิดของจางซืออวิ้นแล่นปราด
“ท่านแม่ ในตัวสวี่ชิงมีตะเกียงแห่งชีวิตสองดวง…”
“หุบปาก!” มารดาของจางซืออวิ้นเอ่ยราบเรียบ
เมื่อคำนี้ดังออกมา จางซืออวิ้นใจสั่นสะท้าน ไม่กล้าพูด
“พ่อเจ้าเป็นคนไร้ประโยชน์ เดิมข้าคิดว่าเจ้าจะดีกว่าบ้าง คิดไม่ถึงว่าจะไร้ประโยชน์เหมือนกัน แม้แต่ประกาศิตผู้ครองกระบี่ยังเอามาไม่ได้ ทั้งยังต้องให้ปรมาจารย์ของเจ้าช่วยถึงจะได้”
จางซืออวิ้นก้มหน้า ในใจฝืดเฝื่อน
มองลูกชายของตัวเอง เหยาอวิ๋นฮุ่ยถอนหายใจในใจ นางค่อนข้างผิดหวังกับจางซืออวิ้นจริงๆ
“อวิ๋นเอ๋อร์ ทำอะไรต้องทำทีละขั้นๆ สวี่ชิงคนนั้นประกายแสงหมื่นจั้ง มหาจักรพรรดิคัดเลือก ระฆังเต๋าวังครองกระบี่เขตปกครองผนึกสมุทรดังเพื่อเขาครั้งหนึ่ง ผู้คนนับหมื่นล้วนเห็นด้วยตา คนที่จับตามองมีไม่น้อย ยิ่งเป็นหน้าตาของมณฑลรับเสด็จราชัน เจ้าคิดว่าจะไปแตะเขาได้ง่ายๆ หรือ”
“ท่านแม่จะตกปลาหรือ” จางซืออวิ้นคล้ายครุ่นคิด
“เจ้าก็นับว่าไม่ได้โง่เง่าโดยสิ้นเชิง ใช่แล้ว จุดประสงค์ข้อแรกที่ข้าขังเขาคืออยากจะดูว่าใครจะออกมาขัดขวาง ใครจะนิ่งดูดาย อย่างไรเสียประกายแสงหมื่นจั้ง ข้าไม่เชื่อว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนอยากจะเห็น
“ส่วนคนประเภทสวี่ชิงก็ลงมือกับเขาได้แค่ในตอนที่เพิ่งมาถึง ขนปีกยังงอกไม่สมบูรณ์เท่านั้น หากเขารับหน้าที่แล้วจริงๆ ใครจะกล้าล่วงเกินได้ง่ายๆ
“ทำอะไรจะใจร้อนบุ่มบ่ามไม่ได้
“อีกทั้งเรื่องนี้ไม่สามารถกำหนดข้อหาเขาได้ เป้าหมายที่สองที่ข้าจับเขาก็ไม่ใช่เพื่อกำหนดข้อหาเช่นกัน!
“อย่างมากสามวัน ข้าก็จะใช้เหตุผลว่าขยายเวลาตรวจสอบออกไป จำต้องทำการตรวจสอบขั้นต่อไปปล่อยตัวเขาไป พร้อมกับปล่อยตัวคนสำนักย่อยของเขาไปให้หมดด้วย
“แต่เพราะการตรวจสอบของข้ายังไม่จบสิ้น ดังนั้นนับจากนี้เป็นต้นไป ในประวัติของเขาก็จะมีข้อหาต้องสงสัยกระทำเกินหน้าที่เพิ่มขึ้นมา
“ใช้เรื่องนี้กลบประกายแสงหมื่นจั้งของเขา แต่นี่ยังไม่พอ เรื่องนี้ต้องทำหลายครั้ง ใช้วิธีต่างๆ บันทึก หลังจากหลายครั้งเข้า ประกายแสงหมื่นจั้งของเขาก็จะหมองหม่นในสายตาของผู้คน ถึงตอนนั้นพวกเราก็สามารถจัดการทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น
“ถึงตอนนั้นก็จะไม่มีใครพูดอะไรได้ ส่วนตะเกียงแห่งชีวิตของเขา เจ้าอยากได้จะไปเอามาโต้งๆ มาไม่ได้ ต้องเปลี่ยนวิธี หลังจากริบทรัพย์ส่งมอบทรัพย์สินของเขาแล้ว เจ้าค่อยใช้แต้มความชอบไปแลก เช่นนี้ถึงจะได้มาอย่างชอบธรรม
“ทำอะไรจะเอาแต่ฆ่าๆ ฟันๆ ไม่ได้ เจ้ายังต้องฝึกฝน”
มารดาของจางซืออวิ้นเอ่ยเสียงเบา เสียงประดุจน้ำพุ เพียงแต่น้ำพุนี้ดำสนิท แฝงด้วยพิษ
จางซืออวิ้นที่อยู่ข้างๆ ได้ยินก็หายใจเข้าลึก โค้งคารวะมารดาสุดตัว
ขณะเดียวกัน ในคุกของวังอาญา สวี่ชิงนั่งขัดสมาธิในคุก มองรอบๆ ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
คุกที่นี่ไม่ใช่คุกของเมืองหลวงเขตปกครอง แต่เป็นคุกขังชั่วคราวของวังอาญา ห้องขังแบบนี้กรมปราบพิฆาตในตอนนั้นก็มีเหมือนกัน
นักโทษรอบๆ มีไม่มาก แต่เนื่องจากอากาศที่นี่ไม่ถ่ายเท ดังนั้นจึงอวลไปด้วยกลิ่นอับเหม็น ยิ่งมีความเย็นยะเยือกชื้น เป็นระลอกๆ ซัดมา
ส่วนพลังบำเพ็ญของเขาภายใต้ผลจากเครื่องพันธนาการก็ถูกสะกดลงไปทั้งหมด แต่นี่เป็นแค่ภายนอกเท่านั้น สวี่ชิงมีวิธีเยอะแยะมากมายที่จะฟื้นฟูพลังบำเพ็ญ
ไม่ว่าจะเป็นเจ้าเงา หรือพิษต้องห้ามในกาย หรือจะเป็นพลังของพระจันทร์สีม่วงในกาย ล้วนสามารถทำให้เขาทำได้ถึงจุดนั้น
แต่สวี่ชิงไม่รีบ
เรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบเขาก็ได้พิสูจน์ยืนยันในใจแล้ว เรื่องนี้พุ่งเป้ามาที่เขา แต่ผลของประกายแสงหมื่นจั้งก็ได้สัมแดงฤทธิ์ให้เห็นในตอนนี้
หลังจากที่สวี่ชิงจินตนาการว่าเป็นอีกฝ่าย ทุกอย่างก็ยิ่งกระจ่างชัด
“จงใจใส่ร้ายป้ายสี ใช้ความไม่ชัดเจนทำให้ด่างพร้อย ใช้เรื่องนี้ทำลายการปกป้องอย่างไร้รูปร่างของประกายแสงหมื่นจั้ง
“ความคิดไม่เลว แต่วิธีการหยาบเหลือเกิน”
สวี่ชิงส่ายหน้า
จากการวิเคราะห์ของเขา ท่าทางอีกไม่กี่วันอีกฝ่ายก็จะใช้เหตุผลว่าขยายเวลาตรวจสอบปล่อยตัวคน แต่เรื่องนี้ยังไม่คลี่คลาย ดังนั้นในประวัติของเขาจะต้องมีข้อหานี้อยู่
สำหรับเผ่ามนุษย์ที่ให้ความสำคัญกับประวัติ ประวัติของตนก็ไม่ได้สะอาดแบบนั้นแล้ว
นอกจากประกายแสงหมื่นจั้งแล้ว จะมีข้อหาต้องสงสัยว่ากระทำการละเมิดอีกกระทงหนึ่งด้วย
แม้จะเป็นแค่ต้องสงสัย ผลเหมือนจะไม่มาก แต่คิดแล้วก็จะต้องมีเรื่องตามมาภายหลังเป็นชุด ทำให้บรรลุผลสุดท้ายอย่างแน่นอน
เรื่องนี้ดูแล้วเหมือนจะเยี่ยมยอด แต่ความจริงแล้วอีกฝ่ายไม่มีวิธีที่ชั้นเชิงสูงกว่านี้แล้ว
ในดวงตาสวี่ชิงเกิดไอเย็นเยือกลอยเอ่อ เรื่องนี้จะจัดการก็ง่ายมาก แต่สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่แค่การคลี่คลายเท่านั้น นี่ไม่ใช่นิสัยของเขา เขาต้องการพลิกโจมตีกลับ
เหมือนที่ถ้ำยาจกในตอนนั้น คนที่แสดงความเป็นอริออกมา ภายใต้ความแตกหัก หากเขาไม่สามารถสังหารได้ในทันที เช่นนั้นก็จะต้องหาวิธีให้อีกฝ่ายเจ็บปวด
ตอนนั้นบรรพจารย์สำนักวัชระไล่ฆ่าเขา ทั้งๆ ที่เขาหนีได้ แต่กลับเลือกที่จะเผาสำนักวัชระ นี่เป็นนิสัย
แต่ว่าสภาพแวดล้อมแตกต่างกัน วิธีการพลิกโจมตีกลับย่อมไม่เหมือนกัน
คิดถึงตรงนี้ สวี่ชิงก็หลับตา
วิธีการพลิกโจมตีคืน เขาคิดออกแล้ว
เวลาหมุนไป ไม่นานนักก็ผ่านไปสามวัน
ลูกศิษย์พันธมิตรแปดสำนักสำนักย่อยที่ถูกคุมขังมาสิบวัน แต่ละคนต่างสีหน้าอัดอั้น ได้รับการปล่อยตัวจากวังอาญา
ในสิบวันนี้แม้พวกเขาจะถูกสอบปากคำ แต่คำถามที่ถามล้วนเลื่อนลอย ไม่มีเนื้อหาที่แท้จริง ทำให้จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าตกลงแล้วเป็นเพราะอะไรกันแน่
ทันทีที่ออกมาจากวังอาญา พวกเขาก็เห็นพวกจอมเซียนจื่อเสวียนที่ได้รับข่าวมารออยู่ข้างนอก
“คารวะจอมเซียน!” เจ้าสำนักสำนักย่อยที่เป็นผู้นำมาจากยอดเขาลำดับสาม ในเสี้ยวพริบตาที่ได้เห็นจื่อเสวียน ในใจเขาก็ละอายนัก รีบสาวเท้ามา ประสานหมัดโค้งคารวะ
มองคนสำนักย่อยทั้งหลาย จื่อเสวียนพยักหน้า นางไม่เห็นสวี่ชิงในกลุ่มคน คล้ายครุ่นคิดอะไร
หญิงชราแห่งยอดเขาลำดับห้าที่อยู่ข้างๆ ก็เช่นกัน
มีเพียงนายกองเท่านั้นที่ทำท่ากระวนกระวาย แอบส่งสัญญาณสายตาให้อู๋เจี้ยนอู
อู๋เจี้ยนอูรีบนำแผ่นหยกบันทึกเงาเคลื่อนไหวออกมา
นอกจากพวกเขาแล้ว คนที่มารับสวี่ชิงยังมีเฉินถิงหาว ครั้งนี้เขาไม่ได้มาเพียงลำพัง แต่เรียกผู้ครองกระบี่ที่สนิทสนมกับเขามาอีกสิบกว่าคนด้วย
“สวี่ชิงเล่า”
ในตอนที่คนทั้งหลายประหลาดใจ เงาร่างสวี่ชิงท่ามกลางการผลักจากผู้บำเพ็ญวังอาญาสองคนนั้น ก็เดินออกมาอย่างช้าเนิบจากในวังอาญา
“ประกายแสงหมื่นจั้งแต่กลับต้องสงสัยว่ากระทำการละเมิด ครั้งนี้เจ้าโชคดี
“หลังจากกลับไป หวังว่าเจ้าจะคิดให้ดี เรื่องของเจ้าแค่จบลงชั่วคราวเท่านั้น แต่ยังไม่จบสิ้น”
ผู้บำเพ็ญวังอาญาสองคนนั้นเอ่ยอย่างเย็นชา หลังจากพาตัวสวี่ชิงออกมาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ กำลังจะปลดเครื่องพันธนาการให้เขา
แต่ในตอนนี้ สวี่ชิงร่างกายสะท้านเฮือก แววตาหมองหม่น กระอักเลือดออกมาคำโต
เลือดสาดไปบนพื้น ในขณะที่ดูน่าสยดสยองประหวั่นพรั่นพรึง ทั้งร่างสวี่ชิงในตอนนี้ปะทุหมอกเลือดออกมา เห็นเพียงรอยแผลเป็นทางๆ ปรากฏขึ้นบนร่างของเขา
รอยแผลพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นรอยใดล้วนน่าสยดสยอง ลึกจนเห็นกระดูก อีกทั้งเหมือนว่าจะถูกวิชาเวทปกปิดเอาไว้ทำให้มันแต่เดิมไม่ปรากฏ แต่ตอนนี้กลับชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง
รอนแผลนับไม่ถ้วนปรากฏบนใบหน้า คอ และบนผิวหนังนอกร่มผ้าของสวี่ชิง จินตนาการได้ว่าใต้เสื้อผ้าจะต้องมากกว่านี้แน่นอน
เพราะเลือดสดๆ แผ่ลาม อาบย้อมเสื้อผ้าจนชุ่มโชก
ทั้งหมดนี้ทำให้คนรู้สึกว่า สามวันที่สวี่ชิงถูกคุมขังได้รับการทรมานที่โหดร้าย ถูกทารุณอย่างอเนจอนาถ และคนที่ลงมือกับเขาก็ไร้ศีลธรรมจรรยา ทำราวกับจะถลกหนังทั้งตัวสวี่ชิงอย่างไรอย่างนั้น
นอกจากนี้แล้ว ในร่างเขาตอนนี้อวัยวะภายในยังแหลกเละ กระดูกแตกละเอียดเป็นบริเวณกว้าง ยากที่จะยืนอยู่ได้ ทั้งตัวล้มคะมำไปข้างหน้า
ลมหายใจรวยริน อเนจอนาถน่าสังเวชนัก จวนเจียนจะมอดม้วย!
นี่ก็คือวิธีการพลิกโจมตีกลับของสวี่ชิง
ตีงูต้องตีให้ถูกจุดสำคัญ หลักการในการพลิกโจมตีก็เป็นเช่นนี้ ต้องให้อีกฝ่ายทุกข์ทรมาน ให้ภาพที่อีกฝ่ายไม่อยากเห็นเกิดขึ้น ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
เหมือนตอนนั้นที่เขาเห็นเรื่องที่กรมทดน้ำ แอบดีดลูกหินเล็กๆ ลูกหนึ่ง ตอนนั้นหวงเหยียนตอบสนองด้วยการกระอักเลือดออกมา น่าสมเพชเวทนาเป็นอย่างยิ่ง ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้สำเร็จ
ครั้งนี้สวี่ชิงก็เตรียมทำเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ว่าต้องให้นายกองร่วมมือด้วย จุดนี้สวี่ชิงวางใจ เขาเชื่อว่านายกองจะต้องทำได้อย่างสมบูรณ์ยอดเยี่ยมแน่นอน
“สวี่ชิง!!” นายกองส่งเสียงแหลมโศกสลด ทั้งคนกระโจนออกไป ประคองร่างสวี่ชิงที่ล้มลงมาเอาไว้
สายตาสวี่ชิงอับแสง กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง เลือดท่วมร่างมากขึ้นกว่าเดิม ในดวงตาของเขาไร้แวว หมองหม่นจนถึงขีดสุด ทั้งคนลมหายใจรวยริน
นี่เป็นบาดแผลของจริง ไม่ใช่ของปลอม
ไม่ว่าจะเป็นร่องรอยเนื้อชุ่มเลือดหรืออาการบาดเจ็บจากอวัยวะภายใน ล้วนมีอยู่จริง พลังบำเพ็ญในร่างก็ปั่นป่วน วังสวรรค์ในตอนนี้ก็เกิดรอยร้าว
ส่วนเครื่องพันธนาการบนร่างของเขามีพลังผนึกพลังบำเพ็ญ
ภายใต้เครื่องพันธนาการนี้ไม่มีทางที่เขาจะลงมือสร้างบาดแผลแบบนี้ได้ เช่นนั้นคำตอบเห็นได้ชัดว่ามีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น…
“วังอาญา!”
“สวี่ชิงศิษย์น้องของข้าทำผิดมหันต์อะไรกัน พวกเจ้าถึงได้ทรมานบีบให้รับสารภาพเช่นนี้ ลงโทษอย่างโหดร้ายถึงเพียงนี้ ทารุณกำเริบเหิมเกริมถึงเพียงนี้!”
นายกองผมเผ้าหลุดรุ่ย คำรามโหยหวน
“วังอาญา! พวกเจ้าบอกข้า ศิษย์น้องเล็กข้าทำผิดอะไรกัน!”
“เขาเป็นเพียงแค่ผู้ครองกระบี่หน้าใหม่ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น มารายงานตัวรับตำแหน่ง วันแรกที่มาถึงกลับถูกพวกเจ้าเอาตัวไป พวกเจ้าสวมเครื่องพันธนาการพลังบำเพ็ญเขาต่อหน้าข้า สามวัน เพียงสามวันเท่านั้นก็อเนจอนาถไม่เหลือชิ้นดี!!”
นายกองโกรธแค้นเป็นอย่างยิ่ง จอมเซียนจื่อเสวียนก็โทสะท่วมฟ้า ลูกศิษย์พันธมิตรแปดสำนักทั้งหมด ณ ชั่วขณะนี้ เพลิงโทสะสะท้านฟ้าดิน แม้แต่เฉินถิงหาวและผู้ครองกระบี่เหล่านั้น ตอนนี้ต่างในดวงตาแฝงด้วยความโกรธอันรุนแรง ต่างก้าวไปข้างหน้า
ภาพนี้ทำให้วังอาญาแตกตื่นทันที ผู้บำเพ็ญวังอาญาที่นำตัวสวี่ชิงออกมาสองคนนั้นในสมองราวมีสายฟ้าฟาดผ่า เต็มไปด้วยความสับสนงุนงง พวกเขาไม่ได้ลงมือกับสวี่ชิง สามวันนี้ไม่มีใครลงมือกับสวี่ชิงทั้งนั้น
แต่อาการบาดเจ็บนั่นก็เป็นเรื่องจริง
ในขณะที่คนทั้งหลายเพลิงโทสะเพลิงโทสะสะท้านไปทั่วทั้งแปดทิศ เงาของสวี่ชิงก็สั่นสะท้านเล็กน้อย…
ขณะเดียวกันนี้ นายกองที่ประคองสวี่ชิงเอาไว้ ตอนนี้ลำคอเส้นเอ็นปูดโปน ดวงตาแดงก่ำ หัวเราะอย่างโศกเศร้าน่าเวทนาขึ้นมา
“ศิษย์น้องเล็ก ทำไมเจ้าถึงไม่หายใจแล้ว บอกกันไว้แล้วว่าพวกเราจะปกป้องเผ่ามนุษย์ด้วยกัน ถือกระบี่เพื่อเผ่ามนุษย์ด้วยกัน สาดแสงประกายเจิดจ้าไปในฟ้าดิน!
“ศิษย์น้องเล็ก เป็นใครที่ลงมือกับเจ้าอย่างโหดเหี้ยมทารุณเช่นนี้ พวกเขาทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรหรือ หรือเพราะเจ้าได้แสงประกายหมื่นจั้งจึงอิจฉาริษยา หรือเพราะเจ้าล่วงเกินจางซืออวิ้น
“ทำไมเจ้าจึงได้โง่ถึงเพียงนี้ มารดาของจางซืออวิ้นคนนั้นเป็นคนของวังอาญา ข้าบอกกับเจ้าแล้วว่าอย่ามา เจ้ากลับบอกว่า เจ้าเชื่อความยุติธรรมโปร่งใสของเผ่ามนุษย์ เจ้าเชื่อในประกายแสงของผู้ครองกระบี่!
“พวกเราใช้เวลาแปดเดือนมาถึงที่นี่ก็เพื่อมาเจอกับการใส่ร้ายและทารุณสังหารเช่นนี้หรือ!
“ศิษย์น้องเล็ก ประกายแสงหมื่นจั้งมีประโยชน์อะไร สามารถปกป้องเจ้าไม่ให้ถูกคนชั่วทุบตีอย่างโหดร้ายได้หรือ!”
“มหาจักรพรรดิคัดเลือกจะมีประโยชน์อะไร ปกป้องเจ้าไม่ให้ถูกคนชั่วทำร้ายทารุณได้หรือ!!
“ผู้ครองกระบี่…ก็คือถูกคนอื่นรังแกเช่นนี้น่ะหรือ”
“ศิษย์น้องเล็ก วันนี้ศิษย์พี่ใหญ่สู้ตายไม่เอาฐานะผู้ครองกระบี่ฐานะนี้ ก็จะต้องถามหาความยุติธรรมมาให้เจ้า!
“วังอาญา ศิษย์น้องเล็กของข้าหากมีความผิดจริงๆ พวกเจ้าก็เอาหลักฐานมา ข้าไม่พูดอะไรทั้งนั้น แต่หากทั้งๆ ที่ศิษย์น้องเล็กของข้าไร้ความผิด แต่กลับถูกเจ้าทารุณเช่นนี้ เช่นนั้นเรื่องนี้…จะไม่มีวันเลิกราเด็ดขาด!
“เรื่องนี้ฟ้าดินไม่อาจอภัย!
“เรื่องนี้ประกายแสงหมื่นจั้งไม่อาจอภัย!
“เรื่องนี้มหาจักรพรรดิคัดเลือกไม่อาจอภัย!”
นายกองดวงตาแดงก่ำ คำรามอย่างบ้าคลั่ง เสียงดังก้องไปทั่วทั้งวังอาญา ดังไปทั่วสารทิศ
ยิ่งไม่รู้ว่ามีใครประสานปางมือ ท้องฟ้าในเสี้ยวพริบตานี้เกิดเสียงอัสนีคำราม ฟาดผ่าเลื่อนลั่นสะท้านฟ้าดิน ในยามที่สายฟ้าแลบแปลบปลาบฟาดผ่าก็ได้สะท้อนแสงไปบนใบหน้ารูปสลักจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว ยิ่งทำให้รูปสลักยิ่งดูทรงอำนาจน่าเกรงขาม
สวรรค์กำลังพิโรธ คล้ายว่าจักรพรรดิโบราณก็กำลังพิโรธเช่นกัน