ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 396 วังสวรรค์พระจันทร์สีม่วง
บทที่ 396 วังสวรรค์พระจันทร์สีม่วง
แก้ไขเรื่องราวของพันธมิตรแปดสำนักได้อย่างราบรื่น
ในเรือนฐานที่มั่น สำนักแยกก็จัดงานเลี้ยงต้อนรับพวกของสวี่ชิงใหม่อีกครั้ง
ช่วงเวลานี้นายกองดูภาคภูมิใจมาก ชนแก้วคนนั้นทีคนนี้ที ค่อนข้างคุ้นเคยกับผู้ครองกระบี่เหล่านั้น
คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้ยินเรื่องการทดสอบผู้ครองกระบี่ของมณฑลรับเสด็จราชันครั้งนี้แล้ว มีเรื่องคนที่ได้แสงหมื่นจั้งด้วย
ดูจากการแสดงวันนี้ของนายกอง ก็เดากันได้แล้วว่าเป็นใคร แต่ก็ล้วนเป็นไปตามทำนองคลองธรรม ได้มาทั้งหินวิญญาณ และยังมีการแนะนำอย่างมีไมตรีจิตของเฉินถิงหาว แน่นอนว่าไม่มีการเปิดโปง อยู่ด้วยกันแล้วยังถือว่ากลมกลืน
จื่อเสวียนไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยง แต่ให้คนนำยาลูกกลอนบางส่วนไปให้สวี่ชิง
ยาลูกกลอนเหล่านี้ ทุกเม็ดล้วนเป็นสิ่งของติดตัวนาง ล้ำค่าอย่างมาก
หยิบยาลูกกลอน สวี่ชิงไม่พูดอะไร แต่ในใจมีระลอกคลื่นอยู่บ้าง
แต่เขาไม่ถนัดพูด ไม่รู้ควรพูดอย่างไร จึงเพียงส่งสื่อเสียงไปขอบคุณ
“สหายตัวน้อย ไยเปลี่ยนมาเป็นเกรงใจเช่นนี้เล่า”
ในแผ่นหยกสื่อเสียง เสียงของจื่อเสวียนมาพร้อมกับความเย้ายวน เมื่อเข้ามาในจิตเทพก็เหมือนจะคันยุบยิบ
“ข้าอยู่ในห้องเจี่ยนะ หากเจ้ามีปัญหาเรื่องการฝึกบำเพ็ญ แอบแวะมาหาข้าได้”
ประโยคสุดท้ายในแผ่นหยก ทำสวี่ชิงใจเต้น แอบเก็บแผ่นหยกลงไป ทำอารมณ์ให้สงบ
แม้อาการบาดเจ็บของเขาจะหนักหนา แต่ก็ฟื้นฟูกลับมาได้อย่างรวดเร็ว ถึงอย่างไรก็เป็นเจ้าเงาที่ทำขึ้น ตนเองจัดความเหมาะสมไว้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเทียบกับวิกฤตเป็นตายหลายครั้งในอดีต อาการบาดเจ็บครั้งนี้ถือเป็นแค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น
ดังนั้นเขาจึงงานเลี้ยงไปเข้าร่วมด้วย เห็นนายกองชนแก้วคนนั้นทีคนนี้ที สวี่ชิงจึงสอบถามเรื่องเหยาอวิ๋นฮุ่ยกับเฉินถิงหาว
“เรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์เผ่ามนุษย์เคยมีการสืบทอดแบบสันตติวงศ์ แต่หลังจากที่จักรพรรดิเผ่ามนุษย์พระองค์ขึ้นครองราชย์ ก็ล้มเลิกระบบสืบทอดแบบสันตติวงศ์ทิ้งไป ดังนั้นผู้นำตระกูลจวนเต๋าในปัจจุบันจึงไม่ได้มียศโหวนภา
“แต่ถึงอย่างไรบรรพบุรุษของเขาก็ยังสร้างคุณูปการให้เผ่ามนุษย์ ดังนั้นไม่ว่าจะเจ้าเขตปกครองหรือเจ้าวัง ก็ล้วนเรียกผู้นำตระกูลเหยาว่าท่านโหว โหวท่านนี้มีลูกสามคน สองชายหนึ่งหญิง เหยาอวิ๋นฮุ่ยคือลูกสาวคนเล็กของโหวอาวุโส
“เหยาอวิ๋นฮุ่ยคนนี้ก็เคยมีชื่อเสียงในเมืองหลวงเขตปกครอง ตอนนั้นออกเรือนกับสำนักเซียนล้ำบารมีมณฑลรับเสด็จราชันของพวกเจ้า จนมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย มองจากจวนเต๋า ฐานะของทั้งสองฝ่ายต่างกันมาก และต่อมาได้ยินว่าคนรักของนางตายไป เหลือลูกชายคนหนึ่งเอาไว้ในสำนักเซียนล้ำบารมี ส่วนตัวนางก็กลับมาอยู่ที่จวนเหยา
“คนผู้นี้เส้นสายกว้างขวางมากในเมืองหลวงเขตปกครอง เบื้องหลังก็ไม่ธรรมดา มีหน้าตาสะสวย ได้ยินว่ามีความสัมพันธ์กับผู้ดูแลซือหม่าวังครองกระบี่ที่มาจากสำนักเซียนล้ำบารมีก็อยู่บ้าง ส่วนตนก็ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมที่สามของวังอาญา”
เฉินถิงหาวพูดแนะนำกับสวี่ชิงอย่างจริงจัง
“ทว่าวังครองกระบี่ของพวกเราก็ไม่ได้กลัววังอาญา ผู้ดูแลซือหม่าคนนั้นก็ไม่ใช่พวกที่ทำผิดกฎเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเสียด้วย เจ้าไม่ต้องกังวลไป นอกจากนี้…อันที่จริงทุกคนก็ไม่ชอบจวนเหยากันทั้งนั้น”
เฉินถิงหาวคิดจะหยิบแก้วสุราขึ้น ก็ถูกคนรักของเขากวาดตามอง จึงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก อยากจะดื่มแต่ก็ไม่กล้าดื่ม จึงกระแอมไอเสียงหนึ่ง พูดกับสวี่ชิงต่อ
“มโนคติของพวกเราวังครองกระบี่ไม่สอดคล้องกับจวนเหยาน่ะ
“ส่วนต่างเผ่าใหญ่อีกสองเผ่าในเขตปกครองรวมถึงเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ พวกเราวังครองกระบี่สนับสนุนการต่อสู้โดยไม่ลังเล เจ้าวังเคยเสนอมาแล้วหลายครั้งว่าจะชะล้างเขตปกครองผนึกสมุทรนี้ สะกดเผ่ามารศักดิ์สิทธิ์และเผ่าเคียงเซียนเสียให้สิ้น
“แต่ตระกูลเหยาก็คัดค้านสุดกำลัง พวกเขาเข้าใจว่าการสังหารไม่ได้แก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง สนับสนุนการอยู่ร่วมกันกับต่างเผ่าในขั้นแนบแน่น ดังนั้นทั่วทั้งเขตปกครองตระกูลเหยา เผ่ามารศักดิ์สิทธิ์และเผ่าเคียงเซียนจึงมีปฏิสัมพันธ์กันบ่อยที่สุด กระทั่งแต่งงานกันก็มี เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ทางนั้นพวกเขาก็ออกไปเยี่ยมเยือนหลายครั้ง ทำตัวราวกับข้าทาสไปเสียทุกครั้ง”
เฉินถิงหาวสีหน้าเผยความหยามหมิ่นออกมา
“ไม่รู้จริงๆ ว่าถ้าโหวนภาของพวกเขารู้เรื่องนี้ จะปีนออกมาจากโลงแล้วตบพวกรุ่นหลังที่ไม่ได้เรื่องเหล่านี้จนตายหรือไม่”
พูดถึงจุดนี้ เฉินถิงหาวก็ชูเหยือกสุราขึ้นอย่างอดไม่อยู่ ดื่มลงไปอึกใหญ่
เมื่อคนรักของเขาเห็นก็ส่ายหัวอย่างจนใจ แต่ก็ยังเห็นความอ่อนโยนในสายตาได้อย่างชัดเจน
งานเลี้ยงไม่ได้ดำเนินไปนานมากนัก ตอนที่จันทร์กระจ่างลอยสูงเด่นก็สิ้นสุดลง หลังจากสวี่ชิงกับนายกองส่งพวกสำนักย่อยแล้วก็เดินอยู่ในเรือน
แสงจันทร์ผุดผ่อง ส่องลงมาใต้เท้าคนทั้งสอง สายลมอ่อนพัดเข้ามา พัดเส้นผมของสวี่ชิงและนายกอง พัดกลิ่นสุราบนตัวพวกเขากระจายออกไป
“อาชิงน้อย พวกเราในที่สุดก็มาถึงเมืองหลวงเขตปกครองแล้ว!” นายกองยินดีเต็มอก หัวเราะพลางเอ่ย จากนั้นก็ล้วงผิงกั่วลูกหนึ่งออกมากัดคำใหญ่
สวี่ชิงเงยหน้ามองท้องฟ้า มองไปที่รูปปั้นจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว พยักหน้า
“ยังจำเรื่องที่ข้าพูดกับเจ้าตอนนั้นได้หรือไม่ ว่าชาตินี้ เราจะอยู่ด้วยกัน!
“เมืองหลวงเขตปกครอง ไม่ใช่ปลายทางของพวกเรา แต่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
“จากนี้ พวกเราจะยืนในวังครองกระบี่ให้มั่นคง จากนั้นนะศิษย์น้องเล็ก รอให้พวกเราคุ้นเคยกับที่นี่ก่อน แล้วข้าจะพาเจ้าไปทำเรื่องใหญ่ต่อ!
“พวกเราจะเคลื่อนเมฆลมในเขตปกครองผนึกสมุทรนี้ ทำให้แผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ต้องเปลี่ยนชื่อเป็นเขตปกครองระลอกคลื่นจากการมาเยือนของเรา!” นายกองเจตจำนงองอาจอย่างหากได้ยาก กินผิงกั่วในมือจนหมด จากนั้นก็หยิบส้มมาอีกลูก
สัญชาตญาณสวี่ชิงโหมความระแวดระวังขึ้นมา มองนายกองที่ไม่ค่อยจะเหมือนปกติเท่าไร
“พวกเราจะทำให้คนทั้งหมดรู้ว่า เมื่อพวกเราอยู่ด้วยกัน ประกายแสงจะก้าวล้ำเกินหมื่นจั้งไปอีก!
“และพวกเราจะยิ่งทำให้คนทั้งหมดเข้าใจ ว่าพวกเราคือพี่น้อง เป็นพี่น้องที่สามารถทำทุกอย่างให้อีกฝ่ายได้!” นายกองพูดพลางพิจารณาสวี่ชิง
สวี่ชิงไม่เปลี่ยนสีหน้า พยักหน้าให้
“ดังนั้น การรายงานตัวหลังจากนี้ครึ่งเดือนจึงสำคัญมาก สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับตำแหน่ง หน่วยงานที่ต่างกันแต้มกองทัพก็ไม่เหมือนกัน หน้าที่รับผิดชอบก็แตกต่างกัน จะทำให้คลื่นศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนแปลง เชิดชูเผ่ามนุษย์ได้หรือไม่ก็อยู่ที่ก้าวนี้ของพวกเรา”
นายกองเอ่ยต่อ พูดเกินจริงมาก ราวกับว่าตำแหน่งครั้งนี้ จะตัดสินโชคชะตาของเผ่ามนุษย์อย่างไรอย่างนั้น
“หลังจากนั้นล่ะ” สวี่ชิงถาม เขาได้ยินเฉินถิงหาวพูดไว้ว่าวันรายงานตัวผู้ครองกระบี่ใหม่ คือครึ่งเดือนหลังจากนี้
“หลังจากนั้นก็ต้องดำเนินการน่ะสิ ศิษย์น้องเล็ก เรื่องนี้ต้องใช้เงินด้วยนะ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องใหญ่หลังจากนี้ของพวกเราก็ต้องคอยซื้อข่าวกรองด้วย ยังต้องใช้เงินอีก ดังนั้น…รอยายแก่ปีศาจนั่นส่งค่าชดเชยมาให้พวกเรา แฮ่ม พวกเราก็แบ่งกันคนละครึ่งเป็นอย่างไร”
“เท่านี้น่ะหรือ” สวี่ชิงประหลาดใจ เขานึกว่าจะเรื่องใหญ่อะไรเสียอีก
“ไม่มีปัญหา”
พอเห็นว่าสวี่ชิงตกลงอย่างยินดีเช่นนี้ ทั้งยังเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย นายกองจึงรู้สึกระแวดระวังขึ้นมา
เขารู้สึกเหมือนว่าสวี่ชิงในด้านขอบเขตการรับรู้จะสูงกว่าตนเองอยู่บ้าง สิ่งนี้ทำให้เขาตื่นตัว เตือนตนเองว่าต้องใส่ใจ และต้องเปิดรับในด้านขอบเขตการรับรู้ถึงจะถูก
เขาจึงโบกมือ
“ศิษย์น้องเล็ก แปดล้านหินวิญญาณที่เจ้าติดค้างข้า ข้าลดให้เจ้าเหลือเก้าส่วน!”
สวี่ชิงไม่มอง เดินตรงไปยังที่พักของตน
นายกองหัวเราะอย่างเบิกบาน บอกลาสวี่ชิงกลับไปยังที่พัก ห้องที่เขาพักเป็นสถานที่ที่เขาเลือกเองเป็นพิเศษ มีเขากับต้นไม้บดบัง แสงตะวันส่องเข้ามาไม่ถึง
นายกองรู้สึกว่าสถานที่ที่แสงตะวันส่องมาไม่ถึง ถึงจะสอดคล้องกับสถานะผู้ครองกระบี่ของตน
สวี่ชิงไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ หลังจากกลับมาก็วางกับดักรอบๆ ตามสัญชาตญาณ จากนั้นจึงเข้าไปด้านใน นั่งลงขัดสมาธิ หวนระลึกถึงเรื่องที่มายังเมืองหลวงเขตปกครองในช่วงหลายวันมานี้
จากนั้นก็ล้วงคัมภีร์ไม้ไผ่ออกมา จัดการสลักชื่อเหยาอวิ๋นฮุ่ยอยู่กับชื่อจางซืออวิ้น
เรื่องของเหยาอวิ๋นฮุ่ย เป็นแค่เรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งที่สอดแทรกในนระหว่างที่เดินทางมาเมืองหลวงเขตปกครองเท่านั้น
หลังจากสลักชื่อแล้ว สวี่ชิงค่อยหาโอกาสเก็บสองแม่ลูกคู่นี้อย่างไร้ร่องรอยทีหลัง
‘ยังมีหญิงชุดแดง แล้วก็ยังมีหนิงเหยียนอีก’ สวี่ชิงกวาดตาดูคัมภีร์ไม้ไผ่ ขมวดคิ้ว
‘บนนี้ชื่อที่ยังไม่ได้ขีดฆ่ามีค่อนข้างเยอะเสียแล้ว’
มองชื่อที่ยังไม่ถูกขีดฆ่ามากมายถึงเพียงนี้ สวี่ชิงรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย จึงเงยหน้ามองท้องฟ้าราตรีด้านนอก ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง
‘ต้องรีบยกระดับพลังบำเพ็ญ แล้วกำจัดพวกเขาทิ้งทีละคนให้ไวที่สุด’
สวี่ชิงหลับตาลง เริ่มฝึกบำเพ็ญ
เวลาไหลผ่านไป สี่วันต่อมา วังอาญาส่งหินวิญญาณกับยาลูกกลอนรวมถึงชิ้นส่วนของวิเศษเวทสามชิ้นและยังมีพวกอาวุธค่ายกลบางส่วนมาให้ นี่เป็นเครื่องหมายว่าเรื่องราวสิ้นสุดลงแล้ว
สวี่ชิงไม่ได้เก็บไว้คนเดียว ไม่ว่าจะนายกองหรือว่าศิษย์ที่ไปรับเขาที่วังอาญาทั้งหมดล้วนแล้วได้รับการจัดสรรแบ่งปัน
สุดท้ายยังมอบให้กับเจ้ายอดเขาลำดับห้ารวมถึงจอมเซียนจื่อเสวียนบางส่วนด้วย
ที่เหลือเขาก็เก็บมา
ทว่าลูกกลอนวังสวรรค์ด้านใน สวี่ชิงไม่ได้แบ่งปัน เขาเก็บเอาไว้เอง
ลูกกลอนนี้พลานุภาพไม่ธรรมดา หลังจากกินไปสามเม็ด ในที่สุดวังสวรรค์วังที่สี่ในร่างกายเขาก็ก่อรูปสำเร็จ
สวี่ชิงมองวังสวรรค์วังที่สี่ที่ส่องแสงเจิดจ้าในทะเลความรู้สึกจากเสียงกึกก้องครืนครันในร่างกาย ในใจโหมความเฝ้ารอ ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิด
’จะเป็นแก่นวิญญาณอสูรสมุทรบรรพกาล หรือ…พระจันทร์สีม่วงดี’ สวี่ชิงไม่ครุ่นคิดนานเกินไป ดวงตาเผยความเด็ดขาด
‘แก่นวิญญาณอสูรสมุทรบรรพกาลเอาไว้ก่อนแล้วกัน’
สวี่ชิงคิดถึงจุดนี้ ดึงพระจันทร์สีม่วงในทะเลความรู้สึกของตนเองอย่างสุดกำลังทันที ให้มันค่อยผสานกับวังสวรรค์วังที่สี่ สุดท้ายก็ประทับที่ส่วนลึกของวัง
พริบตาต่อมา ความรู้สึกผูกพันที่ชิดเชื้ออย่างหนึ่งฉายขึ้นมาในใจเขา
ก่อนหน้านี้ เขามีสิทธิ์การควบคุมพระจันทร์สีม่วง เพียงแต่อีกฝ่ายยิ่งใหญ่เกินไป เขาใช้งานมันได้ยากมาก ราวกับเด็กน้อยผลักรถม้า
แต่ตอนนี้อาศัยการผสานกันวังสวรรค์วังที่สี่ การควบคุมจึงง่ายกว่าก่อนหน้านี้พอสมควร
สวี่ชิงไม่ได้ทดสอบในทันที แต่หลับตาลงบ่มเพาะ จนผ่านไปอีกสิบวัน วังสวรรค์วังที่สี่ของเขามั่นคงแล้ว จึงลืมตาขึ้น
พริบตาที่ลืมตาขึ้น แสงสีม่วงรุนแรงแผ่ออกมาจากดวงตาเขา ทำให้ทุกสิ่งรอบด้านจมไปในทะเลสีม่วง
ตอนนี้วังสวรรค์วังที่สี่เปล่งแสงเจิดจ้าสีม่วงออกมา
มองพระจันทร์ม่วงส่องสว่างอยู่ด้านในต่อเนื่อง สวี่ชิงมีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าถ้าตนกระตุ้นสุดกำลัง ทั่วร่างก็จะแผ่กลิ่นอายเทพเจ้าที่เป็นของตนเองออกมาในพริบตา
นั่นก็คือไอพลังประหลาด!
ไอพลังประหลาดนี้ รุกล้ำและส่งผลกระทบต่อผู้บำเพ็ญทั้งหมด
หากรวมเข้ากับการสนับสนุนของลูกกลอนพิษต้องห้าม พลานุภาพไอพลังประหลาดที่มีต้นกำเนิดมาจากเขาก็จะยิ่งแกร่งขึ้น ระดับความเข้มข้นก็เช่นกัน ความเร็วในการรุกล้ำสรรพสิ่งก็เปลี่ยนไประดับที่น่าตกตะลึง
“ตอนนี้ข้าฝึกบำเพ็ญเต๋า หรือว่าเทพเจ้ากันแน่…” สวี่ชิงมองวังสวรรค์วังที่สามและสี่ของตนเอง จากนั้นก็มองดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาลที่ให้หลีกทางตลอด พึมพำเสียงต่ำ
“ข้าในตอนนี้ ผสานกับวิชาระดับจักรพรรดิ มีพลังต่อสู้ห้าวังสวรรค์แล้ว
“หลังจากผสานกับเจ้าเงา ก็จะสำแดงพลังกายเนื้อระดับหกวังสวรรค์!
“หากรวมกับพิษต้องห้ามกับพระจันทร์สีม่วง เจ็ดวังสวรรค์ข้าก็สู้ได้ และข้าจะชนะด้วย!” สวี่ชิงดวงตาเปล่งประกาย พลังต่อสู้ของเขาตอนนี้ในกลุ่มแก่นลมปราณวังสวรรค์ทั่วไป อยู่ในระดับสูงสุดแล้ว
“ไม่ว่าพลังฝึกบำเพ็ญจะเป็นเช่นไร ยกระดับพลังต่อสู้ถึงจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด!”
สวี่ชิงพึมพำ คำนวณเวลา ยังห่างจากวันรายงานตัวผู้ครองกระบี่อีกแค่คืนเดียวเท่านั้น
พรุ่งนี้เช้า คือวันรายงานตัว
‘ไม่รู้ว่าหลังจากรายงานตัวจะไปอยู่ที่ตำแหน่งใด’
สวี่ชิงคิดถึงเขาประกายอรุณ คิดถึงสิ่งที่เฉินถิงหาวบอกกับตนเอง การจะไปยังเขาประกายอรุณต้องใช้แต้มกองทัพจำนวนมาก
“แต้มกองทัพ!” สวี่ชิงในดวงตาเผยประกายเฉียบคม ครู่หนึ่งจึงหลับตาลงปิดบังความเฉียบคมนี้ เฝ้ารอเวลาให้ผ่านไป
หนึ่งคืนผ่านไป
วันต่อมา จังหวะที่ตะวันแรกโผล่พ้นขอบฟ้า สวี่ชิงลุกขึ้นยืน เปลี่ยนเป็นชุดนักพรตสีขาวของผู้ครองกระบี่ สวมผ้าคลุม
ยืนที่หน้าประตู เขาสูดลมหายใจลึก ยกมือเปิดประตูห้องออกไป
แสงตะวันด้านนอกสาดเข้ามา ส่องผ่านรอบตัวสวี่ชิง ราวกับหลอมรวมร่างเงาเขาเข้าไปในแสง โดยเฉพาะที่ลอดผ่านเส้นผมเหล่านั้น กลายเป็นความพร่างพราว
มองออกไปไกลๆ เขาที่ท่ามกลางแสง ก็ราวกับมีไฟดวงหนึ่งโหมขึ้นมา
ศิษย์ที่เดินผ่านรอบๆ ก็เมียงมอง
จอมเซียนจื่อเสวียนยืนอยู่บนชั้นสองของห้องพักตนเอง มองมาทางสวี่ชิง ในดวงตาอดเผยประกายประหลาดใจออกมาไม่ได้
อีกด้านหนึ่งของเรือนสำนักย่อย ห่างจากสวี่ชิงทางนั้นไม่ไกลมาก ในห้องที่มีเขามอและต้นไม้บดบังแสงตะวันส่องเข้ามาไม่ได้ห้องหนึ่ง นายกองเปิดประตูใหญ่
เขาบิดขี้เกียจ เมื่อจะเดินออกมา ก็เห็นสวี่ชิงที่อยู่ท่ามกลางแสง ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
“อย่างนี้ก็ได้หรือ”
นายกองหันหน้ามามองที่ห้องของตนเอง จากนั้นก็มองสวี่ชิงทางนั้น จู่ๆ ก็รู้สึกว่าห้องไม่คู่ควรกับสถานะผู้ครองกระบี่ของตนเสียแล้ว