ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 398 จิตผดุงธรรมท่วมฟ้า
บทที่ 398 จิตผดุงธรรมท่วมฟ้า
บนฟ้ามีคนเดินออกมาคนหนึ่งจากเสียงสะท้อนเลื่อนลั่น
คนคนนี้อายุประมาณยี่สิบสี่ยี่สิบห้า รูปร่างไม่ได้สูงใหญ่กำยำ แค่ประมาณกลางๆ เท่านั้น
หน้าตาก็ไม่ได้งดงาม แต่คิ้วเข้มตาคม
โดยเฉพาะสองแขนที่ยาวกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย ดวงตายิ่งเป็นประกาย เหมือนแฝงไว้ด้วยดวงดารา ทำให้ทั้งตัวแผ่กลิ่นอายองอาจผึ่งผาย
ตอนนี้เขาก็ก้าวออกมาจากกลางอากาศท่ามกลางเสียงหัวเราะ ทำให้คนรู้สึกองอาจน่าเกรงขาม
ไม่ได้จงใจพลังบำเพ็ญแผ่ออกมา แต่ความแข็งแกร่งของพลังกดดันในตัวเหมือนจะสยบซึ่งทุกสิ่ง สิ่งที่ยิ่งทำให้สวี่ชิงจิตใจสั่นสะท้านคือภาพสัญลักษณ์วิหคทองบนร่างของตนแผ่ความร้อนลวกรุนแรงออกมา
ก่อนหน้านี้ที่เผชิญหน้ากับพวกซานเหอจื่อทั้งสามคน แม้วิหคทองจะแผ่ความร้อนออกมาเช่นกัน แต่กลับไม่ได้รุนแรงเหมือนในตอนนี้เลย
และชายหนุ่มที่เดินมาก็มีเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิเช่นกัน ตอนนี้ภายใต้การเหนี่ยวนำ มิติข้างหลังก็เหมือนฉีกขาด มังกรทองตัวหนึ่งคำรามออกมา ในขณะที่วนเวียน รัศมีอำนาจก็สะท้านฟ้าน่าพรั่นพรึง
เกล็ดมังกรทุกเกล็ดแผ่ประกายแสง หนวดมังกรทุกเส้นแฝงไว้ด้วยความไม่ธรรมดา ดวงตามังกรยิ่งฉายความโหดเหี้ยม ยิ่งมีความรู้สึกเหมือนราชันลงมาเยือน
ไม่ใช่เพียงเท่านี้ ที่ปากมังกรทองตัวนี้ยังคาบกระบี่ไว้เล่มหนึ่งด้วย
นั่นคือ…กระบี่จักรพรรดิของผู้ครองกระบี่เผ่ามนุษย์!
คนคนนี้คือคนที่สัมผัสรับรู้กระบี่จักรพรรดิสำเร็จ
หากเป็นแค่นี้ก็ช่างเถอะ แต่สิ่งที่ทำให้จิตใจของสวี่ชิงยิ่งเกิดระลอกคลื่นรุนแรงคือเขาสัมผัสได้ถึงตะเกียงแห่งชีวิตในร่างกายของอีกฝ่าย
ไม่ใช่ดวงเดียว แต่เป็นสามดวง!
ในสัมผัสรับรู้ของสวี่ชิง ประกายแสงของตะเกียงแห่งชีวิตสามดวงในร่างของชายหนุ่มสยบลงไป คนนอกไม่รู้ มีเพียงผู้ที่มีตะเกียงแห่งชีวิตเท่านั้นจึงจะสัมผัสได้
แข็งแกร่ง แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง!
นี่คือสัมผัสรับรู้ที่ชัดเจนตรงไปตรงมาที่สุดของสวี่ชิง
อย่างซานเหอจื่อสามคนนั้นเขาแค่รู้สึกอันตรายเท่านั้น แต่ใช่ว่าสู้ด้วยไม่ได้ ทว่าในเสี้ยวพริบตานี้ ชายหนุ่มที่เดินออกมาทำให้สวี่ชิงรู้สึกเหมือนภูเขาลูกใหญ่ที่ไม่อาจสั่นคลอน
กลิ่นอายของอีกฝ่ายสั่นคลอนฟ้าดิน ไร้ผู้เทียบเทียม
ในขณะเดียวกันนี้ ผู้ครองกระบี่รอบๆ ก็ประสานหมัดคารวะอย่างเคารพนอบน้อมจากการมาถึงของเขา แต่ว่าใบหน้าแฝงด้วยรอยยิ้ม
“พี่ข่ง!”
“คารวะพี่ข่ง!”
“พี่ข่ง ไม่พบกันนาน พลังบำเพ็ญของท่านพัฒนาไปอีกแล้ว”
ชายหนุ่มหัวเราะฮ่าๆ ในยามที่รับคารวะคนทั้งหลาย เด็กสาวที่เช็ดเลือดที่มุมปากจนแห้งคนนั้นก็เหมือนเปลี่ยนเป็นเด็กสาวชาวบ้านงดงามบริสุทธิ์ วิ่งมาข้างกายชายหนุ่ม เหมือนรวบรวมความกล้า กำลังจะเอ่ยขึ้น
แต่ชายหนุ่มกลับยกมือหยิกไปที่แก้มเสียก่อน
“หลิงเยี่ยน้อย ไม่เจอกันปีกว่า เจ้าสูงขึ้นแล้วนี่นา”
ขณะพูด ซานเหอจื่อและหวังเฉินก็เดินมาอย่างรวดเร็ว คารวะชายหนุ่ม
“อย่าทำหน้าตาเคร่งเครียดทั้งวันสิ เสี่ยวเหอเจ้าทำเช่นนี้ไม่ดี ยิ้มหน่อยๆ”
“แล้วก็เจ้า วันๆ เอาแต่นอนอยู่ในโลง อีกเดี๋ยวมาดื่มเหล้ากับข้า” น้ำเสียงของชายหนุ่มสบายๆ ในยามที่ทักทายพูดคุยกับสหายเก่าเหล่านี้ นายกองก็ส่งสื่อเสียงหาสวี่ชิง
‘เห็นแล้วใช่หรือไม่ ตัวประหลาดที่ข้าพูดถึงก็คือคนคนนี้ ข่งเสียงหลง บุคคลอันดับหนึ่งในยุคนี้แห่งหมื่นสำนักเผ่ามนุษย์ในเขตปกครองผนึกสมุทรยุคปัจจุบัน ระดับแก่นลมปราณสิบวังในอายุยี่สิบสี่ พันปีก็ไม่เคยมีมาก่อน
‘ในข่าวกรองที่ข้าซื้อมา ข้อมูลที่เกี่ยวกับคนคนนี้มีมากมายนัก ในตัวเขามีตะเกียงแห่งชีวิตสามดวง
‘ขณะเดียวกันก็มีเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิสองวิชา หนึ่งคือกระบี่จักรพรรดิ อีกวิชาหนึ่งคือคัมภีร์มังกรทองล่องนภา
‘นอกจากนี้ ในข่าวกรองยังบอกไว้อีกว่า ในตัวเขามีเศษชิ้นส่วนอาวุธเวทต้องห้ามที่ทำการเซ่นสังเวยบูชาห้าครั้งแล้วชิ้นหนึ่งด้วย
‘แล้วก็คนคนนี้เมื่อหนึ่งปีก่อนเคยฆ่าระดับปราณก่อกำเนิดเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ด้วยกำลังรบเก้าวังด้วย!’
เสียงนายกองแฝงด้วยความทอดถอนใจ สวี่ชิงฟังถึงตรงนี้ก็หวั่นไหวเล็กน้อย
‘นอกจากนี้ข่งเสียงหลงคนนี้นิสัยห้าวหาญ ผ่าเผยตรงไปตรงมา คบค้าสหายมากมาย ผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ที่เป็นปฏิปักษ์กับเขาสุดท้ายแล้วส่วนมากล้วนกลายมาเป็นสหายสนิทกับเขา แต่เขาโหดเหี้ยมกับพวกต่างเผ่า ว่ากันว่าสับให้เป็นหมื่นๆ ชิ้นเป็นเรื่องปกติมากๆ!’
‘แต่เรื่องพวกนี้ล้วนไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ข้าจะพูดกับเจ้า’ นายกองส่งสื่อเสียงพลางมองไปทางข่งเสียงหลงที่กำลังหัวเราะพูดคุยกับคนอื่น ในดวงตาฉายแววเลื่อมใสบูชา
‘อาชิงน้อย คนบางคนดูเหมือนเป็นคนดี แต่แท้จริงแล้วหน้าอย่างหลังอย่าง แต่บางคนภายนอกและภายในตรงกันจริงๆ ก่อนหน้านี้หลังจากที่ข้าได้อ่านข่าวกรองของเขา เดิมก็ไม่เชื่อว่าคนคนนี้จะเป็นคนเปิดเผยบริสุทธิ์จริงๆ
‘ข้าจึงใช้วิธีของข้าตรวจสอบอีกเล็กน้อย สุดท้ายก็พบว่า คนคนนี้เป็นคนที่ภายนอกและภายในตรงกันที่หาได้ยากของจริง!
‘ตะเกียงแห่งชีวิตสามดวงของเขาผู้อาวุโสไม่ได้มอบให้ แต่เอามันมาด้วยความสามารถของตัวเอง แม้เขาจะเป็นผู้ครองกระบี่หน้าใหม่ แต่ว่ากันว่าเขาใช้ชีวิตอยู่ในวังครองกระบี่ตั้งแต่เด็กๆ ก้าวขึ้นมาจากการเป็นข้ารับใช้
‘ภายหลังเนื่องจากใช้ชีวิตเป็นเดิมพันเสี่ยงตายสร้างคุณงามความชอบ ถึงได้รับอนุญาตให้ใช้แต้มความชอบฝึกบำเพ็ญ นับจากนั้นเขาก็สังหาร สยบต่างเผ่ามาตลอดทาง ทุกศึกจะต้องนำอยู่ข้างหน้า เผชิญหน้ากับความตายหลายครั้ง ถึงได้ผงาดขึ้นมาได้
‘ตะเกียงแห่งชีวิตดวงแรก และเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิเขาใช้แต้มความชอบแลก ในนั้นเขาสัมผัสรับรู้กระบี่จักรพรรดิสองครั้ง ทำการสัมผัสรับรู้ได้สำเร็จ!
‘ตะเกียงแห่งชีวิตดวงที่สองคือหลังจากที่สหายสนิทสละชีพ ก็ได้มอบให้เขาต่อหน้าคนทั้งหลาย ให้เขาเดินเส้นทางที่อีกฝ่ายไปไม่ถึงฝั่งฝันแทน
‘ตะเกียงแห่งชีวิตดวงที่สามคือชิงมาจากเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์!
‘บุคคลเช่นนี้ ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าคนนี้ก็เลื่อมใสนัก’ น้ำเสียงเช่นนี้ของนายกองหาได้ยากมาก
สวี่ชิงฟังเรื่องพวกนี้ในใจก็เกิดระลอกคลื่นอารมณ์แรงกล้า จึงมองไปทางข่งเสียงหลง
แทบจะในเวลาเดียวกับที่เขามองไป ทางข่งเสียงหลงทางนั้นก็ทักทายกับสหายเก่าเสร็จ สายตากวาดมองมาที่สวี่ชิง หัวเราะร่าเดินมา
“ข้าเดาว่าน้องชายก็คือสวี่ชิงที่ได้ประกายแสงหมื่นจั้งจากมณฑลรับเสด็จราชัน!”
“คารวะศิษย์พี่ข่ง” สวี่ชิงประสานหมัดคารวะ
“สวี่ชิง เรื่องของเจ้ากับวังอาญาข้าได้ยินแล้ว ข้าไม่สบอารมณ์กับผู้หญิงตระกูลเหยาคนนั้นมาตั้งนานแล้ว ก็รู้ว่าวางแผนอยู่ข้างหลัง ถือกฎเป็นกระบี่อาญาสิทธิ์ แต่เรื่องที่ทำล้วนเป็นเรื่องต่ำช้าไร้ศีลธรรมเหยาะแหยะปวกเปียกทั้งสิ้น
“เจ้าทำได้ดีมาก!”
“เดี๋ยวพวกเราไปดื่มด้วยกัน ข้าเลี้ยงเจ้าเอง!” ท่ามกลางเสียงหัวเราะของข่งเสียงหลง ที่ไกลๆ ก็มีคนคนหนึ่งเดินมา เป็นจางซืออวิ้นนั่นเอง
สีหน้าของเขาเคร่งขรึม ได้ยินคำพูดพวกนี้ก็ปรายตามองข่งเสียงหลงอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ในดวงตาเกิดประกายเย็นเยียบ
แต่ในตอนนี้เอง สายตาของเยี่ยหลิงแปรเปลี่ยนมาไม่เป็นมิตร ซานเหอจื่อหรี่ตา หวังเฉินยิ้ม ในดวงตาแฝงด้วยจิตสังหาร
ต่างจ้องจางซืออวิ้น
จางซืออวิ้นอึ้งตะลึง รีบเก็บประกายเย็นเยียบไปในทันที ผละเดินไปจากกลุ่มคนเงียบๆ
ข่งเสียงหลงหันไปมองแวบหนึ่ง ในดวงตาฉายแววไม่ชอบใจ เขารู้ว่ามารดาของจางซืออวิ้นก็คือเหยาอวิ๋นฮุ่ยแห่งวังอาญา
และรู้ว่ามารดาของอีกฝ่ายออกหน้าจัดการแทนลูกชาย แต่เรื่องแบบนี้เขาไม่ชอบเอาเสียเลย เขาเติบโตมาในวังครองกระบี่ตั้งแต่เด็ก ทำงานรับใช้ สิ่งที่ได้เห็นจนชินตา ได้ยินจนชินหูล้วนเป็นภาระหน้าที่การปกป้องเผ่ามนุษย์ของวังครองกระบี่
ดังนั้น การแก่งแย่งช่วงชิงระหว่างผู้ครองกระบี่ทำได้ แต่การต่อสู้ภายในที่ไร้ขอบเขตพวกนั้น เป็นเรื่องที่เขารังเกียจที่สุด ดังนั้นวิธีการของจางซืออวิ้น เขาค่อนข้างรังเกียจ
ทว่าเขาชื่นชมสวี่ชิงจากใจจริง
แต่เขารู้ว่าระหว่างทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีความสัมพันธ์คบค้ากัน พูดอะไรที่มากเกินไปจะทำให้เกิดการเข้าใจผิด ดังนั้นหลังจากที่ยิ้มให้สวี่ชิงก็หันหลังจากไป
เหตุการณ์ทั้งหมดเขาไม่มองนายกองแม้แต่แวบเดียว
ประกายแสงหนึ่งจั้ง เขารู้สึกว่าต้องไม่ใช่คนดีอะไรแน่ๆ
ตอนนี้หลังจากที่อีกฝ่ายเดินจากไป สหายน้อยเหล่านั้นของเขาก็จับกลุ่มรวมตัวกันทันที ชิงชิวไม่ชอบคบค้าสมาคมกับคนแปลกหน้าจำนวนมากๆ จึงปฏิเสธคำเชิญของเยี่ยหลิงอย่างสุภาพ ยืนอยู่ลำพังมุมหนึ่ง
“พี่ใหญ่ข่ง เหตุใดท่านถึงมีใจดีมีน้ำใจกับสวี่ชิงถึงเพียงนี้”
หลังจากชิงชิวจากไป ซานเหอจื่อไม่ค่อยเข้าใจ ถามข่งเสียงหลง
หวังเฉินและเยี่ยหลิงที่อยู่ข้างๆ ก็มองมาเหมือนกัน พวกเขาพูดไม่ได้ว่ามีความรู้สึกแย่ๆ กับสวี่ชิง แต่ก็ไม่มีความรู้สึกดีๆ เหมือนกัน
โดยเฉพาะคำที่บอกว่ามหาจักรพรรดิคัดเลือก นี่ทำให้ในใจของพวกเขาไม่ค่อยยอมรับสักเท่าไร
“ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ จะมีจิตปฏิปักษ์กับคนอื่นนั้นได้ แต่กับสวี่ชิงคนนี้อย่าได้มี” ข่งเสียงหลงหัวเราะพลางเอ่ย
“มหาจักรพรรดิคัดเลือกอาจจะเป็นเพียงชื่อเสียงจอมปลอม ไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือสวี่ชิงหยั่งใจได้แสงหมื่นจั้ง คนประเภทนี้เป็นสหายร่วมรบที่ควรค่าแก่การเชื่อถือไว้วางใจที่สุด”
“พี่ข่งท่านได้ประกายแสงแปดพันเจ็ดร้อยจั้งควรค่าแก่การเชื่อถือไว้ใจเช่นกัน!” เยี่ยหลิงอยู่ข้างๆ เอ่ยเสียงอ่อนโยน ความชื่นชอบเลื่อมใสยิ่งฉายชัด
“เป็นเพราะเช่นนี้ข้าจึงยิ่งเข้าใจถึงคุณสมบัติในใจที่แสดงออกมาจากประกายแสงหมื่นจั้ง พวกเจ้าเชื่อข้า ข้ามองคนไม่เคยผิด ซ้ำมหาจักรพรรดิยังยอมรับ เป็นสหายกับคนประเภทนี้สามารถคบค้าไปได้ชั่วชีวิต
“แต่ว่าวันหน้าข้าจะต้องหาโอกาสเตือนสวี่ชิงให้ระวังศิษย์พี่ใหญ่ที่ได้ประกายแสงจั้งเดียวของเขาคนนั้น เมื่อครู่ข้ากวาดตามองแวบหนึ่ง รู้สึกว่าเจ้านั่นไม่เหมือนคนดี”
ในขณะที่พวกข่งเสียงหลงพูดคุยกันสี่คนทางนี้ นายกองก็กำลังเอ่ยเตือนสวี่ชิง
“อาชิงน้อย ข้าขอถอนคำพูดเมื่อครู่ ข้ารู้สึกว่าแม้ข่งเสียงหลงนิสัยใจคอจะไม่เลว แต่พวกเราอย่าได้สนิทสนมกับเขาจนเกินไป”
สวี่ชิงมองไปทางนายกองอย่างแปลกประหลาด
นายกองกระแอมขึ้นทีหนึ่ง
“เจ้าต้องจำไว้ว่าข้าถึงจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า!”
เมื่อครู่เขาสัมผัสได้ว่าข่งเสียงหลงใจดี มีน้ำใจต่อสวี่ชิงมาก ความใจดีมีน้ำใจและนิสัยแบบนี้ของอีกฝ่าย ทำให้คนมองอีกฝ่ายเป็นศิษย์พี่ได้ง่ายๆ นี่ทำให้นายกองระแวงระวังนิดๆ
สวี่ชิงได้ยินก็หัวเราะ หยิบผิงกั่วออกมาจากถุงเก็บของลูกหนึ่ง ยื่นให้นายกอง
“ศิษย์พี่ใหญ่ กินผิงกั่วสักหน่อยเถิด”
นายกองเบิกบานทันที รับผิงกั่วมากัดคำหนึ่ง รู้สึกว่าผิงกั่วลูกนี้หวานนัก จึงโบกมือ
“ช่างเถิด หินวิญญาณที่เจ้าติดข้าก็หาย…เอ่อ ลดให้สามส่วน!”
รอยยิ้มบนใบหน้าสวี่ชิงหุบลงไปเงียบๆ เงยหน้ามองไปทางที่ข่งเสียงหลงอยู่
หายกองถอนหายใจ
“เจ็ดส่วน!”
สวี่ชิงกำลังจะอ้าปากพูด แต่เสี้ยวขณะต่อมาสีหน้าของเขาก็เคร่งขรึม นายกองผุดลุกขึ้นยืนตรงทันที ผู้ครองกระบี่รอบๆ ล้วนเป็นเช่นนี้ แต่ละคนต่างเงยหน้าโดยพลัน มองไปทางวังครองกระบี่ที่อยู่ข้างหน้า
วังขนาดมหึมาที่เป็นที่ตั้งของวังครองกระบี่แห่งนี้ดูเหมือนมีเพียงแค่วังเดียว แค่ความจริงในนั้นมีวังตำหนักมากมาย ตอนนี้ผู้ครองกระบี่หน้าใหม่เหล่านี้อยู่เพียงแค่ภายนอกเท่านั้น
ข้างหน้าของพวกเขาคือตำหนักนอกวังครองกระบี่
ตำหนักนี้งดงามอลังการ ดูยิ่งใหญ่ทรงอำนาจน่าเกรงขาม ชายคากระดกราวเหาะเหิน รูปร่างงดงามอัศจรรย์
มันยังมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าตำหนักคำสัตย์
จากที่ที่แห่งนี้เงียบสงบลง ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากในตำหนักข้างหน้า ไม่นานนักเงาร่างห้าร่างก็เดินออกมาจากข้างใน ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องมา ปรากฏสู่สายตาคนทั้งหลาย
ทั้งห้าคนนี้ หนึ่งคนอยู่ข้างหน้า สี่คนอยู่ข้างหลัง
ผู้อยู่ข้างหน้าเป็นชายวัยกลางคน ท่วงท่าองอาจผ่าเผย สวมชุดขุนนาง ไม่โมโหแต่รัศมีอำนาจฉายชัด
บนร่างเต็มไปด้วยเงาซ้อนทับ เหมือนว่าหมื่นมรรคาแฝงอยู่ในร่าง ยิ่งทำให้คนรู้สึกเหมือนซ้อนทับเป็นล้าน
ข้างหลังของเขาล้วนเป็นชายชรา ทุกคนทั้งร่างเหมือนเงามายานับไม่ถ้วนซ้อนทับ คล้ายว่าแผ่มาก็สามารถปกคลุมผืนฟ้า ก่อเป็นร่างจำนวนมหาศาล
แม้พวกเขาจะห่างจากจำแลงอนันต์อีกไกล แต่รัศมีอำนาจที่แผ่ออกมาจากที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ยังคงสะท้านฟ้าดิน
“ข้าหลิงเฉิงจื่อ รองเจ้าวังครองกระบี่เขตปกครองผนึกสมุทร
“ทั้งสี่ท่านข้างหลังข้าคือสี่ผู้ดูแลวังครองกระบี่เขตปกครองผนึกสมุทร วันนี้ข้าทั้งห้าจะมาแจ้งกฎระเบียบ อบรมระเบียบวินัย ประกาศแจ้งตำแหน่ง เป็นประจักษ์พยานการสาบานตน
“ตอนนี้แจ้งกฎระเบียบ” รองเจ้าวังเอ่ยราบเรียบ ข้างหลังเขามีผู้ดูแลผู้ครองคนหนึ่งเดินออกมา เสียงดังไปทั่วทั้งสี่ทิศ
“กฎข้อที่หนึ่งของผู้ครองกระบี่…”
ครั้งนี้ไม่มีพิธีซับซ้อนอะไรมากมาย ทุกอย่างล้วนเรียบง่าย จากการประกาศแจ้ง เสียงของผู้ดูแลดังไปในจิตใจของผู้ครองกระบี่ทุกคน
สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง คนอื่นๆ ก็เช่นกัน พวกข่งเสียงหลงล้วนสีหน้าขึงขัง ตั้งใจฟัง
นานหลังจากนั้นประกาศแจ้งกฎระเบียบก็สิ้นสุด
“ผู้ครองกระบี่มีสามกฎ เจ็ดระเบียบ ทั้งหมดหกสิบเก้าข้อ พวกเจ้าจงจำให้ขึ้นใจ
“พวกเจ้าในฐานะที่เป็นผู้ครองกระบี่ มาจากมณฑลต่างๆ ในมณฑลของแต่ละคนล้วนมีวิธีการเอาชีวิตรอดของตัวเอง ล้วนมีนิสัยและวิธีจัดการปัญหาของตัวเอง
“ในยามที่เพิ่งมาถึงต่างหยิ่งทะนงและเชื่อมั่น ไม่ยอมรับกันและกัน เรื่องนี้ทำได้ แต่ก็เป็นเพียงแต่ในช่วงแรกที่พวกเจ้าเข้าร่วมกับผู้ครองกระบี่เท่านั้น หลังจากนี้พวกเจ้าจงจำประโยคหนึ่งไว้ให้ดี
“ผู้ครองกระบี่ล้วนสามารถฝากหลังไว้ให้กับสหายร่วมรบได้!
“จุดนี้แตกต่างกับสำนักที่พวกเจ้าอยู่โดยสิ้นเชิง
“สำนักมีผลประโยชน์เป็นสิ่งสูงสุด แต่วังครองกระบี่มีหน้าที่เป็นสิ่งสูงสุด เผ่ามนุษย์คือสิ่งสูงสุด มิตรภาพระหว่างสหายร่วมรบก็เช่นกัน
“นี่ ก็คือทัศนคติข้อแรกที่พวกเจ้าต้องเปลี่ยนหลังจากที่เป็นผู้ครองกระบี่แล้ว!
“หลังจากนี้พวกเจ้าจะได้รับการฝึกฝนลับเจ็ดวัน ในเจ็ดวันนี้พวกเจ้าจะได้เรียนรู้ฝึกฝนเคล็ดวิชาลับต่างๆ ที่มีเพียงผู้ครองกระบี่เท่านั้นที่จะได้เรียน ระหว่างนี้ยังมีการบรรยายมรดกเผ่ามนุษย์และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของหมื่นเผ่าอีกด้วย
“หลังจากเจ็ดวันเมื่อสอบผ่านสำเร็จจึงจะได้รับมอบตำแหน่ง
“ในพวกเจ้ามีคนคนหนึ่งไม่จำเป็นต้องสอบ ตอนนี้สามารถกำหนดมอบตำแหน่งหน้าที่ให้ได้เลย
“สวี่ชิง ก้าวออกมาเก้าก้าว”
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ภายใต้สายตาของผู้ครองกระบี่รอบๆ สีหน้าเคร่งขรึม ก้าวเท้าออกมา