ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 403 คุกอันดับหนึ่งเผ่ามนุษย์เขตปกครองผนึกสมุทร
บทที่ 403 คุกอันดับหนึ่งเผ่ามนุษย์เขตปกครองผนึกสมุทร
คุกอันดับหนึ่งเขตปกครองผนึกสมุทรเป็นส่วนหนึ่งของวังครองกระบี่ มีชื่อเสียงเลื่องลือ
คนที่ถูกคุมขังอยู่ในนั้นเป็นผู้บำเพ็ญที่เหี้ยมโหดสามานย์ของพวกหมื่นเผ่า ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามารศักดิ์สิทธิ์หรือเผ่าเคียงเซียนก็มีทั้งนั้น กระทั่งว่าเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ก็มีเหมือนกัน ส่วนเผ่ามนุษย์หากกระทำความผิดมหันต์ก็จะถูกขังที่นี่เช่นกัน
และนับตั้งแต่โบราณกาลมา ในคุกแห่งนี้นอกจากจะเป็นเผ่ามารศักดิ์สิทธิ์และเผ่าเคียงเซียนที่มีสัญญากับเผ่ามนุษย์แล้ว นักโทษเผ่าอื่นๆ ไม่มีใครรอดชีวิตออกมาสักราย
เหตุที่สยบกำราบเอาไว้แต่ไม่ฆ่า ณ ตอนนั้นเลยเป็นเพราะเอามาใช้ประโยชน์ อาศัยพลังบำเพ็ญของพวกมันมาเป็นแหล่งกำเนิดพลังงานของของวิเศษเวทต้องห้าม
ดังนั้น ขอเพียงไม่ได้ฆ่าจนสิ้นซากในทีเดียว ขอเพียงมีทดแทน เช่นนั้นตายเป็นพันเป็นหมื่นก็ไม่เป็นไร ในระดับหนึ่งแล้ว นักโทษที่นี่กรมราชทัณฑ์สามารถจัดการได้ตามใจชอบ
เช่นนี้แล้วก็ทำให้คุกแห่งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย เย็นยะเยือกขนหัวลุก แค่คิดก็รู้แล้วว่าพลทหารที่ทำงานอยู่ที่นี่จะน่ากลัวและเหี้ยมโหดปานใด
อย่างมือผีที่สอนสวี่ชิงเมื่อก่อนหน้านี้ก็เป็นหนึ่งในพลทหารเช่นกัน ความรุนแรงของรังสีอำมหิตสวี่ชิงสัมผัสได้อย่างชัดเจน
นอกจากนี้ตามความเข้าใจจากการฝึกฝนลับเจ็ดวันนี้ของสวี่ชิง คุกอันดับหนึ่งเขตปกครองผนึกสมุทรแห่งนี้ ก่อตั้งมากนานมาก สร้างขึ้นในยุคเดียวกับที่สร้างเขตปกครองผนึกสมุทร
เจ้าวังครองกระบี่รุ่นแรกของเขตปกครองผนึกสมุทรในตอนนั้นเป็นผู้คุมงานตรวจตราด้วยตัวเอง
ในนั้นมีทั้งหมดหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเจ็ดชั้น ทุกชั้นล้วนมีวิชามิติแฝงอยู่ พันธนาการในนั้นทรงพลัง ค่ายกลมีมากมายนับไม่ถ้วน การป้องกันน่าครั่นคร้าม
ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับหวนสู่อนัตตาถูกขังในนี้ ก็อย่าได้คิดว่าจะดิ้นรนหลุดพ้นได้
เพราะคุกนี้นอกจากการป้องกันอันน่ากลัวของตัวมันเองแล้ว เจ้าวังครองกระบี่ทุกรุ่นล้วนรักษาการณ์ดูแลอยู่ที่นี่ตลอด
เรื่องที่เจ้าวังดูแลคุกแบบนี้มีขึ้นตั้งแต่ในเสี้ยวพริบตาแรกที่คุกแห่งนี้สร้างขึ้น โดยมีเจ้าวังครองกระบี่รุ่นแรกเป็นผู้เสนอ นับจากนั้นเจ้าวังครองกระบี่เขตปกครองผนึกสมุทรรุ่นหลังทุกรุ่นต่างรักษาธรรมเนียมนี้ ตั้งที่ทำงานและสถานที่พักอาศัยไว้ในคุก ทำการดูแลรักษาการณ์ด้วยตัวเอง
ดังนั้นเจ้าวังทุกรุ่นก็ต้องเป็นเจ้ากรมราชทัณฑ์ทุกรุ่นเช่นกัน
และคุกแห่งนี้นอกจากคุมขังและเป็นแหล่งกำเนิดพลังของวิเศษเวทต้องห้ามแล้ว ยังมีประโยชน์อีกอย่างหนึ่งนั่นคือการสยบกำราบ
นี่เป็นหนึ่งในวิธีที่เผ่ามนุษย์ใช้ทำการสยบกำราบต่างเผ่าในเขตปกครองผนึกสมุทร
ในเวลาเนิ่นนานมา ในคุกคุมขังผู้บำเพ็ญเป็นจำนวนเท่าไร ตัวเลขเป็นความลับ มีเพียงกรมราชทัณฑ์เท่านั้นที่รู้
คนนอกทำการรวบรวมคร่าวๆ ตัวเลขนี้…ราวกับดวงดาราบนผืนฟ้า
ข้อมูลเหล่านี้ ในตอนที่ปรากฏขึ้นในสมองสวี่ชิง เขาก็ไปจากวังครองกระบี่แล้ว ตอนนี้กำลังพุ่งไปอย่างรวดเร็วกลางท้องฟ้า มุ่งตรงมายังกรมราชทัณฑ์
มองจากบนฟ้า ทางเข้าคุกที่อยู่บนพื้นโปร่งแสง สายตาสามารถมองทะลุสิ่งกีดขวางไปได้ มองเห็นส่วนลึกของในคุก
ในนั้นนอกจากสิบกว่าชั้นแรกที่ยังเห็นได้ชัด ข้างล่างดำมืดราวกับหุบเหวไร้ก้นบึ้ง ทั้งยังเย็นยะเยือกราวอุโมงค์ผี ความเย็นเยียบน่าขนลุกปรากฏชัด
ยิ่งเข้าไปใกล้ ความเยือกเย็นประเภทนี้ก็ยิ่งรุนแรง จวบจนสวี่ชิงมาถึงพื้นดิน เขายืนอยู่ขอบหลุมลึกกรมราชทัณฑ์ สัมผัสกับพลังกดดันจากคุกหุบเหวลึกด้วยตัวเอง
ยิ่งมีความรู้สึกสั่นสะเทือนแผ่มาจากใต้เท้า ราวใต้พื้นดินมีสัตว์ยักษ์กำลังดิ้นรน
ขณะเดียวกันรังสีอำมหิตมหาศาลก็พวยพุ่งมาจากกลางหลุมลึกข้างหน้า มาพร้อมด้วยเสียงคำรามโหยหวนเป็นระลอก
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก หยิบกระบี่อาญาสิทธิ์ของตัวเองออกมา เดินไปข้างหน้า
กำแพงไร้รูปร่างชั้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในประสาทสัมผัสของสวี่ชิงจากการเดินเข้าไปใกล้ จากนั้นจิตเทพที่น่ากลัวราวคลื่นพิโรธก็สยบมาจากทั่วทุกทิศ
ในนั้นแฝงไว้ด้วยความรุนแรง แฝงด้วยพลังขับไล่
เหมือนมียักษ์ไร้ตัวตนกำลังกวัดแกว่งมือใหญ่ ซัดมาที่เขา
สวี่ชิงใจสั่นสะท้าน แต่ก็ไม่ได้ถอย ทว่ากลับยกป้ายคำสั่งในมือขึ้นสูง ปากเอ่ยเสียงเรียบนิ่งออกมา
“ผู้ครองกระบี่สวี่ชิงมารายงานตัวขอรับ”
เมื่อคำพูดนี้ดังออกมา จิตเทพน่ากลัวก็รวมมายังป้ายคำสั่งในมือสวี่ชิงทันที
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง จิตเทพกลุ่มนี้ก็แผ่ออกไปอย่างช้าเนิบ กำแพงไร้รูปร่างกะพริบประกายแสงสีแดงออกมา หลังจากที่ปรากฏเป็นรูปร่าง ก็ปรากฏเป็นประตูที่มีเลือดสดๆ ไหลวนบานหนึ่งข้างหน้าสวี่ชิง
ประตูบานนี้ฉายความเก่าแก่โบราณออกมา ตลบอวลไปด้วยความรู้สึกวันเวลาคล้อยเคลื่อน บนนั้นมีอักขระนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ทุกตัวล้วนแผ่ความแข็งแกร่ง ต่างจับกลุ่มกันเป็นหัวอสูรขนาดมหึมา กำลังมองมาทางสวี่ชิงอย่างดุดันกราดเกรี้ยว
สวี่ชิงสีหน้าสงบนิ่ง เงยหน้าจ้องมอง
นานหลังจากนั้นประตูใหญ่ถึงส่งเสียงแอ๊ด แล้วค่อยๆ เปิดออก ในนั้นมีผู้บำเพ็ญกลางคนหน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่งเดินออกมา
เขาสวมชุดนักพรตของผู้ครองกระบี่ รูปแบบโดยส่วนใหญ่แล้วคล้ายกับสวี่ชิง สิ่งที่ต่างคือลายเหลือบบนนั้นไม่ใช่เปลวไฟที่เกิดจากลายเหลือบสีแดง แต่เป็นสีดำ
ใบหน้าของเขามีรอยแผลทางหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเกิดจากวิชาเวทประเภทนึ่ง จึงไม่อาจสลายหายไปได้ ผิวบริเวณนั้นเหี่ยวแห้ง ทำให้คนคนนี้ดูแล้วโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง
ดวงตาของเขาเป็นสามเหลี่ยม ตอนนี้หนังตายกขึ้นเล็กน้อย กวาดตามองสวี่ชิง โดยเฉพาะจ้องๆ มองๆ ใบหน้าสวี่ชิง แสยะยิ้มเอ่ยอย่างน่าขนลุก
“ยินดีต้อนรับสู่กรมราชทัณฑ์”
พูดจบก็หันหลังเดินไปในประตู
สวี่ชิงมองแวบหนึ่งก็ก้าวเท้าเดินตาม ในเสี้ยวพริบตาที่เหยียบเข้าไปในประตูสีแดงบานนี้ เขาทะลุผ่านปราการกั้น มาปรากฏอยู่ข้างหลังมัน
ข้างหน้าเขานอกจากจะเป็นหลุมลึกขนาดมหึมากรมราชทัณฑ์แล้ว ยังมีขั้นบันไดที่วนล้อมไปตามชายขอบเป็นชั้นๆ ด้วย
เดินไปตามบันได สวี่ชิงตามพัศดีที่อยู่ข้างหน้าเดินไปในกรมราชทัณฑ์
ความเย็นยะเยือกกลุ่มหนึ่งปะทะหน้ามาจากข้างล่าง เสียงคำรามและร้องโหยหวนเป็นระลอกๆ ลอยวนเวียนไม่ขาดสาย และความสั่นสะเทือนที่เหมือนเกิดจากสัตว์ยักษ์อาละวาดที่นี่ก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
ขณะเดียวกัน ที่นี่สีดำคือสีหลัก สีมืดทึบปกคลุมทุกสิ่ง
ต่อให้ข้างบนแสงอาทิตย์สาดส่อง ก็ไม่อาจขับไล่ความสลัวเย็นเยือกของที่นี่ไปได้
แต่สิ่งพวกนี้ไม่ใช่ประเด็นหลักที่สวี่ชิงให้ความสนใจ ในตอนที่เขาเดินอยู่บนบันไดนี้มาถึงคุกชั้นที่หนึ่ง เขามองเห็นในกำแพงหลุมลึกรอบๆ ล้วนมีห้องขังเรียงราย
ทุกห้องล้วนมีพื้นที่ขนาดกว้างใหญ่
ในทุกพื้นที่มีกรงขังอีกจำนวนนับไม่ถ้วน
มองเห็นนักโทษต่างเผ่านับไม่ถ้วนได้รางๆ ว่ากำลังร้องคำรามอยู่
ไม่ใช่แค่นั้น ยิ่งมีเลือดข้นเจิ่งนองมาในดินรอบๆ แปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นคาวคลุ้ง
สวี่ชิงเงียบนิ่งไม่ส่งเสียง ใบหน้าเป็นปกติเหมือนเดิม เดินไปข้างหน้าต่อ
พัศดีที่อยู่ข้างหน้าเขาคนนั้นหันมามองสวี่ชิงเป็นระยะๆ หลังจากสังเกตเห็นความสุขุมของสวี่ชิง สีหน้าก็ค่อยๆ มีความสนใจเพิ่มมากขึ้นเล็กน้อย
ขณะเดียวกันจากที่ทั้งสองเดินไปยังจุดลึกไม่หยุด สวี่ชิงก็ได้เห็นพัศดีมากขึ้น
พัศดีที่นี่ล้วนอายุไม่น้อยเลย อีกทั้งอยู่ในที่เย็นเยียบน่าขนลุกอยู่ประจำ ทำให้ในตัวของทุกคนล้วนมีรัศมีเย็นยะเยือกแผ่มา บางคนในมือหิ้วเศษชิ้นส่วนศพ เลือดสดๆ ยังหยดอยู่
ความโหดเหี้ยมที่แผ่ออกมาจากในวิญญาณแบบนั้น ทำให้สวี่ชิงหรี่ตา
นอกจากนี้เขายังพบว่าเวลาที่พัศดีที่นี่มองตน บางคนเย็นชาเหมือนเมินเฉย บางคนในแววหยอกล้อมีความโหดเหี้ยม บางคนหน้าตาแฝงด้วยรอยสำรวจพินิจพิจารณา
สวี่ชิงไม่สนใจสายตาพวกนี้ เขาสัมผัสได้ว่าพัศดีทุกคนที่นี่พลังบำเพ็ญล้วนแข็งแกร่งมาก และเป็นประเภทที่ไม่ว่าผู้ใดหากอยู่ข้างนอก น่ากลัวว่าจะไม่ใช่คนไร้ชื่อเสียงแน่นอน
ทำให้สวี่ชิงรู้สึกว่าเหมือนฝูงหมาป่า
วังครองกระบี่ข้างนอกก็เป็นหมาป่าเหมือนกัน แต่หมาป่าในกรมราชทัณฑ์โหดเหี้ยมกว่า กลิ่นคาวเลือดคลุ้งกว่า และปฏิเสธคนนอก
พวกเขาปฏิเสธคนที่ไม่ใช่พัศดีทุกคน เหมือนว่าอยู่ที่นี่นานไป ในใจของพวกเขาที่นี่มีเพียงคนประเภทเดียวกันและนักโทษ สองฐานะนี้เท่านั้น
การมาถึงของสวี่ชิงทั้งไม่ใช่นักโทษ และไม่ใช่พัศดี อีกทั้งหน้าตาของเขายังมีการปิดบังอำพราง ทำให้พัศดีพวกนี้รู้สึกเหมือนกลางคืนจู่ๆ มีตะเกียงปรากฏขึ้น ในฝูงหมาป่ามีลูกแกะหลงทางมา
ดังนั้น ท่ามกลางสายตาต่างๆ สวี่ชิงเงียบนิ่งตลอดทาง ใช้ท่าทีสงบนิ่งเช่นเดิม ตามพัศดีข้างหน้ามาถึงชั้นที่แปดสิบเก้า
ที่นี่อยู่กึ่งกลางของคุกทั้งหมดทุกชั้น ข้างบนแปดสิบแปดชั้น ข้างล่างก็แปดสิบแปดชั้นเช่นกัน
ชั้นนี้ไม่มีห้องขัง มีเพียงตำหนักสีดำตำหนักหนึ่งเท่านั้น รอบๆ มีเสามหึมายี่สิบเอ็ดต้น ในขณะที่ค้ำยันทั้งข้างบนและข้างล่าง บนเสาเหล่านี้มีกิ้งก่ายักษ์กินเนื้อบรรพกาลพันล้อมอยู่ทุกเสา
พวกมันจ้องสวี่ชิง ในขณะที่แผ่ความเย็นเยียบออกมา แสงตะเกียงรอบๆ ก็สลัวเป็นอย่างยิ่ง มองเห็นได้ไม่ไกลนัก เห็นเพียงในจุดลึกของตำหนักใหญ่คล้ายว่ามีคนคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่
ที่นี่ พัศดีที่นำทางมาสีหน้าเปลี่ยนมาเคารพนอบน้อม ในดวงตาฉายแววฮึกเหิม เอ่ยอย่างเคารพนอบน้อม
“ท่านเจ้าวัง นำตัวมาแล้วขอรับ”
พูดจบพัศดีคนนี้ก็ถอยไปข้างหลัง จวบจนถอยออกไปจากชั้นที่แปดสิบเก้า ก็รออยู่ข้างนอก
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ประสานหมัดเช่นกัน โค้งคารวะเงาร่างที่อยู่ในจุดลึกของตำหนักใหญ่
“ผู้ครองกระบี่สวี่ชิง ขอคารวะท่านเจ้าวัง”
แทบจะในพริบตาที่คำพูดสวี่ชิงดังออกมา ท่ามกลางความมืดมิดในจุดลึกของตำหนักใหญ่ ก็มีดวงตาขนาดมหึมาดวงหนึ่งพลันลืมขึ้นมา ดวงตานี้มีขนาดถึงสิบกว่าจั้ง ม่านตาเป็นขีดตั้งสีเหลือง ในนั้นมีจุดสีดำกระจายอยู่จำนวนไม่น้อย ขอบรูม่านตาตรงกลางราวกับหมอกควัน ลอยล่องอ้อยอิ่งไร้กฎเกณฑ์
และข้างล่างดวงตานี้ เงาร่างสูงใหญ่ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ ดูแล้วอายุกลางคน เขาสวมชุดเกราะสีดำ ข้างหน้ามีหอกยาวเล่มหนึ่งวางอยู่ ผมดำสะบัดพริ้วอยู่ข้างหน้าดวงตาขีดตั้ง ระลอกคลื่นพลังน่ากลัวทำให้มิติรอบๆ บิดเบี้ยว
สวี่ชิงมองเพียงแวบเดียวเท่านั้นก็เหมือนสายฟ้าฟาดผ่ากลางใจ มีความรู้สึกรางๆ เหมือนมองเทพเจ้า
อีกฝ่ายไม่มีไอพลังประหลาด แต่พลังกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างส่งอิทธิพลให้กับทุกสิ่ง เหมือนว่าเขานั่งอยู่ตรงนั้นก็คือเทพเจ้าของคุกแห่งนี้!
ใช่แล้ว เจ้าวังคนปัจจุบันของวังครองกระบี่!
เขาลืมตาขึ้นช้าๆ จ้องสวี่ชิงอย่างเย็นเยียบ
สายตาราวสายอัสนี ในพริบตาที่จับจ้องไปที่ร่างของสวี่ชิง ทั่วทั้งร่างของเขาเลือดเนื้อทุกชุ่นต่างสั่นสะท้าน เหมือนว่าร่างกายและวิญญาณไม่อาจทนทานได้ จวนเจียนจะแตกสลายเต็มที
ดีที่อีกฝ่ายถอนสายตากลับไปอย่างรวดเร็ว สวี่ชิงหน้าขาวซีด ในยามที่จิตใจสั่นสะท้าน เจ้าวังครองกระบี่ที่อยู่ข้างบนก็เอ่ยเสียงต่ำทุ้มออกมา พูดประโยคแรกที่ได้เจอหน้ากับสวี่ชิง
“เป็นผู้ครองกระบี่ ทุกคนล้วนเป็นคมกระบี่ของเผ่ามนุษย์ ต้องเตรียมตัวพุ่งเข้าหาความตายเพื่อเผ่ามนุษย์อยู่ทุกชั่วขณะจิต”
เสียงของเจ้าวังหนักแน่นทรงพลัง แฝงไว้ด้วยอำนาจ ดังก้องไปทั่วทั้งสี่ทิศ และดังสะท้อนในจิตใจของสวี่ชิง ทั้งหมดยี่สิบเอ็ดตัวอักษร ทุกตัวล้วนเหมือนอัสนีสวรรค์ ฟาดผ่าไม่หยุด
“แม้ผู้ครองกระบี่จะมีแบ่งพลังบำเพ็ญและตำแหน่ง แต่ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหรือข้า โดยเนื้อแท้แล้วล้วนเป็นหนึ่งในคมกระบี่ที่ปกป้องเผ่ามนุษย์!
“เดิมข้าไม่อยากปฏิบัติเป็นกรณีพิเศษกับใครทั้งนั้น แต่มหาจักรพรรดิคัดเลือกเจ้า คนนอกล้วนจ้องมองมา ดังนั้นข้าจึงสั่งการลงไป ให้เจ้ามาเป็นอาลักษณ์ของข้า
“ทว่า นี่แค่ทำให้คนนอกดูเท่านั้น และเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อมหาจักรพรรดิ แต่ไม่ใช่เพราะเจ้าสวี่ชิงผู้ครองกระบี่หน้าใหม่ที่ไม่เคยสร้างคุณงามความชอบแม้กระผีกควรค่าเช่นนี้
“สำหรับข้า เจ้าไม่ต่างอะไรกับผู้ครองกระบี่หน้าใหม่ ยิ่งสู้บุคคลที่สร้างคุณูปการยิ่งใหญ่พวกนั้นเลย”
เสียงของเจ้าวังสงบนิ่ง เอ่ยขึ้นอย่างช้าเนิบ จากเสียงสะท้อนของคำพูด พลังกดดันยิ่งรุนแรง ทั้งชั้นที่แปดสิบเก้าสั่นสะเทือนจากคำพูดเหล่านี้
“เจ้าเข้าใจในจุดนี้หรือไม่”
สวี่ชิงพยักหน้า เขารู้สึกว่าที่เจ้าวังพูดมามีเหตุผล ความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้ชอบตำแหน่งอาลักษณ์นี้สักเท่าไร
“วังครองกระบี่ไม่ใช่สถานที่ปลูกดอกไม้ หากเจ้าคิดว่าจะอาศัยมหาจักรพรรดิคัดเลือกก็จะอยู่สงบสุขสบายที่นี่ เช่นนั้นมิสู้ไสหัวกลับมณฑลรับเสด็จราชันไปเสีย ไปเสพสุขกับเกียรติยศประกายแสงหมื่นจั้งของเจ้าที่นั่น”
เจ้าวังเอ่ยราบเรียบ
สวี่ชิงเงียบไปครู่หนึ่ง ฝืนทนกับพลังกดดันและความอึดอัด เงยหน้าพูดเสียงต่ำทุ้ม
“เจ้าวัง ในโลกนี้มีสถานที่ที่สงบสุขสบายด้วยหรือขอรับ”
เจ้าวังมองมาทางสวี่ชิง
“ข้าไม่รู้ว่ามีสถานที่สงบสุขสบายจริงหรือไม่ แต่ข้าคิดว่าบางคนสุขสบายเพราะคนอื่นแบกรับลมฝนแทน
“และยังมีความสุขสบายอีกอย่างหนึ่งคือ สังหารศัตรูที่มาก่อกวนวุ่นวายทั้งหมดเสีย ย่อมอยู่สงบสุขสบาย
“ข้าไม่อยากติดค้างคนอื่น ดังนั้นข้าจะไม่ทำแบบแรก
“ข้าอยากทำแบบหลัง และจะทำแบบหลังไปตลอด” สวี่ชิงน้อยนักที่จะพูดเช่นนี้ ตอนนี้พูดจบก็โค้งคารวะสุดตัว ไม่เอ่ยอะไรอีก
เจ้าวังมองทางสวี่ชิง ในดวงตามีประกายแสงกล้ารางๆ เงียบนิ่งอยู่นานก็เอ่ยขึ้น
“อาลักษณ์ให้เป็นตำแหน่งของเจ้าได้ แต่ตอนนี้ข้าไม่ต้องให้เจ้าทำเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่ง เจ้าไปรับหน้าที่เป็นพลทหารในกรมราชทัณฑ์ก่อน ให้ข้าดูสิว่า เจ้าจะเป็นคนที่สงบสุขสบายแบบประเภทที่สองที่เจ้าว่าได้อย่างไร”
สวี่ชิงรับคำสั่ง หลังจากโค้งคารวะ ภายใต้การจับตามองของเจ้าวังก็ไปจากชั้นนี้
กระทั่งมองเงาร่างสวี่ชิงหายลับไป เจ้าวังที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในส่วนลึกของวังก็เอ่ยเสียงราบเรียบขึ้นมา
“เด็กคนนี้เป็นอย่างไร”
“ทุกประโยคล้วนจริงใจ” เสียงวู้มสะท้านไปทั่วทั้งชั้นที่แปดสิบเก้า เหมือนสัตว์ยักษ์คำราม ยิ่งเกิดลมพายุเป็นระลอกๆ กวาดโหมมาที่ชั้นนี้
กิ้งก่ายักษ์กินเนื้อบรรพกาลที่พันล้อมบนเสาทั้งยี่สิบเอ็ดต้นต่างก้มหน้า ตัวสั่นสะท้าน
“ข้าก็คิดแบบนั้นเช่นกัน” เจ้าวังเอ่ยอย่างสงบนิ่ง ในตอนที่มือขวายกขึ้น ในมือเขาก็มีแผ่นหยกเพิ่มขึ้นมา
แผ่นหยกแผ่นนี้ส่งมาจากโถงครองกระบี่มณฑลรับเสด็จราชัน ในนั้นบันทึกข้อมูลพื้นฐานของสวี่ชิง บรรยายไว้ละเอียดมาก
แต่จุดเริ่มต้นคือเมืองเป็นหนึ่ง คือตอนที่ที่นั่นเทพเจ้าลืมตาหายลับไป
“เทพเจ้าลืมตาสองครั้งทว่าไม่ตาย ล้มลุกคลุกคลานผงาดขึ้นจากการฆ่าล้างสังหาร คนเช่นนี้ควรค่าที่ข้าจะสั่งสอนอบรม” เจ้าวังหลับตาทั้งสองข้างลง