ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 407 ใกล้เพียงเอื้อมแต่ไม่รู้จัก
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก สัมผัสกระบี่จักรพรรดิในทะเลความรู้สึกอย่างเงียบๆ เขามีความรู้สึกอย่างหนึ่งคือกระบี่จักรพรรดิได้หลอมผสานกับตนอย่างสมบูรณ์แล้วในชั่วขณะนี้
กลายเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่อาจแยกกันได้
ความรู้สึกแบบนี้ทำให้จิตวิญญาณของคนเกิดความรู้สึกแข็งแกร่งอย่างหนึ่ง
นี่คือการเพิ่มพลังที่เคล็ดวิชาระดับจักรพรรดินำมาให้ ยิ่งมีความคุ้นเคยเกี่ยวกับกระบี่อย่างหนึ่ง
เขาทำความคุ้นเคยกับโครงสร้างทุกส่วนของตัวกระบี่ ทำความคุ้นเคยกับประกายคมทุกชุ่นของคมกระบี่ ทำความคุ้นชินกับลำแสงทุกทางของรอยกระบี่
แต่ความรู้สึกคุ้นชินนี้จะอย่างไรก็ค่อนข้างเบาบางรางเลือน คล้ายบุปผาในกระจกจันทรากลางวารี จำต้องขบคิดและสัมผัสอยู่ตลอด จนกระทั่งแปรเปลี่ยนมันให้กลายเป็นวัตถุจริง จันทราในวารีกลายเป็นวัตถุจริง แปรเปลี่ยนเป็นเนื้อแท้ในวิญญาณของตัวเอง
“เช่นนี้ ก็จะสามารถยกระดับขึ้นเป็นขั้นสอง เพิ่มพลังกำลังรบหนึ่งวังให้กับข้าได้โดยสมบูรณ์” สวี่ชิงพึมพำ
นานหลังจากนั้น เขาก้มหน้ามองไปยังฝ่ามือขวาของตัวเอง จากความคิดที่เกิดขึ้น เพียงพริบตาประกายแสงเจิดจ้าทางหนึ่งก็แผ่ออกมาจากเส้นลายมือของเขา หลอมรวมขึ้นอย่างรวดเร็ว หมุนวนอยู่กลางฝ่ามือเป็นเส้นๆ สุดท้ายก็ถักทอเป็นเงากระบี่ทางหนึ่ง
แฝงด้วยจิตที่คมกริบคล้ายจะสังหารสรรพชีวิตทุกสิ่ง
ยิ่งมีพลังมหาศาลท่วมท้น คล้ายจะบดขยี้จักรวาล เทพและมาร
สวี่ชิงสัมผัสได้แล้ว เคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิของผู้ครองกระบี่เผ่ามนุษย์พูดจากแก่นแท้แล้วคือไม่ใช่เพื่อปกป้อง แต่เพื่อสังหาร รังสีอำมหิตบนนั้นรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง
นี่เป็นกระบี่ที่ใช้การสังหารมาทำการปกป้อง
สวี่ชิงเข้าใจอย่างกระจ่าง ในดวงตาฉายประกายคมกล้า ตอบรับกับประกายกระบี่กลางฝ่ามือ ผสานรวมกันเป็นหนึ่ง
ท่ามกลางความรางเลือน เขาเหมือนได้ยินเสียงกระบี่คำราม ในเสียงนั้นแฝงด้วยความสนิทสนม แฝงด้วยความยอมรับ
ท่ามกลางความคลุมเครือ เขาเหมือนมองเห็นเงานับไม่ถ้วนในตอนที่สัมผัสรับรู้ก่อนหน้านี้ เงาร่างเหล่านั้นแต่ละร่างต่างถือกระบี่จักรพรรดิ ยิ้มมาให้เขา เป็นประจักษ์พยานว่าชนรุ่นหลังเดินบนเส้นทางเดียวกับพวกเขา
สวี่ชิงเงยหน้า ลุกขึ้นยืน โค้งคารวะไปทางความว่างเปล่า
คารวะกระบี่นี้ คารวะสหายร่วมมรรคา
นับจากเสี้ยวขณะนี้เป็นต้นไป ในที่สุดเขาก็มีเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิสองวิชา
วิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณสามารถกลืนกินทุกสรรพสิ่งในฟ้าดิน
กระบี่จักรพรรดิเผ่ามนุษย์สามารถฟาดฟันสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่อยู่ต่ำกว่าจักรพรรดิลงไป
แม้อย่างหลังหากอยากจะสำแดงพลังที่เหนือกว่าตัวเองออกมา จำต้องผ่านกาลเวลาหล่อเลี้ยง แต่เมล็ดพันธุ์กระบี่สำเร็จแล้ว ทุกอย่างจะสำเร็จในไม่ช้า
มองกระบี่จักรพรรดิที่ก่อขึ้นจากปราณกระบี่ สวี่ชิงสะกดระลอกคลื่นอารมณ์ในใจ หลังจากนั้นครู่หนึ่งในที่สุดก็สงบจิตใจได้ ในดวงตาฉายแววครุ่นคิด
‘เคล็ดวิชากระบี่จักรพรรดิ อยู่กับตัวข้ายากจะหล่อเลี้ยงหลายปี ดังนั้น สำหรับข้าเปลี่ยนให้มันกลายเป็นหนึ่งในไพ่ตายของทุกศึกต่อสู้ถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นต้องรีบทำความคุ้นชินกับกระบี่ แปรเปลี่ยนภาพมายาเป็นวัตถุจริง ยกระดับเป็นขั้นที่สอง เพิ่มกำลังรบหนึ่งวังของข้า
‘เพิ่มความคุ้นชิน จำต้องใช้กระบี่เล่มหนึ่ง…’ สวี่ชิงจู่ๆ ก็ค่อนข้างกระจ่างขึ้นมา ก้มหน้าเอากระบี่อาญาสิทธิ์ของผู้ครองกระบี่ออกมา
มองกระบี่นี้ เขาค่อนข้างรู้สึกเหมือนฝัน ในที่สุดก็เข้าใจถึงประโยชน์อีกอย่างของกระบี่เล่มนี้
กระบี่เล่มนี้นอกจากจะเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้ครองกระบี่และสร้างหอกระบี่แล้ว ยังมีประโยชน์อีกอย่างหนึ่งที่ซ่อนอยู่ นั่นก็คือเพิ่มความรู้สึกคุ้นเคยต่อกระบี่ให้กับคนที่สัมผัสรับรู้กระบี่จักรพรรดิสำเร็จ
เพราะรูปร่างของมันเหมือนกระบี่จักรพรรดิ…ทุกประการ
‘สมแล้วที่เป็นกรมครองกระบี่ที่เป็นมรดกสืบต่อเผ่ามนุษย์จนถึงปัจจุบัน ทุกรายละเอียดในนั้นแฝงด้วยความล้ำลึกและพลังรากฐาน’ สวี่ชิงรำพึงรำพันในใจ
‘พลังรากฐานเช่นนี้ คิดแล้วกรมครองกระบี่ในเวลาเนิ่นนานที่ผ่านมานี้ ผู้ครองกระบี่มากมายที่สัมผัสรับรู้กระบี่จักรพรรดิ ครั้งเดียวก็สำเร็จเลยเกรงว่าจะไม่มี แต่สัมผัสสองครั้งสำเร็จก็น่าจะไม่ใช่เรื่องน่าอัศจรรย์อะไร’
สวี่ชิงเตือนตัวเองไม่ให้พอใจแค่นี้เพราะสัมผัสสองครั้งก็สำเร็จ อย่างไรเสียข่งเสียงหลงก็สัมผัสสองครั้งสำเร็จเช่นกัน
คิดถึงตรงนี้สวี่ชิงก็สูดลมหายใจลึก ก้าวเท้าเดินออกไปข้างนอก
แต่เขาไม่รู้ ในเสี้ยวพริบตาที่เขาสัมผัสรับรู้สำเร็จ ในชั้นที่แปดสิบเก้ากรมราชทัณฑ์บนพื้น เจ้าวังที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ก็ลืมตาทั้งสองขึ้นช้าๆ
ดวงตาขีดตั้งขนาดมหึมาข้างหลังเขาตอนนี้ก็พลันลืมตาขึ้นมาเช่นกัน
“กระบี่จักรพรรดิมีคนสัมผัสรับรู้สองครั้งก็สำเร็จเพิ่มอีกคนแล้ว ชื่อว่าสวี่ชิง”
เสียงต่ำทุ้มดังก้อง เกิดลมพายุในชั้นที่แปดสิบเก้า
เสียงนี้คือเสียงที่คุยกับเจ้าวังในวันที่สวี่ชิงไปจากที่นี่ในวันนั้น
เจ้าวังคล้ายครุ่นคิด หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็เอ่ยปากเสียงราบเรียบ
“เขตติงหนึ่งสามสองเป็นอย่างไรบ้าง”
“ที่นั่นพิเศษ แม้ข้าจะเป็นวิญญาณศัสตราของกรมราชทัณฑ์แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ไปดู แต่ว่าในตัวสวี่ชิงเกิดดวงไม่ดีขึ้น นอกจากนี้ความลับในเขตติงหนึ่งสามสองมีเพียงเจ้าที่รู้ เจ้าบอกเขาตรงๆ ได้ แต่ข้าก็สงสัยเช่นกันว่าที่นั่นมีความลับกี่เรื่องกันแน่” ในพายุเสียงแปรเปลี่ยนมาดังก้องเลื่อนลั่น ดังไปทั่วทั้งสี่ทิศ
“เขตติงหนึ่งสามสอง…” เจ้าวังในตาฉายแววนึกย้อนความหลัง
“ความลับที่นั่นไม่ได้มีแค่เรื่องเดียว
“แต่ข้าไม่เคยเล่นพรรคเล่นพวก ทุกอย่างล้วนอยู่ที่วาสนา เจ็ดวันหลังจากนี้หากเขายังมีดวงไม่ดีอยู่ในตัว เจ้าไปลบชื่อควบคุมดูแลเขตหนึ่งสามสองของเขาเสีย เปลี่ยนเป็นห้องขังอื่นได้ตามสะดวก นี่หมายความว่าเขาไม่มีวาสนานี้”
เจ้าวังส่งเสียงสงบนิ่งออกมา หลับตาทั้งสองลง
ในขณะเดียวกัน ในวังครองกระบี่ สวี่ชิงกำลังก้าวเท้าออกไป
‘ในเมื่อมาที่นี่แล้ว เช่นนั้นก็ไปซื้อสมุนไพรพิษบางอย่างที่เขตปกครองเมืองหลวงสักหน่อย การศึกษาค้นคว้าวิถีพิษจะทิ้งไปไม่ได้ นอกจากนี้ลูกกลอนแก่นแท้ก็ต้องซื้อมาศึกษาสักหน่อยเหมือนกัน’
ร่างของสวี่ชิงไหววูบก็ทะยานขึ้นฟ้า ตรงไปยังเมืองหลวงเขตปกครอง
ตอนนี้เป็นเวลาดึกแล้ว เมฆดำบนฟ้าหนาครึ้ม เสียงฟ้าครืนครานดังก้อง ฝนใกล้จะตกแล้ว
แต่เมืองหลวงเขตปกครองไม่ว่าจะเป็นตอนเช้าหรือตอนมืด ร้านค้าส่วนมากล้วนเปิดทำการ จะอย่างไรลูกค้าหลักๆ คือผู้บำเพ็ญ ซื้อของไม่แบ่งแยกเวลา
แต่ในตอนที่สวี่ชิงทะยานขึ้นฟ้าอยู่นอกวังครองกระบี่ ในเสี้ยวพริบตาที่เหยียบไปในเมืองหลวงเขตปกครอง เสียงสายฟ้าบนฟ้าก็ดังก้อง สายฟ้าทางหนึ่งพลันฟาดลงมาจากในเมฆ พุ่งตรงมายังสวี่ชิงที่ทะยานอยู่กลางท้องฟ้า
ลักษณะของสายฟ้าเหมือนกิ่งไม้ ในยามที่ฟาดลงมาก็แบ่งแยกเป็นทางๆ นับไม่ถ้วน น่าประหวั่นพรั่นพรึงนัก
รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง พลังยิ่งน่าครั่นคร้าม เสียงดังสะท้านฟ้า คล้ายว่าเคราะห์สวรรค์มาเยือน
แม้จะกะทันหัน แต่สวี่ชิงได้ประทับตราการระแวดระวังภัยไว้ในวิญญาณแล้ว แทบจะในเสี้ยวพริบตาที่สายฟ้าฟาดมา ร่างเขาก็พลันถอยหลัง หลบหลีกในทันที
เห็นสายฟ้าฟาดมาข้างหน้า พุ่งตรงไปที่พื้นดิน สวี่ชิงสีหน้าย่ำแย่ มองไปทางท้องฟ้า
เขาที่ตัวอยู่กลางท้องฟ้า ดวงตาทั้งสองสะท้อนกับประกายแสงสายฟ้าบนผืนนภา หักเหเป็นประกายคมกล้า
เมฆดำแผ่ครึ้มบนท้องฟ้า เสียงอัสนีบาตดังก้อง ทุกอย่างแทบจะไม่มีอะไรที่ผิดปกติเกินไป มีเพียงสายฟ้าที่แลบแปลบปลาบ ทุกอย่างเหมือนเป็นแค่เรื่องบังเอิญ
“ไม่ชอบมาพากล!”
สวี่ชิงสีหน้าเคร่งเครียด ไม่ว่าจะเป็นการแผ่กระจายไปทั่วทิศจากแสงกระบี่ผู้ครองกระบี่ก่อนหน้านี้ หรือฟ้าผ่าครั้งนี้ ล้วนประจวบเหมาะเกินไป
นี่ทำให้เขานึกถึงเขตติงหนึ่งสามสองไปโดยสัญชาตญาณ และคิดถึงคำพูดของพัศดีหลี่ชายวัยกลางคนคนนั้น
‘ผู้ควบคุมดูแลมันทุกรุ่นกว่าครึ่งล้วนตายอนาถอย่างน่าแปลกประหลาดข้างนอกทั้งนั้น’
สวี่ชิงสีหน้าเคร่งเครียด ก้าวหนึ่งเหยียบย่างลงมา มาถึงยังชายขอบเมืองหลวงเขตปกครอง สายตาดึงกลับมาจากท้องฟ้า ก้มหน้ามองไปทางพื้นดินข้างล่าง
แม้จะเป็นกลางคืน ชั้นเมฆแผ่ครึ้ม แต่อาศัยแสงเจิดจ้าจากสายฟ้าที่พาดผ่านและพลังบำเพ็ญของตัวเอง สวี่ชิงก็ยังสามารถมองเห็นกรมราชทัณฑ์ที่อยู่บนพื้นได้อย่างชัดเจน
ความบังเอิญสองครั้ง ทำให้เขาจมอยู่ในภวังค์ความคิด
ท่ามกลางห้วงภวังค์ สวี่ชิงเดินเข้าไปในเมืองหลวงเขตปกครอง ประสาทสัมผัสรับรู้แผ่ไปรอบๆ
‘ผู้ดูแลเขตติงหนึ่งสามสองไม่ได้ตายอนาถอย่างน่าประหลาดทั้งหมด
‘มีเพียงบางส่วนที่แตกดับอย่างไม่คาดฝัน
‘ความลับในนั้นเจ้าวังน่าจะรู้
‘เช่นนั้นทำไมเขาจึงจัดให้ข้าไปที่นั้น…เป็นการทดสอบ หรือมีจุดประสงค์อื่น’
ในสมองสวี่ชิงมีคำถามผุดขึ้นขณะเดินไปทางร้านขายยา
สายฟ้าบนท้องฟ้าดังไม่หยุด หยดฝนเหมือนจะกำลังกลั่นตัวเทลงมา ประชาชนบนถนนมีน้อยมาก คนที่ออกมาในยามกลางคืนส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้บำเพ็ญ
จวบจนหลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม สวี่ชิงมองเห็นร้านขายยาร้านหนึ่ง ร่างเพียงไหววูบก็ประชิดเข้าไปอย่างรวดเร็ว ในยามที่ก้าวเข้าไปสวี่ชิงก็ขมวดคิ้ว
ในร้านขายยามีผู้บำเพ็ญเจ็ดแปดคนกำลังซื้อสมุนไพรและยาลูกกลอน ในนั้นมีผู้หญิงสวมชุดผู้ครองกระบี่คนหนึ่ง สวี่ชิงรู้จัก
เป็นชิงชิวที่แบกเคียวยมทูตผีร้ายนั่นเอง
ชิงชิวในฐานะที่เป็นผู้ตรวจตรา วันนี้ในตอนเลิกงานเตรียมจะกลับหอกระบี่ ก็คิดว่าจะซื้อยาลูกกลอนบางอย่างที่นี่ ตอนนี้เมื่อสังเกตเห็นสวี่ชิง คิ้วงามใต้หน้ากากขมวดเล็กน้อย ในหัวก็มีเสียงถอนหายใจของผีร้ายดังขึ้น
“สวี่ชิงคนนี้ตามหลอกตามหลอนเสียจริง ข้าคิดว่าเขาน่าจะสะกดรอยตามพวกเรา พวกเราวันหลังเลิกงานไม่กลับทางนี้ ข้าคิดว่าสวี่ชิงคนนี้อันตรายนัก พวกเราต้องหลบเลี่ยงเขา ไม่อย่างนั้นข้ากลัวว่าเจ้าจะอดทนไม่ได้สู้ตายตกไปตามกันกับเขา!
“ตายตกไปตามกันกับเขาไม่คุ้ม วิธีตายตกไปตามกันของพวกเราใช้กับคนอื่นดีกว่า ยกตัวอย่างเช่นเจ้าหมาบ้า”
สวี่ชิงกวาดตามองชิงชิว ไม่สนใจ ในตอนที่เดินไปที่โต๊ะรับลูกค้า ในหัวก็มีเสียงของบรรพจารย์สำนักวัชระดังขึ้น
“นายท่าน ข้าน้อยมีเรื่อง…ก่อนหน้านี้ก็อยากจะรายงานกับท่านแล้ว”
สวี่ชิงสีหน้าเป็นปกติ หลังจากบอกกับเจ้าของร้านถึงสมุนไพรที่ตนอยากได้ ก็เอ่ยขึ้นในใจอย่างราบเรียบ
“ว่ามา”
“นายท่าน เคียวยมทูตของหญิงชุดแดงมีวิญญาณศัสตรา
“วิญญาณศัสตรานี้ไม่รู้ตัวตนของข้า ดังนั้นทุกครั้งที่มันเห็นนายท่านล้วนสบถก่นด่า มันคิดว่านายท่านไม่ได้ยิน แต่มันไม่รู้ว่าข้าในฐานะที่เป็นวิญญาณอัสนีชั้นสูงนั้นสามารถรับรู้ได้”
บรรพจารย์สำนักวัชระความจริงแล้วได้ยินจิตเทพของผีร้ายข้างกายหญิงชุดแดงนานแล้ว แต่เขาไม่ได้บอกมาโดยตลอด เดิมคิดว่าจะหาช่วงเวลาสำคัญเปิดเผยออกมา เอามาเป็นความดีความชอบ
แต่ก่อนหน้านี้เขาทำงานพลาดที่คุก จิตใจกระวนกระวาย กังวลว่าจะถูกมองว่าไร้ประโยชน์ จึงรีบพูดเรื่องนี้ออกมา
“ข้าแอบได้ยินคำพูดของผีน้อยนั่น เหมือนพวกเขาจะมีวิธีที่จะตายตกไปตามกันกับคนอื่น นายท่านวันหน้าเวลาเจอกับหญิงชุดแดงคนนี้ต้องระวังนะขอรับ”
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด มองเคียวยมทูตของชิงชิวแวบหนึ่ง
“เขากำลังมองข้า! แววตาของเขาไม่ถูก ไม่ถูกมากๆ !”ในหัวของชิงชิว ผีร้ายส่งเสียงกรีดร้อง
“พวกเรารีบไปเถอะ ข้ามีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเลย สวี่ชิงคนนี้เหมือนจะค้นพบอะไร อย่างไรเขาก็เป็นคนที่มหาจักรพรรดิคัดเลือก ตอนนี้ยิ่งเป็นอาลักษณ์ของเจ้าวัง พวกเราหาเรื่องไม่ไหวหรอกนะ อีกทั้งข้ายังรู้สึกว่าในตัวเขาไม่ค่อยชอบมาพากล ทำให้ข้ารู้สึกไม่ดี”
ในยามที่ผีร้ายกรีดร้อง ในหัวของสวี่ชิงก็มีเสียงของบรรพจารย์สำนักวัชระดังมาอีกครั้ง
“นายท่านน่าเกรงขามนัก เพียงมองไป วิญญาณศัสตรากระจอกๆ ของอีกฝ่ายก็กลัวทันที นายท่านวางใจ วันหน้า ข้าจะช่วยท่านจับตามองเจ้าผีน้อยนี่ หึ กล้ามามีจิตคิดร้ายต่อนายของโหยวหลิงจื่อ เจ้าผีร้ายน้อยนี่รนหาที่ตาย มีข้าอยู่ สิ่งชั่วร้ายใดๆ ก็ไม่อาจทำร้ายนายผู้มีบุญคุณของข้าได้ จะต้องผ่านด่านข้าไปก่อน!
“นอกจากนั้นนายท่าน ข้ารู้สึกว่าความจริงแล้วท่านสำแดงความความทรงอำนาจของราชันออกมาได้ เอ่อ ในนิยายล้วนเขียนแบบนี้ทั้งนั้น ราชันจากผู้เป็นราชันทั้งปวง ทรงอำนาจจากความทรงอำนาจยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม ข้าคิดว่านายท่านมีความสามารถนี้เช่นกัน ทำให้วิญญาณศัสตราผีน้อยนี้กลัว
“จากนั้นข้าน้อยก็จะหาโอกาสพลิกโจมตี เช่นนี้แล้ว พวกเราฆ่าหญิงชุดแดงจะต้องไม่มีอุปสรรคใดๆ แน่นอน”
บรรพจารย์สำนักวัชระเอ่ยอย่างรวดเร็ว แสดงคุณค่าของตัวเอง
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด
ตอนนี้เจ้าของร้านเอาสมุนไพรที่เขาต้องการทั้งหมดออกมา ในตอนที่คิดราคาสวี่ชิงนึกถึงลูกกลอนแก่นแท้ ถามขึ้นประโยคหนึ่ง
“มีลูกกลอนแก่นแท้หรือไม่”
เจ้าของร้านยิ้มพลางพยักหน้า หยิบขวดลูกกลอนขวดหนึ่งออกมาจากโต๊ะรับแขก วางไว้ข้างหน้าสวี่ชิง
“เหรียญวิญญาณหนึ่งเหรียญ ลูกกลอนแก่นแท้สิบเม็ด”
สวี่ชิงตกใจเล็กน้อย ราคานี้ต่ำมาก ต้องรู้ว่าในมณฑลรับเสด็จราชัน ลูกกลอนขาวยังเกินราคานี้
“ใต้เท้าปลัดเขตปกครองใจดีเปี่ยมคุณธรรม คิดค้นลูกกลอนที่เป็นกุศลมหาศาลประเภทนี้ขึ้น ทำให้ประชาชนทุคนสามารถเลี่ยงการรุกรานจากไอพลังประหลาดได้ ดังนั้น ราคานี้โดยพื้นฐานแล้วเป็นราคาพื้นฐานที่สุดที่ร้านขายยาทุกร้านเก็บยาประเภทนี้ ไม่ต่างกับให้เปล่าเท่าไรเลย”
สวี่ชิงนับถือจากใจ จ่ายเหรียญวิญญาณ เก็บขวดลูกกลอนลงไป เขาวางแผนจะกลับไปศึกษาสักหน่อย ศึกษาวิธีหลอมลูกกลอนของปลัดเขตปกครองจากในนี้
ตอนนี้ซื้อเสร็จ สวี่ชิงก็หันหลังเดินออกไปจากร้านยา
ส่วนชิงชิวที่อยู่ข้างๆ เห็นภาพสวี่ชิงซื้อยาลูกกลอน เรื่องบางอย่างในความทรงจำก็ผุดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ นางคิดถึงฐานที่มั่นคนเก็บกวาดทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ
คิดถึงภาพในตอนที่ตนทำงานเป็นเด็กในร้านขายยาแห่งนั้น เงาร่างผอมแห้งที่ทั้งหน้าเต็มไปด้วยคราบสกปรก สวมเสื้อขนสัตว์ มาพร้อมด้วยความระมัดระวัง และความห่างเหินกับคนนอกทุกคน เดินมาซื้อลูกกลอนขาวข้างหน้าตน
ชิงชิวขมวดคิ้ว
นางไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงได้มองมือผีที่น่ารังเกียจคนนั้นซื้อยา ในความทรงจำกลับมีพี่เด็กน้อยที่เป็นตัวแทนของเรื่องราวงดงามในชีวิตของนางผุดขึ้นมา
สำหรับนางนี่เป็นการลบหลู่อย่างหนึ่ง
นางจึงยิ่งมองเงาแผนหลังของสวี่ชิงอย่างรังเกียจขึ้นไปอีก หยิบลูกกลอนที่ซื้อที่นี่ขึ้นมา เหาะเหินออกไปจากเมืองหลวงเขตปกครอง ตรงไปยังแผ่นดิน
นางไม่ได้พักอยู่ในลัทธินอกวิถีสาขาย่อยในเมืองหลวงเขตปกครอง นางไม่มีความรู้สึกดีอะไรกับลัทธินอกวิถี ดังนั้นเทียบกันแล้วนางชอบหอกระบี่มากกว่า
เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ทันเข้าใกล้หอกระบี่ นางที่อยู่กลางอากาศก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง
“เป็นมือผีอีกแล้ว ตามหลอกตามหลอนจริงๆ หรือมันจะมาฆ่าพวกเรา!” ในหัวของนางมีเสียงกรีดร้องของผีร้ายดังขึ้น ในเสียงแฝงด้วยความตื่นกลัว
“ข้ารู้แล้ว เมื่อครู่เขามองข้าแวบหนึ่ง เขาต้องรับรู้ข้าได้แล้ว เขามาเพื่อตายตกไปพร้อมกันกับพวกเรา!”
“หุบปาก!” ชิงชิวกัดฟัน ในใจหงุดหงิด หันหน้าไป ในตาฉายความดุร้าย มองไปทางสวี่ชิงที่เหาะเหินมาจากที่ไกล