ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 412 มีเพียงการลืมเลือนที่จะตัดขาดผลกรรม
บทที่ 412 มีเพียงการลืมเลือนที่จะตัดขาดผลกรรม
บรรพจารย์สำนักวัชระตกตะลึง เจ้าเงาเองก็เผยดวงตานับไม่ถ้วนออกมา
“ประโยคนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นการอธิบายกับตัวตนที่ข้าไม่ทันสังเกต…” สวี่ชิงเอ่ยอย่างสงบ
“ยิ่งไปกว่านั้น คำเรียกแทนตัวข้าของบรรพจารย์จิตรกรตั้งแต่ต้นจนจบ คือนายท่านผู้ดูแล มีเพียงประโยคอธิบายนี้เท่านั้น ที่เรียกว่านายท่านแค่สองคำ
“จุดที่ชัดเจนถึงเพียงนี้ แต่ข้าก่อนหน้ากลับมองข้ามไปอย่างน่าประหลาด” สวี่ชิงดวงตาเผยแววเยือกเย็น
“เช่นนั้น ติงหนึ่งสามสองที่ข้าควบคุมอยู่ มีนักโทษกี่คนกันแน่”
สวี่ชิงหรี่ตาลง ย้อนคิดในสมอง
“คนที่หนึ่งคืออสูรเมฆา”
“คนที่สองคือหญิงสาวเผ่ามนุษย์”
“คนที่สามคือมารหิน”
“คนที่สิบสาม…” สวี่ชิงหยุดเสียงลง ทั่วร่างตอนนี้มีกลิ่นอายเย็นเยียบวูบหนึ่งลอยขึ้นมา
“คนที่สี่คือใครกัน” สวี่ชิงพึมพำ ม่านตาเริ่มหดลง
บรรพจารย์สำนักวัชระจะเอ่ยปาก ก็ตกตะลึงไปเช่นกัน เขาก็นึกไม่ออก จากนั้นทั่วร่างก็สั่นเทิ้ม ดวงตาเผยแววตกตะลึงออกมา
เจ้าเงาก็มึนงง
“แล้วคนที่ห้าคือใครกัน หรือก็คือตั้งแต่คนที่สี่จนถึงสิบสองเป็นใครกัน ทำไมข้าจำไม่ได้” สวี่ชิงเอ่ยเสียงแผ่ว ล้วงแผ่นหยกข้อมูลนักโทษออกมา เมื่ออ่านแล้วนับอย่างไรก็สิบสี่คน
แต่ก็จำตรงกลางเก้าคนไม่ได้เลย
แปลกประหลาดมาก
ในแผ่นหยกมี สวี่ชิงรู้สึกว่าตนเองเห็นแล้ว แต่พอนึกอย่างละเอียดกลับจำไม่ได้แล้ว
“ผู้ดูแลคนที่แล้วที่เคยแนะนำนักโทษ เหมือนว่า…เขาก็ไม่เคยพูดถึงเก้าคนตรงกลางนี้เช่นกัน ตอนนั้นข้ากลับดันรู้สึกว่าปกติดี
“น่าสนใจ” ดวงตาสวี่ชิงมีประกายเย็นวาบ เปิดถุงเก็บของออกมา คิดจะนำสิ่งที่ตนเองเข้าใจบันทึกลงไป แต่หลังจากคิด เขาเลือกไม่ใช้แผ่นหยก แต่หยิบเอาตำราไม้ไผ่ว่างๆ ออกมาแทน
ถุงเก็บของเขามีตำราไม้ไผ่หลายชิ้น
เขาสลักสิ่งที่เขาคิดในปัจจุบันนี้ทั้งหมดลงไปบนตำราไม้ไผ่นี้ทีละคำ
บรรทัดสุดท้าย สวี่ชิงเขียนตัวอักษรออกมาพร้อมเครื่องหมายปรัศนี
พลังแห่งเทพเจ้า?
เสร็จสิ้นเรื่องเหล่านี้ สวี่ชิงลุกขึ้นยืน เดินออกจากหอกระบี่ในช่วงกลางคืน
ด้านนอกยังมีหยาดฝนพร่างพรมลงพื้นดินจนกลายเป็นแอ่งน้ำเต็มไปหมด สวี่ชิงเดินอยู่บนนั้นมาถึงกรมราชทัณฑ์ในช่วงฟ้าราตรีนี้
เดินมาถึงบันไดกรมราชทัณฑ์ เสียงฝีเท้าดังไปไกลมากเป็นจนเป็นเสียงสะท้อนก้อง
นี่เป็นครั้งแรกที่สวี่ชิงมากรมราชทัณฑ์ตอนกลางคืน รอบด้านมืดสนิท มีเพียงแสงไฟที่จุดสว่างอยู่บนผนัง ส่องแสงไฟริบหรี่ในความมืด
ในความมืดรอบด้าน แสงไฟริบหรี่จนแทบมองอะไรไม่เห็น
สวี่ชิงสีหน้าเรียบสงบ เดินลงบันไดไปทีละก้าวๆ เขาไม่คิดจะรอจนฟ้าสาง เพราะกลางวันกับกลางคืนสำหรับเขาแล้วไม่ต่างกัน
แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า เขาก็กังวลว่าความทรงจำจะรางเลือนไปอีกครั้ง เขาจึงถือโอกาสที่ได้สติกลับมาตอนนี้ ออกไปจัดการทันที
เขาจะไปดูนักโทษคนที่สี่ถึงสิบสอง
สวี่ชิงมาถึงกรมราชทัณฑ์ชั้นที่ห้าสิบเจ็ดท่ามกลางความมืดมิดที่เงียบสงัดเช่นนี้ มาถึงหน้าประตูห้องขังดำทมิฬติงหนึ่งสามสอง ยกมือขึ้นเปิดประตู
‘มีนักโทษอันดับที่สี่ถึงสิบสองหรือไม่!’
สวี่ชิงเดินเข้าไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ท่ามกลางเสียงเอี๊ยดดังสะท้อนก้องในความเงียบ ประตูใหญ่ปิดเสียงดังปึง
ติงหนึ่งสามสอง มืดมิดเหมือนเคย
เมื่อเดินเข้าไป สวี่ชิงสัมผัสได้รางๆ ว่ามีสายตากำลังมองตนอยู่ ขณะเดียวกันร่างเงาของเด็กชายก็ปรากฏขึ้นมาข้างกายเขา ในสายตามีความจำใจและกังวล
สวี่ชิงสังเกตก็ขมวดคิ้ว
เขามาครั้งนี้ก็เพื่อสายตานี้!
ก่อนหน้านี้เขาตอนที่ตรวจดูแผ่นหยกก็พบว่าในภาพบันทึกไม่มีเงาของเด็กชายอยู่เลย แต่เขาจำสายตาจำใจของอีกฝ่ายได้
ดังนั้นที่มาที่นี่กลางดึก เป้าหมายก็เพื่อสืบว่าเหตุใดสายตาของเด็กชายถึงเป็นเช่นนั้น
นี่คือเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวของเขา
“ที่นี่ มีอะไรอยู่” สวี่ชิงยกข้อมือขวา มองไปทางเด็กชาย
เด็กชายอ้าปากอยากจะพูดอะไร แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร สวี่ชิงก็ไม่ได้ยิน ราวกับว่าทั้งสองฝ่ายคั่นไว้ด้วยมิติหนึ่ง
ต่อให้สวี่ชิงใช้วิธีการมากมาย อย่างเช่นกันเขียนอักษร ก็ยังไม่สามารถพูดคุยกับเด็กชายได้เลย จนกระทั่งสุดท้ายสัมผัสได้ว่าท้องฟ้าด้านนอกเหมือนจะสว่างแล้ว สวี่ชิงก็ถอนใจออกมา ทำได้แค่ปล่อยวาง
เขาเงยหน้าขึ้นมองติงหนึ่งสามสอง สายตากวาดไปที่ร่างของนักโทษสิบสี่คน ทั้งหมดเป็นปกติ
จึงหันหลังจะออกไป แต่พริบตาที่มือของเขาสัมผัสกับประตูใหญ่ห้องขัง จู่ๆ สีหน้าของสวี่ชิงก็มึนงง
“ข้ามาที่นี่กลางดึก เพียงแค่เพื่อพูดคุยกับโชคชะตาเท่านั้นหรือ นี่ไม่สอดคล้องกับนิสัยข้าเลย!
“ถ้าแค่นี้ตอนเข้าเวรช่วงกลางวันข้าค่อยทำก็ได้ ไยจะต้องมาตอนกลางคืนด้วย
“ข้า…เหมือนจะลืมเรื่องบางอย่างไป”
สวี่ชิงพึมพำ หันหลังไปมองทางติงหนึ่งสามสอง ก็ยังเป็นเหมือนในความทรงจำ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
“ไม่ใช่!” ดวงตาสวี่ชิงเปล่งประกายออกมา
“ความจำของข้าไม่ได้แย่ถึงเพียงนั้น แต่นึกไม่ออกเลย…
“หรือว่าจะมีพลังบางอย่างส่งผลกระทบกับข้าไปแล้ว
“ตอนที่ข้ามา อาจจะยังไม่ถูกผลกระทบ เมื่อข้ามาแล้ว เข้ามาที่นี่ข้าก็ลืมเป้าหมาย…เช่นนั้น ข้าก็น่าจะพบเบาะแสบางส่วนแล้วสิ”
เขาเมียงมอง จู่ๆ ก็ยกมือขวาขึ้นเปิดถุงเก็บของ ค้นหาด้านใน หลังจากตรวจสอบของทุกชิ้น เขาก็ล้วงตำราไม้ไผ่ชิ้นหนึ่งออกมา
บนตำราไม้ไผ่ มีตัวอักษรมากมายสลักเอาไว้
สวี่ชิงขมวดคิ้ว เขาคุ้นเคยตำราไม้ไผ่ดี แต่ข้าจำตัวหนังสือไม่ได้แล้ว จึงตรวจสอบอย่างละเอียด และเมื่อดูไปดูมา สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป
“กรงขังที่สี่ถึงสิบสองขังใครไว้
“พลังแห่งเทพเจ้า?”
ในใจสวี่ชิงก็โหมระลอกคลื่นรุนแรงขึ้นมา เขาคุ้นเคยตัวอักษรนี้ แต่เขากลับไม่คุ้นเอาเนื้อหาเลย สุดท้ายเขาก็หันมองไปรอบด้านฉับพลัน
“ส่งผลกระทบกับความทรงจำข้าหรือ?!” สวี่ชิงจิตสังหารฉาบวาบในดวงตา สามวังสวรรค์ในกายสั่นสะเทือนฉับพลัน กลิ่นอายพิษต้องห้ามแผ่ปกคลุมไปทั่วร่าง จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจลึก ใช้งานพลังวังสวรรค์วังที่สี่เป็นครั้งแรก
นั่นคือวังสวรรค์พระจันทร์สีม่วง
วังสวรรค์วังที่สี่สั่นสะเทือนจากความคิดของสวี่ชิง แสงจันทร์สีม่วงวูบหนึ่งเปล่งออกมาจากทะเลความรู้สึก ขณะที่ปกคลุมไปทั่วร่าง กายทิพย์ไร้รูปลักษณ์ ก็ปรากฏขึ้นฉับพลันในตอนนี้
สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชา สายตาว่างเปล่า แม้ร่างกายจะไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ความรู้สึกที่สื่อออกมา ราวกับไม่ใช่เผ่ามนุษย์ที่มีอารมณ์อีกแล้ว แต่เป็นเทพเจ้าที่ก้มหน้ามองสรรพชีวิตตนหนึ่ง
ด้วยสภาพนี้ สวี่ชิงไปที่เขตติงหนึ่งสามสองอีกครั้ง
เมื่อมองไป ติงหนึ่งสามสองในสายตาเขา สภาพเปลี่ยนไปอย่างมาก
ที่นี่ไม่ใช่สีดำอีกแล้ว แต่เป็นสีแดง สีแดงสด ทั่วพื้นเปรอะเลือดสดไปหมด จะผนังก็ดี ห้องขังก็ดี ล้วนเป็นสีเลือดทั้งสิ้น
มีเพียงที่เดียว ที่เปล่งแสงออกมา นั่นคือข้างกายเขา จุดที่เด็กชายอยู่
เนื่องจากอยู่ใกล้มาก ดังนั้นแสงที่เปล่งออกมาจากเด็กชายคนนี้ จึงปกคลุมสวี่ชิงไว้
เขาอยู่ในประกายแสง ส่วนด้านนอกแสงนอกจากสีเลือด ก็มีปราณหมอกเข้มข้น ราวกับจะเข้ามาโจมตี แต่ถูกสกัดกั้นไว้
ใจสวี่ชิงสั่นสะท้าน เขามองกรงขังที่อสูรเมฆาอยู่ ในนั้น…ไม่ใช่อสูรเมฆา แต่เป็นสิงโตหินที่ไม่มีหัว!
ทั่วร่างเป็นสีดำ แผ่ซ่านความอัปมงคลออกมาเข้มข้น
จากนั้นเขามองกรงขังที่หญิงสาวเผ่ามนุษย์อยู่ ที่นั่นก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ราวกับเลิกผ้าม่านออกแล้วเผยให้เห็นฉากที่แท้จริง หญิงสาวในนั้น ไม่ได้มีหน้าตาสะสวยอีกต่อไป แต่เป็นโครงกระดูก
ในกรงขังมีหุ่นฟางขนาดยักษ์เพิ่มมาตัวหนึ่ง ทั่วร่างเป็นสีเลือด และมีเศษฟางนับไม่ถ้วนร่วงหล่นมาตลอดจนกลายเป็นหุ่นฟางขนาดเล็ก กัดแทะโครงกระดูกหญิงสาว พอกินหมดก็สำรอกออกมาแล้วไปรวมร่างใหม่
ราวกับเป็นวัฏจักรชั่วนิรันดร์ ฉีกทึ้งกัดกินไม่หยุด
สังเกตเห็นสายตาสวี่ชิง หุ่นฟางยักษ์ก็ยังหันหน้าเหลือบมองสวี่ชิงผาดหนึ่ง แสยะยิ้ม
ส่วนห้องขังที่ขังโม่กับศีรษะเอาไว้ก็ไม่เหมือนก่อนหน้าด้วยเช่นกัน โม่อันตรธานหายไป ในตำแหน่งของมันมีโอ่งน้ำขนาดยักษ์ใบหนึ่งปรากฏขึ้น แผ่กลิ่นอายบรรพกาลออกมา ในโอ่งมีของเหลวขุ่นๆ อยู่ ดอกบัวสีดำดอกหนึ่ง แผ่รยางค์นับไม่ถ้วนออกมาจนเต็มกรงขัง
มีไม่น้อยที่แทงเข้าไปในศีรษะ ทำให้เจ้าศีรษะมีสีหน้าเจ็บปวด
ตอนนี้ศีรษะนั้นก็สังเกตเห็นสายตาสวี่ชิงแล้ว แต่สีหน้าของมันกลับแปลกประหลาดมาก มาพร้อมกับความจำใจ ส่งเสียงอ่อนล้าออกมาว่า
“ข้าไม่ได้เปลี่ยนไป ข้าบอกท่านแล้ว ข้ายังอยู่ดี…”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง สายตากวาดไปทางห้องขังอื่น และทั้งหมดที่เขาเห็น ทำให้จิตใจเขาโหมคลื่นยักษ์โถมสวรรค์ขึ้นมา
เขาไม่เห็นนักโทษลำดับที่สี่ถึงสิบสอง
เขามองเห็นนิ้วมือขนาดยักษ์นิ้วหนึ่ง แทงทะลุห้องขังนับร้อย นิ้วนี้แผ่พลานุภาพความเป็นเทพที่ยากจะพรรณนาได้ออกมา เลือดสดที่หลั่งรินส่องสะท้อนห้องขังนี้จนแดงไปหมด
หมอกเลือด เลือด ล้วนเกิดมาจากองค์ท่าน
นั่นคือ…นิ้วมือของเทพเจ้า
ส่วนห้องขังห้องสุดท้าย ชายชราเผ่าจิตรกรรมรม ตอนนี้สีหน้าบิดเบี้ยว ร่างกายผอมแห้ง ท่อนบนเปลือยเปล่า ด้านบนเป็นรอยกัดแทะ กำลังใช้นิ้ววาดรูป
ในห้องขังเขา มีภาพวาดนับไม่ถ้วนลอยอยู่เต็มไปหมด บนพื้นเป็นภาพที่ถูกทิ้ง เมื่อมองอย่างละเอียดจะเห็นว่า ทุกภาพล้วนเป็นสวี่ชิงทั้งสิ้น!
สังเกตเห็นสายตาของสวี่ชิง ชายชราก็หันหน้ามาแสยะยิ้ม
“อรุณสวัสดิ์ ใต้เท้าผู้ดูแล”
สิ่งเหล่านี้ ก็คือสภาพที่แท้จริงของติงหนึ่งสามสอง
ที่นี่ไม่ได้มีนักโทษสิบสี่คน แต่มีอยู่หกคน
สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึม หลังจากชมองทั้งหมดแล้ว ก็มาถึงจุดที่สิงโตหินไร้หัวอยู่ ยกมือขวาขึ้นโบก ค่ายกลห้องขังเปิด ระหว่างที่ส่งเสียงครืนครัน สิงโตหินก็พังทลาย
ถัดมาคือหุ่นฟาง กระจัดกระจายเป็นชิ้นๆ ในค่ายกลเช่นกัน จากนั้นก็เป็นโอ่งกับศีรษะ
สวี่ชิงเหยียบศีรษะจนเละ ก่อนที่จะแหลกเละก็ส่งเสียงถอนใจ
“ทำไมท่านถึงไม่เชื่อข้าเลย”
สุดท้ายคือเผ่าจิตรกรรม สวี่ชิงเลิกแขนเสื้อท่ามกลางรอยยิ้มแปลกประหลาดของชายชราคนนั้น โยนลูกไฟพุ่งเข้าไป ทั้งหมดถูกแผดเผา
เสร็จเรื่องทั้งหมด เขาก็มองนิ้วมือนิ้วนั้น เงียบนิ่งอยู่นาน หันหลังเดินออกไปด้านนอก
นิ้วมือนี้ต่างหากที่เป็นความลับที่แท้จริงของติงหนึ่งสามสอง
สุดท้ายสิ่งที่ที่นี่คุมขังอยู่ อันที่จริงคือนิ้วเทพเจ้านิ้วนี้ เพียงแต่สวี่ชิงไม่เข้าใจ ทำไมสิ่งของระดับนี้จึงมาอยู่ในเขตติง
สวี่ชิงมองเด็กชาย มองแสงนอกร่างกายเขากำลังต่อต้านกับเจตจำนงเลือดที่นิ้วเทพเจ้าแผ่ออกมารอบๆ ก็เข้าใจทันที
“ที่บรรพจารย์สำนักวัชระพูดมาไม่ถูกต้อง โชคร้ายไม่ได้เกิดขึ้นเพราะไม่อาจรองรับโชคชะตาได้ แต่มาจากคำสาปต่างหาก คำสาปของเทพเจ้า โชคชะตาอยู่ที่นี่เพื่อคอยสะกดคำสาป
“ดังนั้นผู้ดูแลในอดีต จึงถูกคำสาปส่งผลกระทบ จนเกิดโชคร้าย
“และนี่คือหนึ่งคำสาปที่รู้จัก วิธีทำลายนั้นแสนง่ายดาย แค่มองให้ออกก็พอ
“ดังนั้น เจ้า ถึงจะเป็นผู้ดูแลที่นี่อย่างแท้จริงสินะ”
สวี่ชิงเอ่ยเสียงแผ่วเบา
เด็กชายพยักหน้า
สวี่ชิงเงียบนิ่ง เดินไปที่ประตูใหญ่ห้องขัง ก้มหน้าลงมองตำราไม้ไผ่ในมือ บีบจนแตกละเอียด ร่วงลงบนพื้น
ของสิ่งนี้ไม่จำเป็นอีกแล้ว เขาตัดสินใจถอนตัวจากการดูแลติงหนึ่งสามสอง สถานที่นี้แปลกประหลาด ต่อให้เขามองเหตุและผลออกแล้ว แต่ก็ยังไม่อยากอยู่ที่นี่นานนัก
จึงเก็บงำพระจันทร์สีม่วงกับพิษต้องห้าม ผลักประตูห้องขังเดินออกมา
ทันทีที่เดินออกมาเมื่อประตูใหญ่ลั่นดาล สวี่ชิงก็สูดลมหายใจลึก ขมวดคิ้ว
“น่าเสียดาย ที่ติดต่อสื่อสารกับเด็กชายคนนั้นไม่ได้ แต่ก็เหมือนไม่มีเจตนาร้ายกับข้า ส่วนใหญ่จะอยากรู้อยากเห็นมากกว่า
“ช่างเถิด แต่ว่าเขตติงหนึ่งสามสองมีนักโทษแค่สิบสี่คน มันน้อยเกินไปแล้ว”
สวี่ชิงครุ่นคิด เขารู้สึกว่าควรจะหาวิธีเพิ่มจำนวนมากขึ้นหน่อย สวี่ชิงเดินจากไปพร้อมกับความคิดนี้ เขายังมองไปหาข่งเสียงหลงที่ถูกขังอยู่ในนี้ด้วย
และหลังจากที่สวี่ชิงจากไป เขตติงหนึ่งสามสอง ก็กลับมาเป็นปกติ
อสูรเมฆายังคงกัดเคี้ยว หญิงสาวเผ่ามนุษย์ยังคงโอ๋หุ่นฟางให้นอนหลับ โม่ยังคงหมุน ส่วนภาพของเผ่าจิตรกรรมก็ยังไม่หายไป ชายชราอยู่ในนั้น ถอนใจออกมา
“ทำไมถึงได้เป็นคนที่น่ากลัวเช่นนี้ ตื่นตัวทุกวัน เมื่อไรจะจบสิ้นเสียที เตือนไปก็เท่านั้น เขาตื่นขึ้นมาก็เอาแต่สังหารพวกเรา เมื่อไม่เตือนเขา ทุกครั้งหลังจากที่เขาวิเคราะห์ก็จะตื่นตัวขึ้นมาได้อีก”
เมื่อโม่กับศีรษะทางนั้นได้ยินก็ร้องขึ้นมา
“ข้ารำคาญยิ่งกว่าเจ้าอีก ครั้งแรกที่เจ้าเด็กนี่เข้ามาทั้งหมดก็ปกติดี แต่หลังจากครั้งสองก็ตื่นตัวเสียแล้ว และนับจากนั้นเมื่อมาถึงก็ตื่นตัวทุกวัน อีกทั้งทุกครั้งที่ตื่นตัวก็จะเหยียบข้าจนตาย ไม่เคยเปลี่ยนเลย!
“ข้ามันน่าเหยียบนักหรือไร ข้าบอกเขาไปตั้งกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเหยียบข้า ให้ตายเถอะ จะสังหารเขาให้ได้ ไม่สิ หมวกฟางจะสังหารเขาเอง เขาถูกกำหนดให้ตายไว้แล้ว!”
ท่ามกลางความวุ่นวายนี้ ร่างของเด็กชายก็ปรากฏขึ้นที่ประตูใหญ่ห้องขัง เขาก้มหน้าลงเก็บเศษตำราไม้ไผ่บนพื้นขึ้นมาแล้วไปที่มุมลับมุมหนึ่งที่ไม่อาจสังเกตเห็น โยนตำราไม้ไผ่ทิ้งไป
ตรงนั้น…มีเศษตำราไม้ไผ่อยู่กองหนึ่ง
ส่วนที่แตกหักทุกชิ้นล้วนมีอักษรสลักไว้ เป็นลายมือของสวี่ชิงทั้งสิ้น
และเมื่อนับอย่างละเอียด ก็จะพบว่าจำนวนตำราไม้ไผ่เหล่านี้ น้อยกว่าจำนวนวันที่สวี่ชิงมาเข้าเวรที่นี่อยู่หนึ่งแผ่น
บางทีพรุ่งนี้ อาจจะยังเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งแผ่น
เด็กชายถอนหายใจ ร่างกายไหววูบ สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย ตอนที่ปรากฏ…ก็มาอยู่ด้านนอกเขตติงหนึ่งสามสอง อยู่ด้านหลังสวี่ชิงแล้ว
ไม่มีใครมองเห็นเขา สวี่ชิงก็ไม่เห็น
มันติดตามอยู่เงียบๆ ราวกับกำลังทำตามสัญญา ที่จะคุ้มครองสวี่ชิงในเมืองหลวงเขตปกครอง จนกว่าพี่สาวตัวน้อยที่ยอมจะเป็นเพื่อนกับเขาคนนั้นมาถึง
นี่คือสัญญา
แต่เขาก็รู้สึกขมขื่น เพราะเขาพบว่าคนที่ต้องถูกตนเองคุ้มครองคนนี้ นับตั้งแต่วันที่สองก็ไม่จำเป็นต้องให้เขามาคุ้มครองอีกแล้ว
วันนั้นที่เขามองเขตติงหนึ่งสามสองออกทั้งหมด และมองตนทั้งหมดออกเช่นกัน โชคร้ายที่เขาปลดเปลื้องได้ก็ไม่ใช่เพราะตน แต่เป็นตัวเขาเองที่ทำลายมัน
ดังนั้น ทุกวันเขาก็จะตื่นตัว กระจ่างแจ้ง และจะล้างบางที่นี่
และเพราะผลกระทบจากพลังสะกดของเทพเจ้ารวมถึงตัวกรมราชทัณฑ์ ดังนั้นเขาจึงลืมทุกวัน
และเริ่มใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ที่นี่ก็คือติงหนึ่งสามสอง และเป็นพลังหลักของกรมราชทัณฑ์
โชคร้ายย่อมไม่ได้มาจากโชคชะตา มันมาจากคำสาป คำสาปของเทพเจ้า
ไม่มีใครแบกรับไหว มีเพียงการลืมเลือนเท่านั้นถึงจะตัดขาดผลกรรมนี้