ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 414 วิหคทองประทับวังสวรรค์
บทที่ 414 วิหคทองประทับวังสวรรค์
ขนมดอกกุ้ยในเมืองหลวงเขตปกครองแพงไม่ใช่เล่น
หนึ่งชุดห้าชิ้น ราคาหนึ่งเหรียญวิญญาณ
เหตุที่เป็นเช่นนี้เหมือนว่าจะเป็นเพราะในขนมดอกกุ้ยใส่สมุนไพรวิญญาณบางอย่าง ส่วนดอกกุ้ยเจ้าของร้านยังบอกว่านำเข้ามาจากมณฑลคลื่นพนา
สวี่ชิงจึงซื้อมาสามชุด
เดินไปสำนักย่อยด้วย กินไปด้วย
ต้องพูดเลยว่ารสชาติขนมดอกกุ้ยของเมืองหลวงเขตปกครองไม่เลวเลยจริงๆ ในตอนที่สวี่ชิงมาถึงสำนักย่อย เขาก็กินส่วนของตัวเองหมดแล้ว จากนั้นก็สูดลมหายใจลึก เดินเข้าไปในสำนักย่อย
ตลอดทางมาก็ได้เห็นลูกศิษย์พันธมิตรแปดสำนักจำนวนหนึ่ง เมื่อทุกคนสังเกตเห็นสวี่ชิงต่างเคารพนอบน้อมมาก ต่อให้เป็นหวงอี้คุนก็ยังต้องโค้งคารวะสวี่ชิงอย่างจนใจ
สวี่ชิงพยักหน้า เดินไปทางเรือนเขตเจี่ย
เข้ามาใกล้ที่นี่ เขาตื่นเต้นนิดๆ เมื่อนึกถึงจอมเซียนจื่อเสวียน สวี่ชิงก็ไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรอยู่นิดๆ เป็นเพราะไม่ว่าจะเป็นพลังบำเพ็ญหรือการเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์ต่างๆ ของอีกฝ่ายช่างทำให้สวี่ชิงตามไม่ทันเอาเสียเลย
แต่ไม่ไปก็ไม่ได้อีก
สวี่ชิงจึงสูดลมหายใจลึก ก้าวเข้าไปในเรือนเขตเจี่ย หลังจากเดินทะลุผ่านสวนหลายแห่งก็มาถึงเรือนที่ตั้งของห้องหมายเลขหนึ่ง
ที่นี่ก็เป็นเรือนใหญ่เช่นกัน เขามอในนี้มีไม่น้อยเลย ต้นไม้ใบหญ้ามากมาย และยังมีหญิงรับใช้อีกจำนวนมาก
เห็นได้ชัดว่าต่อให้เป็นที่เมืองหลวงเขตปกครอง จอมเซียนจื่อเสวียนก็ยังมีเงื่อนไขต่อคุณภาพของการใช้ชีวิตเช่นกัน
หญิงรับใช้เหล่านี้เมื่อเห็นสวี่ชิงต่างดวงตาวาววาบ ในยามที่ย่อตัวทำความเคารพสีหน้าแฝงด้วยความอยากรู้อยากเห็น จวบจนเมื่อสวี่ชิงเดินจากไปไกล พวกนางมองเงาแผ่นหลังของสวี่ชิง ซุบซิบกันอย่างอดไม่ได้ ประเดี๋ยวๆ ก็มีเสียงหัวเราะดังออกมา
เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นสวี่ชิงหรือพวกนางล้วนมองไม่เห็นว่าคนที่เข้ามาในเรือนแห่งนี้ยังมีเด็กชายตัวน้อยอีกคนหนึ่ง เขายืนอยู่ข้างเหล่าหญิงรับใช้กลุ่มนั้นอย่างสงสัยใคร่รู้ เอียงหูฟังคำซุบซิบของพวกนาง
และสวี่ชิงในตอนนี้ก็มาถึงห้องหมายเลขหนึ่งแล้ว ที่ตรงนั้นสีหน้าของเขาเคร่งขรึม ประสานหมัดเอ่ยเสียงต่ำ
“ศิษย์สวี่ชิงขอพบจอมเซียนจื่อเสวียนขอรับ”
ประตูห้องเปิดออกช้าๆ เงาร่างของจื่อเสวียนเดินออกมาจากในนั้น นางที่มีรูปร่างสูงโปร่งวันนี้สวมชุดกระโปรงยาวแบบชาววังสีม่วงทั้งตัว ผมดำขลับปล่อยสยาย ในขณะที่ดูสูงส่งก็มาพร้อมด้วยความสง่างาม คล้ายเซียนสวรรค์ไร้มลทิน ทั้งตัวแผ่ซ่านท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์
แต่ดวงตาหงส์แฝงด้วยความโกรธา การแฝงของอารมณ์นี้ทำให้ใบหน้างามล้ำของนางมีความมีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน คล้ายเซียนเดินมาสู่โลกมนุษย์
การปรากฏตัวขึ้นของนางยิ่งทำให้ราตรีโพล้เพล้นี้มีแสงพรายรุ้งเพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อย สะท้อนในดวงตาสวี่ชิง ก่อเป็นเงาที่ไม่รางเลือน ยิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ ยิ่งชัดขึ้นมาเรื่อยๆ
จื่อเสวียนเดินมาถึงข้างหน้าสวี่ชิง
เห็นห่อกระดาษที่สวี่ชิงถืออยู่ในมือ ความโกรธในดวงตาของนางแปรเปลี่ยนเป็นความดีใจ
“ข้ายังคิดว่าทำไมเจ้าถึงมาช้าขนาดนี้ ที่แท้สหายตัวน้อยก็ยังจำคำพูดของข้าได้”
“คำพูดของผู้อาวุโส ผู้เยาว์มิกล้าลืม” สวี่ชิงพยายามทำตัวไม่ให้ตื่นเต้น เอ่ยอย่างเคร่งขรึม พูดจบก็ยื่นขนมดอกกุ้ยในมือออกไป
จื่อเสวียนยิ้มพลางรับมา กำลังจะเอ่ยปาก
สวี่ชิงก็เริ่มเอาของออกมาจากถุงเก็บของเรื่อยๆ
ขนมถั่วเขียว ขนมเปี๊ยะน้ำค้างเซียน ขนมอบไส้สับปะรด ถั่วกวน ขนมเปี๊ยะเมล็ดซิ่ง ขนมเก้าชั้น….
ทั้งหมดห้าสิบกว่าอย่าง ทุกอย่างสองชุด
หญิงรับใช้ที่อยู่ข้างๆ เมื่อเห็นภาพนี้ก็รีบรุดหน้าขึ้นไป เอาถาดไปรับมา ไม่นานขนมบนถาดก็ตั้งเรียงเป็นภูเขาขนาดย่อมๆ
จื่อเสวียนอึ้งเล็กน้อย มองไปทางสวี่ชิงอย่างแปลกประหลาด หญิงรับใช้ที่ถือถาดอยู่ก็เช่นกัน
สวี่ชิงหยิบออกมาทั้งหมดเสร็จก็สูดลมหายใจ มองไปทางจื่อเสวียน เอ่ยอย่างจริงจัง
“ผู้เยาว์ไม่ทราบว่านอกจากขนมดอกกุ้ยแล้วผู้อาวุโสยังชอบอะไรอีก ดังนั้นอะไรที่ซื้อได้จึงซื้อมาทั้งหมด”
คำพูดของสวี่ชิงมาจากใจจริง เขาให้ความเคารพต่อความรู้เป็นอย่างยิ่ง และรู้ว่าจากนี้จอมเซียนจื่อเสวียนไม่ใช่แค่จะบอกเขาว่าจะผสานเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิไปในวังสวรรค์อย่างไร ยิ่งกว่านั้นคือจะคอยคุ้มครองตนด้วย
บุญคุณนี้เขาสลักมันไว้ในใจ จึงได้ใช้เวลาไปซื้อขนมมามากมายขนาดนี้ และนี่ก็เป็นเหตุผลที่มาช้า
จอมเซียนจื่อเสวียนได้ยินดังนั้นสายตามองไปยังดวงตาของสวี่ชิง จ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง ในใจของนางก็เกิดระลอกคลื่นเช่นกัน ความหงุดหงิดในช่วงนี้หายไปโดยสิ้นเชิง หันไปสั่งกับหญิงรับใช้เบาๆ ว่า
“เอาขนมพวกนี้ไปวางไว้ในห้องข้า ระวังหน่อย อย่าให้แตก”
หญิงรับใช้รีบรับคำ หลังจากเอาไปวางไว้ในห้องแล้ว นางมองสวี่ชิงและจื่อเสวียนแวบหนึ่ง กะพริบตาปริบๆ ก็ไปจากที่นี่
นางรู้สึกว่าตอนนี้นางไม่เหมาะที่จะอยู่ที่นี่แล้ว
ไม่สนใจหญิงรับใช้ จอมเซียนจื่อเสวียนมุมปากยกขึ้น ใบหน้าที่ไร้มลทินนั้นผลิบานรอยยิ้มอันอ่อนโยน เพียงสะบัดมือทุกอย่างรอบๆ ก็เปลี่ยนไป พื้นหินกลายเป็นพื้นหญ้า เขามอกลายเป็นภูเขาของจริง ดอกไม้ต้นหญ้ากลายเป็นต้นไม้ใหญ่ ศาลารับลมหลังหนึ่งปรากฏขึ้นข้างๆ
“สวี่ชิง มา”
จื่อเสวียนเดินไปในศาลา นั่งตรงนั้น ตอนนี้สายลมอ่อนๆ พัดมา พัดเส้นผมดำขลับของนางปลิว และพัดให้กระโปรงของนางแนบเนื้อ ทำให้เส้นโค้งเว้าอันเป็นลักษณะเฉพาะของสตรีในยามนั่งปรากฏเป็นร่องรอยชัดเจน
อยู่บนตัวนางยิ่งสมบูรณ์แบบ
สวี่ชิงลังเล ก้าวขึ้นไป นั่งลงตรงข้ามกับจื่อเสวียน
นั่งอยู่ตรงนั้นเขาเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และมีกลิ่นหอมอันคุ้นเคยลอยอวลมา
กลิ่นหอมนั้นหอมมาก
และเขาก็นั่งได้แค่ตรงนี้เท่านั้น เพราะเก้าอี้หินอยู่ตรงนี้
“เล่าให้ข้าฟังเรื่องในกรมราชทัณฑ์ในช่วงเดือนกว่านี้ให้ข้าฟังหน่อยก็แล้วกัน” จื่อเสวียนวางแขนข้างหนึ่งไว้บนชั้นหินข้างๆ เท้าข้าง กะพริบตาเล็กน้อย มองไปทางสวี่ชิง
นางในตอนนี้ไม่ได้เป็นผู้ใหญ่สง่างามเหมือนกับตอนที่เดินออกมาจากประตูในตอนแรกแล้ว และไม่ได้อ่อนโยนเรียบร้อยเหมือนกับตอนที่เห็นขนมดอกกุ้ย แต่กลับมีความเป็นเด็กนิดๆ แฝงอยู่ อีกทั้งใบหน้าของนางเดิมก็มองอายุไม่ออกอยู่แล้ว งดงามเลิศล้ำ
การเปลี่ยนแปลงของท่าทีแบบนี้ ต่อให้สวี่ชิงได้ประสบพบเจอก่อนหน้านี้หลายครั้ง แต่ตอนนี้ก็ยังรับมือไม่ค่อยจะไหวอยู่ดี เขายอมรับ…จอมเซียนจื่อเสวียนข้างหน้าคนนั้น ทั้งทั้งตัวแผ่แรงดึงดูดอันน่าทึ่งออกมา
แรงดึงดูดแบบนี้ทำให้เขาไม่สามารถเกิดความรู้สึกคิดร้ายแม้แต่เล็กน้อยได้เลย ทุกอย่างที่อีกฝ่ายมีทำให้เขาเกิดความรู้สึกดีๆ ได้เท่านั้น
สวี่ชิงจึงพยายามสงบจิตสงบใจ เล่าเรื่องในกรมราชทัณฑ์ของตัวเองเสียงเบา รวมถึงเรื่องที่ได้รู้จักกับข่งเสียงหลง ความคิดเห็นที่เจ้าวังเข้าถึงยาก และเรื่องราวต่างๆ อีกมาก
ทุกอย่างเหมือนธรรมดาเรียบง่ายมาก เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือจื่อเสวียนล้วนไม่ได้สังเกตว่า ห่างจากศาลานี้ไปไม่ไกล มีเด็กชายคนหนึ่งย่อตัวนั่งลงอยู่ตรงนั้น มองมาทางพวกเขาอย่างสงสัยใคร่รู้
เขาเอียงศีรษะเล็กๆ สีหน้าแฝงด้วยความไม่เข้าใจนิดๆ ประเมินจื่อเสวียนอย่างละเอียด คล้ายว่ากำลังพิจารณาว่าอีกฝ่ายมีจิตคิดร้ายหรือไม่
ความรู้สึกแรกของเขาคืออีกฝ่ายไม่มีจิตคิดร้าย แต่กลับรู้สึกว่านางเหมือนจะมีความรู้สึกอยากครอบครองนิดๆ จึงไม่กล้าเข้าไปใกล้มากเกินไป
นี่ทำให้เขากลัดกลุ้มนิดๆ จึงตัดสินใจนั่งลงมันเสียเลยไม่สนใจอีก
จื่อเสวียนมองสวี่ชิง ฟังคำของเขาอย่างละเอียดทุกคำ จวบจนดวงจันทร์ขึ้นกลางฟ้า สวี่ชิงก็เล่าเรื่องที่ตัวเองดำรงตำแหน่งหน้าที่จบ จื่อเสวียนใบหน้าแฝงรอยอ่อนโยน เอ่ยเสียงเบา
“ข้าฟังออกว่าเจ้ามีความสับสนใน…ผู้ครองกระบี่อยู่นิดๆ”
สวี่ชิงเงยหน้ามองจื่อเสวียน
“เจ้ายากจะรับกลุ่มเช่นนี้ได้ และไม่เคยเจอกับเรื่องประเภทนี้ ดังนั้นในใจของเจ้าจึงเคลือบแคลงและสงสัย ด้วยเหตุนี้จึงอยากออกห่างไปโดยสัญชาตญาณ เพราะเจ้าไม่อยากถูกผูกมัด”
จื่อเสวียนยิ้มอ่อนโยน
“เจ้าทำตามใจของตัวเองเลย ไม่ต้องคิดอะไรให้มาก คอยสังเกตอย่างเยือกเย็นต่อไป เมื่อไรที่เจ้าให้ความสำคัญ ให้เกียรติกับกลุ่มนี้หรือคนในนั้นก่อน แล้วจึงเกิดความนับถือและความเคารพ บางทีเจ้าอาจจะได้คำตอบ”
สวี่ชิงเหมือนมีสายฟ้าฟาดผ่าในใจ คล้ายครุ่นคิด จากนั้นก็ลุกขึ้น โค้งคารวะจื่อเสวียนสุดตัว
“สหายตัวน้อย หลับตาลง”
สวี่ชิงลังเลเล็กน้อย แล้วหลับตาลง
ในเสี้ยวพริบตาที่เขาหลับตาทั้งสองข้าง จื่อเสวียนก็เข้าใกล้สวี่ชิงอย่างแผ่วเบา
สวี่ชิงลมหายใจถี่กระชั้นเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ว่ากลิ่นหอมตอนนี้แรงขึ้น คล้ายว่ามีใครพ่นลมหายใจรดหน้า
ในพริบตาที่เขาคิดอยากจะลืมตาขึ้นมา นิ้วของจื่อเสวียนก็แตะมาที่หว่างคิ้วของเขาเบาๆ
เสียงที่มาพร้อมทั้งความมีชีวิตชีวาและความเย้ายวนดังก้องข้างหูเขา
“สหายตัวน้อย จิตต้องสงบนะ จินตนาการว่าวังสวรรค์วังที่ห้าของเจ้ากลายเป็นราชรถ บางทีเจ้าอาจจะเคยเห็นมันมาก่อน แต่ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเห็นได้ชัดถึงขนาดนี้หรือไม่…”
จากเสียงของจื่อเสวียน ภาพหนึ่งก็ฉายขึ้นมาในดวงตาสวี่ชิง นั่นคือราชรถคันหนึ่ง!
ราชรถที่ยักษ์ลากในทะเลลึกคันนั้น
ขณะเดียวกันก็เป็นราชรถของดวงอาทิตย์ด้วย
“นี่ก็คือวิธีการผสานเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิเข้าไป วิธีการผสานเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิของแต่ละวิชาไปในวังสวรรค์ล้วนต่างกัน…วิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณ…สิ่งที่ต้องใช้คือราชรถ”
สวี่ชิงใจสะท้านเฮือก กระจ่างถ่องแท้ขึ้นมาทันที ราชรถที่ปรากฏขึ้นในสมองของเขาแม้จะชัดเจน แต่สุดท้ายแล้วก็ยังขาดไปอีกนิดอยู่ดี
เพราะสวี่ชิงเคยเหยียบไปบนราชรถคันนั้นจริงๆ
กระทั่งว่าเขาอยู่บนนั้นนานกว่าคนอื่น จึงได้มรดกวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณที่สมบูรณ์
แต่ภาพนี้ก็ส่งผลที่สำคัญมากๆ มันสามารถผสานกับราชรถในความทรงจำของสวี่ชิง ทำให้ความทรงจำนี้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทำให้ราชรถในความรู้สึกของเขาชัดเจนยิ่งขึ้น
เสี้ยวขณะต่อมา ร่างสวี่ชิงสั่นสะท้านรุนแรง เก้าอี้หินที่เขานั่งกลายเป็นเบาะรองนั่ง ศาลากลายเป็นเจดีย์ ปกป้องคุ้มครองเขาเอาไว้ข้างใน
พื้นหญ้ารอบๆ หลายเป็นคนตัวเล็กนับไม่ถ้วน ทุกคนล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง หันหลังให้สวี่ชิง หันหน้ามองไปทางที่ไกล จะปกป้องคุ้มครองอย่างจงรักภักดี
ส่วนภูเขาใหญ่นั่นกลายเป็นยักษ์ หลังจากที่ยืนขึ้นมาก็แผ่รัศมีอำนาจยิ่งใหญ่ทรงพลัง
ต้นไม้ใหญ่ก็เช่นกัน
ทุกอย่างที่นี่ในเสี้ยวพริบตานี้ก็เปลี่ยนเป็นสถานที่คุ้มกันที่ดีที่สุดที่จื่อเสวียนเตรียมไว้ให้สวี่ชิง แม้ว่าความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุไม่คาดฝันจะเล็กน้อยจนแทบไม่มี แต่นางก็ไม่วางใจ
ดังนั้นนางจึงนั่งขัดสมาธิข้างสวี่ชิง คุ้มครองด้วยตัวเอง
การทะลวงขั้นของสวี่ชิงก็เริ่มต้นขึ้นเช่นนี้เอง
วังสวรรค์วังที่ห้าของเขารูปร่างเปลี่ยนไปก่อนเป็นอันดับแรก กำลังเปลี่ยนรูปร่างเป็นราชรถอย่างช้าๆ ตอนนี้ ภาพที่จื่อเสวียนจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อยถึงจะแลกมาได้ในสมองของเขา และความทรงจำที่ประสบพบเจอราชรถด้วยตัวเองก็เกิดเป็นกุญแจสำคัญ
วังสวรรค์วังที่ห้าของเขาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็แปรเปลี่ยนเป็นราชรถโดยสมบูรณ์ อีกทั้งยังสมจริงเสียยิ่งกว่าภาพนั้น แผ่กลิ่นอายที่น่าครั่นคร้ามออกมา
สัมผัสวังสวรรค์วังที่ห้าของตัวเอง สวี่ชิงบรรลุตื่นรู้ เอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา
“วิหคทองกลับคืนสู่ราชรถ จันทร์ลาเลื่อนเจ้าเคลื่อนออกเดินทาง!”
จากนั้นภาพสัญลักษณ์ที่หลังสวี่ชิงก็ฉายแสงวาบ วิหคทองปรากฏออกมาโผบินพุ่งไปยังท้องฟ้า สยายปีกกลางผืนนภาส่งเสียงร้องอย่างเบิกบาน หลังจากบินวนไปทั่วทุกทิศอยู่หลายรอบ ก็ตรงมาหาสวี่ชิง
ในพริบตาที่ร่อนลง ก็พุ่งไปในร่างกายของสวี่ชิงจากกระหม่อม บินเข้าไปในทะเลความรู้สึก บินเข้าไปในราชรถที่เปลี่ยนมาจากวังสวรรค์วังที่ห้า เมื่อมาถึงจุดลึกวิหคทองตัวนี้ก็กะพริบแสงวูบวาบ แล้วแปลงเป็นเงาร่างเด็กหนุ่มรางเลือน
รูปร่างหน้าตาของเด็กหนุ่มเหมือนกับสวี่ชิงเลย
เขาสวมชุดจักรพรรดิสีดำ บนศีรษะสวมกวานจักรพรรดิสีเดียวกัน ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยความสูงส่ง แฝงไว้ด้วยความทรงอำนาจน่าเกรงขาม นั่งอย่างสง่างามบนราชรถที่เปลี่ยนมาจากวังสวรรค์วังที่ห้า
วังสวรรค์วังที่ห้าฉายไฟเจ็ดสีวูบวาบ ฉายเงาวิหคทองมาข้างนอก
ขณะเดียวกับที่เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วสารทิศ พลังของวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณก็ปะทุขึ้นมา หางของมันจากสิบเก้าหางก่อนหน้านี้เพิ่มขึ้นมามากกว่าหนึ่งเท่า กลายเป็นสี่สิบสี่สิบสองหาง
มองหาง สวี่ชิงพลันมีความเข้าใจอย่างหนึ่งกระจ่างแจ้งขึ้นมา
หลังจากถึงร้อยหาง วิหคทองหมื่นวิญญาณก็จะยกระดับขึ้นเป็นขั้นที่สาม!
สวี่ชิงพลันลืมตาขึ้นมา ทุกอย่างรอบๆ หายไป คนตัวเล็กก็ดี เจดีย์ก็ช่าง แล้วยังมียักษ์ที่อยู่ไกลๆ ในเสี้ยวพริบตาที่ดวงตาทั้งสองของเขาลืมขึ้นก็ล้วนแต่หายไปไร้ร่องรอย
ที่นี่ เป็นบริเวณเรือนของห้องหมายเลขหนึ่ง สวี่ชิงนั่งขัดสมาธิบนพื้น ในยามเงยหน้าที่ตรงประตูห้อง เขามองเห็นเงาแผ่นหลังของจอมเซียนจื่อเสวียน
“ฟ้าสางแล้ว หรือว่าวันนี้ไม่ต้องไปเข้าเวรหรือ” จอมเซียนจื่อเสวียนยืนอยู่ในประตูหันหน้ามา ยิ้มให้สวี่ชิง
ท้องฟ้าเริ่มมีแสงสลัวรำไร คืนหนึ่งผ่านพ้นไปแล้ว
สวี่ชิงมองจื่อเสวียน ในดวงตาฉายแววขอบคุณ ลุกขึ้นประสานมือ โค้งคารวะสุดตัว
“ขอบคุณ…”
“อย่าเรียกผู้อาวุโส เรียกชื่อข้า” สวี่ชิงเอ่ยเสียงเบา
สวี่ชิงลังเล
“ขอบคุณจื่อเสวียนมาก”
“ทำไมฟังแล้วแปลกๆ แบบนี้…” จื่อเสวียนส่ายหน้าอย่างจนใจ
“มา ข้าสอนเจ้าให้ เจ้าต้องพูดว่า จื่อเสวียน ขอบใจเจ้า น้ำเสียงต้องอ่อนโยนลงสักหน่อย” จื่อเสวียนมองทางสวี่ชิง สีหน้าฉายแวววาดหวัง
สวี่ชิงนิ่งเงียบ จากนั้นก็เอ่ยเสียงเบา
“จื่อเสวียน ขอบใจเจ้า”
ได้ยินประโยคนี้ จื่อเสวียนดวงตาเป็นประกาย มุมปากยกขึ้นฉายรอยยิ้มงดงาม พยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยเสียงแผ่วเบาเช่นกัน
“สวี่ชิง ไม่ต้องขอบใจ”
บรรยายกาศ จากสองประโยคของคนสองคน ข้างนอกห้องหมายเลขหนึ่งเปลี่ยนไปไม่ค่อยจะเหมือนเดิมแล้ว
หลังจากนั้นครู่หนึ่งสวี่ชิงก็สูดลมหายใจลึก โค้งคารวะอีกครั้ง
“ศิษย์ของลาไปก่อน”
สวี่ชิงพูดพลางเดินออกไปข้างนอก จวบจนเมื่อใกล้จะออกไปจากบริเวณเรือนห้องหมายเลขหนึ่ง ข้างหลังเขาก็มีเสียงเกียจคร้านแฝงด้วยเสน่ห์เย้ายวนของจื่อเสวียนดังมา
“ผ่านไปอีกช่วงหนึ่ง เจ้าไปพบสหายสนิทพวกนั้นของข้าที่อยู่ในเมืองหลวงเขตปกครองสักหน่อย นี่เป็นเงื่อนไขที่สองที่เจ้ารับปากข้านะ”
เสียงของจื่อเสวียนในความออดอ้อนแฝงด้วยความเย้ายวน ในความอ่อนโยนแฝงด้วยความทรงเสน่ห์ เสียงไพเราะจับจิต ทั้งยังอ่อนโยนอ่อนหวาน
มีพลังอันน่าอัศจรรย์ ประทับจับจิต แปรเปลี่ยนเป็นวารีแห่งจิตวิญญาณ อุณหภูมิค่อยๆ สูงขึ้น