ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 415 เหยาอวิ๋นฮุ่ย คิดถึงข้อดีของเขาให้มาก
บทที่ 415 เหยาอวิ๋นฮุ่ย คิดถึงข้อดีของเขาให้มาก
ดวงอาทิตย์พ้นขอบฟ้า ลอยขึ้นสู่กลางนภา แสงอาทิตย์สาดสู่พื้นโลก ทุกที่ที่พาดผ่าน ความมืดมิดทุกอย่างล้วนสลายไป ประกายแสงสาดส่องทั่วทุกทิศ
ถนนในเมืองหลวงเขตปกครองก็คึกคักขึ้นมา
สวี่ชิงเดินอยู่บนถนนที่ไปทำงาน เดินไปข้างหน้าไปด้วยพลางสัมผัสวังสวรรค์วังที่ห้าในกายไปด้วย
ภาพสัญลักษณ์เคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิบนร่างยังคงอยู่ การเพิ่มของกำลังรบก็ไม่ได้หายไปเพราะวิหคทองผสานไปในวังสวรรค์วังที่ห้า
เคล็ดวิชาระดับจักรพรรดินี้ด้วยตัวมันเองก็มีพลังหนึ่งวังอยู่แล้ว
แต่พลังเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด วังสวรรค์วังที่ห้าก็เช่นกัน
กระทั่งพูดได้ว่า เขาเจอคนที่มีวังสวรรค์วังที่ห้าเหมือนกัน ภายใต้สถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายไม่ไปดูเคล็ดวิชาหรือเศษเสี้ยวอาวุธเวทใดๆ ดูจากพื้นฐาน เช่นนั้นต่อให้เป็นอัจฉริยะโดดเด่นเลิศล้ำที่สุดของหมื่นเผ่า สวี่ชิงเปรียบเทียบกับพวกเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเลย
หากเปรียบเทียบพื้นฐานกับต่ำกว่าอัจฉริยะโดดเด่นลงมา วังสวรรค์ทั้งห้าของสวี่ชิงล้วนเหนือกว่าอีกฝ่ายอย่างมหาศาล
เพราะวังสวรรค์ของเขาทุกวังล้วนทรงพลังน่าครั่นคร้าม ไม่พูดว่าเลิศล้ำไร้เทียมทานก็ไม่ด้อยไปกว่านั้นเท่าไรแล้ว
วังแห่งชีวิตที่แปรเปลี่ยนมาจากตะเกียงแห่งชีวิตสองดวง วังที่ก่อขึ้นจากลูกกลอนพิษต้องห้าม วังสวรรค์พระจันทร์ม่วง และยังมีวังจากราชรถวิหคทองในตอนนี้อีก
นี่ก็คือพลังรากฐานที่สร้างขึ้นตลอดเส้นทางที่เดินมาจนถึงในตอนนี้
ทุกวังล้วนแต่เป็นการที่เขาทุ่มสุดชีวิตถึงจะได้มา
และความแข็งแกร่งของคนคนหนึ่งน้อยนักที่จู่ๆ จะเกิดขึ้นมา ส่วนใหญ่ล้วนแต่มาจากการสั่งสม สะสมมาโดยตลอด
อย่างสวี่ชิงก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
เขาจึงสามารถสู้ข้ามวังได้
ตอนนี้ท่ามกลางความรู้สึกเช่นนี้ สวี่ชิงอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก ในตอนที่ผ่านร้านอาหารเช้าแห่งหนึ่ง กลิ่นที่คล้ายกันนี้ทำให้เขาคิดถึงปาท่องโก๋ที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิต
“ไม่รู้ว่าเมื่อใดจึงจะได้กลับไป”
สวี่ชิงพึมพำในใจ มองไปทางมณฑลรับเสด็จราชัน เขาคิดถึงนายท่านเจ็ดและบรรพจารย์เสี่ยเลี่ยนจื่อขึ้นมานิดๆ แล้ว และยังมีร้านอาหารเช้าที่เดินทางจากสำนักเจ็ดเนตรโลหิตมายังพันธมิตรแปดสำนักร้านนั้นด้วย
สวี่ชิงดึงสายตากลับมา เดินไปทางร้านอาหารเช้าของที่นี่ นั่งลงสั่งมาหนึ่งชาม หลังจากเข้าปาก ใบหน้าของเขาก็ฉายความพึงพอใจออกมา แม้รสชาติจะสู้ร้านในความทรงจำร้านนั้นไม่ได้ แต่ก็พอใช้ได้อยู่
และในตอนที่เขานั่งกินอาหารเช้าอยู่ตรงนี้ เด็กชายที่นั่งยองๆ ห่างออกไปไม่ไกลกำลังมองสวี่ชิงตาละห้อย
คล้ายว่ารู้สึกเบื่อมาก เขามองซ้ายมองขวา มองถนนที่อึกทึกครึกครื้น มองไปๆ จู่ๆ ดวงตาของเขาก็พลันจ้องเพ่งไปในหอชั้นสองที่ห่างออกไปไม่ไกลแห่งหนึ่ง
ที่หน้าต่างของหอ ก่อนหน้านี้เหมือนว่าจะมีเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ใช้สายตาเคียดแค้นมองมาทางทิศที่สวี่ชิงอยู่
เด็กชายตัวน้อยสงสัยใคร่รู้ ร่างเพียงไหววูบก็หายไป
ในยามที่ปรากฏตัวขึ้นก็มาอยู่ในหอแล้ว เขาเห็นหญิงสาวหน้าตางดงามคนหนึ่งกำลังตำหนิดุด่าชายหนุ่มคนหนึ่ง
“ขยะไร้ประโยชน์ สวี่ชิงนั่นไม่ใช่แค่เป็นอาลักษณ์เท่านั้น แต่ยิ่งได้เป็นพลทหารของกรมราชทัณฑ์ แต่เจ้ากลับได้แค่ตำแหน่งบุ๋น จัดเรียงเอกสาร!
“เจ้ายังก้มหน้ารับมันอย่างสงบนิ่ง ความหยิ่งทะนงของเจ้าเล่า เกียรติศักดิ์ศรีของเจ้าในฐานะที่เป็นบุคคลอันดับหนึ่งของยุคนี้แห่งมณฑลรับเสด็จราชันเล่า ไยเจ้าถึงไม่ไปหาปรมาจารย์ของเจ้า!”
คนที่ถูกตำหนิคือจางซืออวิ้น
และผู้หญิงที่อยู่ในครรลองสายตาของเด็กชายตัวน้อย ย่อมเป็นมารดาของจางซืออวิ้น เหยาอวิ๋นฮุ่ย
เพราะฐานะของตนเดินทางไปวังครองกระบี่เป็นประเด็นอ่อนไหวเกินไป อีกทั้งคำพูดบางอย่างก็ไม่อาจพูดในแผ่นหยกได้ ดังนั้นนางจึงเชิญปรมาจารย์ของจางซืออวิ้นมาพบกันที่นี่ แต่ระหว่างทางก็ได้รับสื่อเสียงของตระกูลตนเอง บอกให้นางรู้ถึงคำเตือนของเจ้าวังครองกระบี่
และตระกูลก็ได้เตือนนางอย่างจริงจังว่าอย่าได้หาเรื่องวังครองกระบี่
นี่ทำให้ในใจของเหยาอวิ๋นฮุ่ยอัดอั้นนัก เมื่อครู่ก็เห็นสวี่ชิงอีก ทำให้นางยิ่งชิงชัง ดังนั้นเมื่อมองลูกชายของตัวเองเกิดความโมโห
จางซืออวิ้นก้มหน้า ในใจยิ่งเกลียดเคียดแค้นสวี่ชิง ทุกครั้งที่มารดาเอาสวี่ชิงมาเปรียบกับเขา ก็ทำให้โทสะเคืองแค้นในใจของเขายิ่งรุนแรง
และความจริงเขาก็ได้ไปหาปรมาจารย์ของเขามาแล้ว แต่สายตาที่อีกฝ่ายมองเขาแปลกมาก เขาไม่รู้ว่าทำไม ตอนนี้เผชิญหน้ากับเพลิงโทสะของมารดาเขาก็ไม่กล้าอธิบาย ทำได้แค่ยอมรับเงียบๆ
นอกจากนั้นแล้ว ความจริงเขารู้สึกว่างานจัดเรียงเอกสารของตัวเองก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์ไปเสียทั้งหมด อย่างน้อยๆ เดือนที่ผ่านมานี้ เขาก็หาจุดที่คนอื่นทำผิดพลาดบันทึกผิดได้หลายที่ ทั้งยังได้รับคำชมจากในกรม
แต่เขารู้ ตัวเองพูดไม่ได้
‘ความจริงแล้ว ที่มณฑลรับเสด็จราชันดีกว่าเล็กน้อย’ จางซืออวิ้นถอนหายใจในใจ
ส่วนมารดาของเขาด่าไปๆ จู่ๆ ก็หยิบแผ่นหยกถ่ายทอดเสียงออกมา ไม่นานนักสีหน้าก็เปลี่ยนมาเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม สุดท้ายก็บีบแผ่นหยกดังกร๊อบแหลกละเอียด
“มีธุระยุ่งหรือ ทั้งๆ ที่เมื่อไม่กี่วันก่อนก็นัดกันเอาไว้แล้ว แต่วันนี้กลับบ่ายเบี่ยง นี่คือรู้คำสั่งที่เจ้าวังครองกระบี่สั่งลงมาอย่างนั้นหรือ!
“คนของสำนักเซียนล้ำบารมี แต่ละคนปอดแหกกันทั้งนั้น โง่เง่าที่สุด!” สีหน้าของเหยาอวิ๋นฮุ่ยย่ำแย่ สบถก่นด่าออกมา
จางซืออวิ้นลอบถอนหายใจ เอ่ยเสียงเบา
“ท่านแม่…”
“ไสหัวไป!” เหยาอวิ๋นฮุ่ยส่งเสียงเย็นชา
จางซืออวิ้นเงียบนิ่ง นานถึงจะลุกขึ้นยืน โค้งคารวะมารดา หันหลังจากไป สีหน้ายิ่งฉายความอ้างว้างเดียวดาย ในใจยิ่งเกลียดชังสวี่ชิง
จนเมื่ออยู่บนถนนเดินออกไปไกลมาก ร่างของเขาก็พลันกระตุก ทั้งคนฟ้าดินพลิกตลบ มือยันกำแพงที่อยู่ข้างๆ
ในดวงตาของเขามีเงาพระจันทร์สีแดงกลุ่มหนึ่งกะพริบวาบ ใบหน้าฉายความเหี้ยมเกรียม แต่กลับฉายขึ้นมาแล้วหายลับไป
หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาถึงกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม
“เป็นเคล็ดวิชามีปัญหาอย่างนั้นหรือ เกิดความรู้สึกเวียนหัวแบบนี้เจ็ดครั้งแล้ว” จางซืออวิ้นสีหน้าย่ำแย่ เงียบไปครู่หนึ่งก็เดินจากไปไกลต่อ
ในหอแห่งนั้น เด็กชายตัวน้อยไม่สนใจจางซืออวิ้นที่จากไปไกล
เขายืนอยู่ข้างเหยาอวิ๋นฮุ่ย ความสนใจทั้งหมดอยู่ที่ตัวอีกฝ่าย ประเมินอย่างสงสัยใคร่รู้ ในดวงตาฉายแววครุ่นคิด คล้ายว่ากำลังวิเคราะห์จิตคิดร้ายที่ผู้หญิงคนนี้มีต่อสวี่ชิง
เหยาอวิ๋นฮุ่ยนั่งอยู่ตรงนั้น ความโกรธโมโหทั้งหมดบนใบหน้าตอนนี้หายไปจนหมด กระทั่งว่ายังยกน้ำแกงหวานเม็ดบัวบนโต๊ะขึ้นมากินคำหนึ่ง
กิริยาสง่างามนัก ราวว่าอาการเสียกิริยาเมื่อครู่นี้และคนที่ใส่อารมณ์กับจางซืออวิ้นไม่ใช่นาง
“อวิ้นเอ๋อร์ แม่เข้มงวด ดุเจ้า เพราะอยากกระตุ้นความยึดมั่นและความกล้าหาญของเจ้า หวังว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จเป็นคนมีความสามารถ ตอนนั้นพ่อของเจ้ามีความกล้าไม่พอ ไม่รู้ถึงความทุ่มเทของข้า”
เหยาอวิ๋นฮุ่ยพึมพำในใจ ดวงตาฉายแววเย็นชา
‘สวี่ชิง เจ้าแย่งชิงวาสนาของอวิ้นเอ๋อร์ ทำลายอนาคตของเขา เรื่องนี้ข้าย่อมไม่มีทางปล่อยไปอยู่แล้ว ที่เมืองหลวงเขตปกครองข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้ แต่ขอเพียงเจ้าไปจากที่นี่ ข้ามีวิธีเยอะแยะที่จะทำให้เจ้าเป็นแพะรับบาปเป็นคนผิด และข้าก็จะไม่ฆ่าเจ้า ข้าจะให้อวิ้นเอ๋อร์ได้เห็นจุดจบของเจ้า เกิดความมั่นใจจากการนี้’
รับรู้ถึงความคิดของผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้า ใบหน้าของเด็กชายตัวน้อยฉายแววกลัดกลุ้ม
เขารับปากพี่สาวตัวน้อยเอาไว้ว่าจะปกป้องสวี่ชิง
แต่เขาก็ไม่อยากฆ่าคน ดังนั้นหลังจากที่คิดไปคิดมา เขาก็ตัดสินใจเป่าลมใส่เหยาอวิ๋นฮุ่ย
ลมหายใจนี้กระทบต้องไปที่ใบหน้าของเหยาอวิ๋นฮุ่ย
มือที่ถือช้อนของเหยาอวิ๋นฮุ่ยชะงัก ไม่รู้ว่าทำไมความคิดในหัวถึงได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย คล้ายว่าท่ามกลางความรางเลือนมีความคิดหนึ่งแผ่มาในจิตใจของนาง ให้นางคิดถึงข้อดีของคนอื่น
“สวี่ชิงคนนั้นก็ไม่ได้น่ารังเกียจชิงชังจนถึงขั้นสุด”
เหยาอวิ๋นฮุ่ยพึมพำเสียงเบา พูดจบตัวนางเองก็อึ้งไปเล็กน้อย มองรอบๆ อย่างสงสัย ก่อนจะลุกขึ้น
“ไม่ถูก!” สีหน้าของนางย่ำแย่มาก รีบประสานปางมือสำรวจ แต่ที่นี่ทุกอย่างเป็นปกติ
เห็นผลลัพธ์ไม่ได้ดีมากเท่าใดนัก เด็กชายตัวน้อยที่ยืนอยู่ข้างนางยิ่งกลัดกลุ้มกว่าเดิม จึงถอนหายใจออกมา
เหยาอวิ๋นฮุ่ยร่างสั่นสะท้าน สายตาฉายแววขบคิด หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็เอ่ยพึมพำ
“สวี่ชิงนั่นก็เหมือนว่าจะไม่ได้ทำเกินสมควรขนาดนั้น”
เหยาอวิ๋นฮุ่ยดวงตาเบิกโพลง นางรู้สึกว่าวันนี้ความคิดของตัวเองค่อนข้างน่าเหลือเชื่อ ตอนนี้ก็ไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น ประสานปางมือทันที ขณะเดียวกับที่คุ้มกายตัวเองก็สำรวจจิตและวิญญาณด้วย
ทุกอย่างเป็นปกติ
แต่นางก็ยังขยับตัวไหววูบไปจากที่นี่ ในตอนที่ปรากฏตัวขึ้นก็มาอยู่ในตรอกที่ไกลๆ แล้ว เดินไปข้างหน้าด้วย นึกย้อนความคิดก่อนหน้านี้ไปด้วย
“แม้สวี่ชิงคนนั้นจะไม่ได้ชวนให้น่าชิงชังขนาดนั้น แต่ก็ต้องลงโทษเขาบ้างสักหน่อย”
ในเสี้ยวพริบตาที่ความคิดนี้ผุดขึ้น เด็กชายตัวน้อยที่ติดตามอยู่ข้างกายนางก็คล้ายว่าโมโหเล็กน้อยแล้ว ครั้งนี้จึงเป่าลมออกมาเก้าครั้งติดๆ
เหยาอวิ๋นฮุ่ยสั่นสะท้านรุนแรงไปทั้งตัว ลมหายใจถี่กระชั้น ความเกลียดชังในใจที่มีต่อสวี่ชิงลดลงอย่างรวดเร็ว กระทั่งว่ายังเกิดความรู้สึกดีๆ ด้วยขึ้นมาอีกเล็กน้อย
หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็พึมพำขึ้นมา
“สวี่ชิงก็มีด้านที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมเหมือนกัน วิธีการของอวิ๋นเอ๋อร์ก็มีจุดที่ทำไม่เหมาะ…”
เห็นเป็นเช่นนี้ เด็กชายตัวน้อยก็ตบมืออย่างพอใจ เขารู้สึกว่าตัวเองสร้างคุณงามความชอบแล้ว จึงจากไปอย่างเบิกบาน
สวี่ชิงตอนนี้กินอาหารเช้าเสร็จแล้ว มาถึงยังกรมราชทัณฑ์ เดินไปตามบันไดแต่ละขั้นๆ มาถึงชั้นที่ห้าสิบเจ็ด ก้าวเข้าไปในเขตติงหนึ่งสามสอง
ความมืดมิดในนั้นในเสี้ยวพริบตาที่เขาย่างก้าวเข้ามาก็สว่างขึ้นเล็กน้อย นอกจากนี้แล้วทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
อสูรเมฆาก็ยังคงหันหลังให้เขาเช่นเดิม ผู้หญิงเผ่ามนุษย์ก็ยังคงกล่อมตุ๊กตาฟางให้นอน โม่ก็ยังคงหมุนเช่นเดิม
ส่วนศีรษะนั้นตอนนี้กลับทำท่าเหมือนหมดอาลัยตายอยาก พูดประโยคเดิมที่พูดซ้ำทุกวัน
“อย่างเหยียบข้า ข้าไม่อยากถูกเหยียบ…”
สวี่ชิงเดินไปบนโถงทางเดิน ตรวจสอบนักโทษทีละคนๆ หลังจากตรวจนักโทษสิบสามคนข้างหน้าหมดแล้ว ก็มาถึงห้องขังชายชราเผ่าจิตรกรรมห้องนั้น
ชายชราโค้งคารวะสวี่ชิงอย่างเคารพนอบน้อม
“อรุณสวัสดิ์ขอรับ ใต้เท้าผู้ดูแล”
สวี่ชิงใบหน้าไร้อารมณ์ มองเขาอย่างเย็นชาผาดหนึ่ง หันหลังจากไป นั่งขัดสมาธิลงในที่ที่นั่งสมาธิเป็นประจำ เจ้าเงากับบรรพจารย์สำนักวัชระต่างพุ่งออกมา เริ่มความหฤหรรษ์ของวัน
เงาร่างของเด็กชายตัวน้อยก็ปรากฏออกมาเช่นกัน นั่งลงข้างๆ ให้สวี่ชิงมองได้เห็น
ในดวงตาของเขาฉายความจนปัญญา เขารู้ว่าอีกไม่นาน สวี่ชิงก็น่าจะรู้ตัว และตื่นขึ้น
ความจริงก็เป็นเช่นนั้น จากการนั่งสมาธิของสวี่ชิง เขามองทุกอย่างรอบๆ ในใจค่อยๆ เกิดความสงสัย
“ข้าเหมือนลืมเรื่องอะไรบางอย่าง ที่นี่ทำให้ข้ารู้สึกว่าเงียบสงบเกินไป…
“ทำไมข้ารู้สึกเลาๆ ว่าที่นี่น่าจะเป็นสีแดงถึงจะถูก
“เจ้าวังเหมือนจะพูดอะไรกับข้า แล้วก็เด็กชายตัวน้อยทำไมมักจะทำสีหน้าจนปัญญา ทำไมศีรษะนั้นถึงพูดว่าถูกเยียบตายซ้ำๆ
“ความจำของข้าไม่มีทางจู่ๆ ก็เปลี่ยนมาแย่ มันเริ่มจากที่เป็นคนดูแลของที่นี่…
“หรือข้าจะได้รับอิทธิพลแล้ว” สวี่ชิงเปิดถุงเก็บของ ค้นๆ อยู่ครู่หนึ่ง ตรวจสอบข้าวของทุกอย่างอย่างละเอียด ทุกอย่างเป็นปกติ
เขาขมวดคิ้ว ครู่หนึ่งก็เงยหน้ามองไปทางห้องขัง สีหน้าค่อยๆ ย่ำแย่ขึ้นมา จู่ๆ เขาก็มีความรู้สึกรุนแรงอย่างหนึ่ง คล้ายว่าทุกอย่างที่เห็นอยู่ข้างหน้ามีผ้าโปร่งบางชั้นหนึ่งปกคลุมอยู่ข้างหน้าตัวเอง
สายตาของสวี่ชิงยิ่งเย็นชา ลูกกลอนพิษต้องห้ามในกายพลันแผ่ออกมา พลังวังสวรรค์พระจันทร์สีม่วงปะทุขึ้นในเวลาเดียวกัน เสี้ยวพริบตาต่อมากลิ่นอายของเขาก็เปลี่ยนแปลงไป ยกระดับพลัง
ในขณะเดียวกันนี้ ในห้องขังมีเสียงโหยหวนครวญคร่ำดังลอยมา เป็นเสียงของศีรษะนั้น
“ตื่นอีกแล้วๆ ขอร้องล่ะอย่าเหยียบข้านะ เปลี่ยนวิธีไม่ได้หรือ!”
ชายชราเผ่าจิตรกรรมถอนหายใจ หลับตาเตรียมถูกเผาตาย
สวี่ชิงลุกขึ้นด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง เดินไป
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ที่นี่ก็เงียบสงบลง หลังจากที่นอกจากนิ้วเทพเจ้าแล้วทุกอย่างล้วนถูกเผาไปจนหมดสิ้น สวี่ชิงมองนิ้วนั้น เขาสัมผัสถึงระลอกคลื่นพลังน่ากลัวที่แผ่ซ่านออกมาจากในนั้น
เขารู้ว่าตัวเองสัมผัสไม่ได้ ความต่างชั้นกันอย่างมหาศาลของทั้งสองฝ่ายจะทำให้ในเสี้ยวพริบตาที่เขาสัมผัสนิ้วจะตัวระเบิดตายทันที
เขารับรู้ถึงความต่างชั้นนี้ดี
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง สวี่ชิงก็หยิบแผ่นไม้ไผ่ออกมา สลักทุกอย่างลงไป เดินไปถึงประตูคุกด้วยทั่วทั้งร่างที่เย็นเยียบ ไม่ได้หันหลังกลับมา ยืนตรงนั้นอยู่นาน เอ่ยขึ้นอย่างสงบนิ่ง
“ข้าตื่นรู้ทุกวันใช่หรือไม่ ทุกวันข้าล้วนรู้ว่านักโทษที่คุมขังอยู่ที่นี่ไม่ใช่สิบสี่คนแต่เป็นหกคนใช่หรือไม่ ที่นี่นอกจากนิ้วเทพเจ้านั่นแล้ว นักโทษคนอื่นๆ อีกห้าคนที่อยู่ที่นี่ล้วนไม่ตาย ไม่ว่าข้าจะฆ่าไปกี่ครั้งก็ตามใช่หรือไม่”
เด็กน้อยปรากฏตัวขึ้นอย่างจนปัญญา พยักหน้า
“ข้าได้สลักตัวอักษรหรือใช้วิธีอื่นๆ เตือนตัวเองที่นี่ แต่เมื่อข้าออกไป พวกมันก็จะถูกพลังของเทพเจ้าลบเลือนไป ต่อให้ข้าใช้ของภายนอกบันทึกที่นี่ แต่ในเสี้ยวพริบตาที่นำออกไปก็จะหายไปใช่หรือไม่”
เด็กชายตัวน้อยพยักหน้าต่อ
“ข้าเปิดประตู ก็จะลืมทุกอย่างใช่หรือไม่ แล้วก็เจ้าวังรู้หรือไม่
“นี่คือวาสนาหรือเป็นการทดสอบ”
เด็กหนุ่มพยักหน้าเช่นเดิม
สวี่ชิงเงียบนิ่ง เขารู้ เจ้าเงากับบรรพจารย์สำนักวัชระก็จำที่นี่ไม่ได้เช่นกัน
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง จู่ๆ เขาก็หัวเราะขึ้นมา
“เช่นนั้นก็ดำเนินต่อไปเถอะ ข้าคิดว่าหากวันหนึ่งที่ข้าผลักประตูออกไป ไม่ลืมทุกอย่างนี้ก็จะเป็นชั่วขณะที่ข้าได้รับวาสนานี้อย่างแท้จริง”
เด็กชายตัวน้อยพยักหน้าอย่างจนปัญญา
“ประโยคนี้ข้าก็พูดมาหลายรอบแล้วกระมัง”
สวี่ชิงหัวเราะ ก้มหน้ามองแผ่นไม้ไผ่ที่บันทึกเรื่องทุกอย่างที่นี่ในมือ ในดวงฉายประกายแสงกลุ่มหนึ่งฉายกะพริบวาบขึ้น พึมพำในใจ
“ความจริงยังมีอีกวิธีหนึ่ง นั่นคือข้าปลูกผลกรรมที่นี่ รอวันเวลาที่มันสุกงอม…”
สวี่ชิงนิ่งไปเล็กน้อย บีบแผ่นไม้ไผ่หัก โยนไปบนพื้น
“รบกวนเจ้าเรื่องหนึ่ง ช่วยข้ารักษาเศษแผ่นไม้ไผ่นี้ที วางมันไว้ในที่ที่เศษแผ่นไม้ไผ่ชิ้นอื่นๆ อยู่ก็แล้วกัน ท่าทางข้าก็น่าจะสลักหลายอันแล้วเหมือนกัน”
เด็กชายตัวน้อยพยักหน้า ยกมือทั้งสองขึ้นคล้ายว่ากำลังนับ จะบอกสวี่ชิงว่ามีกี่อัน
สวี่ชิงหัวเราะ สูดลมหายใจลึก ผลักประตูคุกเดินออกไป
บนบันไดกรมราชทัณฑ์ สวี่ชิงเดินไปข้างหน้าพลางขบคิดเรื่องแต้มกองทัพในใจ
“นักโทษสิบสี่คนในเขตติงหนึ่งสามสองไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทุกตนล้วนเหมือนเดิม เช่นนั้นความทุ่มเทของข้ายิ่งต้องวางไว้บนแต้มกองทัพให้มากแล้ว”
เวลาหลายวันก็ผ่านไปเช่นนี้เอง
การทำงานและพักผ่อนของสวี่ชิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตอนเช้าไปดูแลเขตติงหนึ่งสามสองเหมือนเช่นเคย ตอนกลางคืนเขาเริ่มทำภารกิจแต้มกองทัพต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น จับกุมนักโทษ ค้นหา ช่วยกรมอื่นๆ เยอะแยะมากมาย
จวบจนวันที่สามที่ข่งเสียงหลงออกจากคุก สวี่ชิงที่ออกเวรเดินออกจากกรมราชทัณฑ์ก็ได้รับข้อความถ่ายทอดเสียงจากเขา
“สวี่ชิง มีงานใหญ่ แต้มกองทัพเยอะมาก ทำหรือไม่”