ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 422 การเปลี่ยนแปลงของเคล็ดวิชาพรางมารยา
บทที่ 422 การเปลี่ยนแปลงของเคล็ดวิชาพรางมารยา
สวี่ชิงกลับมาก็เปิดแผ่นหยกสื่อเสียงของตัวเองทันที สื่อเสียงรายงานจอมเซียนจื่อเสวียน
นี่เป็นเงื่อนไขที่จื่อเสวียนบอกกับเขาและเฉินเอ้อร์หนิวในระหว่างทางจากพันธมิตรแปดสำนักมาเมืองหลวงเขตปกครอง
อย่างไรเสียตัวอยู่ข้างนอก มีอันตรายเกิดขึ้นได้ทุกเวลา และภารกิจที่แท้จริงของจื่อเสวียนที่มาดูแลสำนักย่อยก็คือเพิ่มความคุ้มครองให้กับผู้ครองกระบี่ของพันธมิตรแปดสำนักอีกชั้นหนึ่ง
ตอนนี้สื่อเสียงเสร็จ สวี่ชิงก็กลับมายังหอกระบี่ของตัวเอง ไม่ได้ก้าวเข้าไปในทันที แต่สำรวจรอบๆ ก่อน มั่นใจว่าสิ่งที่จัดวางเอาไว้ก่อนไปของตัวเองไม่มีร่องรอยถูกแตะ ถึงได้เดินเข้าไป
นี่คือความเคยชินของเขา เป็นสัญชาตญาณที่สลักลึกลงในกระดูกไปแล้ว
ในหอกระบี่ สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก นึกย้อนเหตุการณ์ทั้งหมดของภารกิจครั้งนี้ วิเคราะห์ว่าตัวเองมีจุดใดที่ทำไม่เหมาะสมหรือไม่ จวบจนข้างนอกราตรีมาเยือน เขาจึงสิ้นสุดการวิเคราะห์ทบทวน
เพียงแต่เงาร่างเด็กหนุ่มที่นอนหายใจรวยรินในค่ายกลในภาพจำคนนั้น สลักลึกอยู่ในความทรงจำของเขา
“บิดาของเขาน่าจะเป็นสายลับตัวจริงคนนั้น…” สวี่ชิงพึมพำ
เขาไม่รู้ว่าสายลับลึกลับคนนั้นใช้เด็กหนุ่มเป็นหมากที่ถูกทิ้ง เป็นหนึ่งในหมอกลวงอำพรางร่องรอยของตัวเองหรือไม่
หรือตัวตนอย่างเด็กหนุ่มแบบนี้จะมีอีกมากหรือไม่
หรือสายลับเลือกให้ตัวเองเป็นเป้า เพื่อปกป้องรายงานข่าวที่จะส่งกลับไปของจริง ซ่อนมันไว้ที่คนอื่น
ทุกอย่างล้วนไม่รู้เลย
สวี่ชิงเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง ส่ายหน้า จากนั้นก็นึกถึงองครักษ์ชุดดำพลังบำเพ็ญแปดวังสวรรค์ที่ตนฆ่าตาย
‘ด้วยกำลังรบของข้าในตอนนี้ หากไม่สนค่าตอบแทนอะไรสามารถสังหารผู้บำเพ็ญระดับแปดวังสวรรค์ได้ แต่ว่าถ้าเป็นเก้าวัง…ก็จะยากแล้ว’ สวี่ชิงครุ่นคิด เขารู้ว่ากำลังรบแปดวังสวรรค์โดยพื้นฐานแล้วเป็นขีดจำกัดสูงสุดของระดับไฟชีวิตสี่ดวงส่วนมาก
แน่นอนในนั้นบางทีอาจจะมีพวกที่เก่งกาจราวปีศาจ แม้จะไม่ได้เปิดช่องเวทหนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดช่อง แต่กลับสามารถควบคุมเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิได้สองวิชา ทั้งยังมีตะเกียงแห่งชีวิต
คนประเภทนี้เป็นไปได้ว่ามีกำลังรบเก้าวังสวรรค์
‘นอกจากนี้ ผู้บำเพ็ญที่ถึงขีดจำกัดสูงสุดของวังสวรรค์เหล่านั้น ส่วนใหญ่แล้วก็จะลองทะลวงขั้นทั้งนั้น จากระดับแก่นลมปราณก้าวสู่ระดับปราณก่อกำเนิด’ ในดวงตาสวี่ชิงฉายแววครุ่นคิด
ระดับปราณก่อกำเนิดไม่ได้ทะลวงขั้นง่ายๆ แบบนั้น ดังนั้นผู้ที่ระดับพลังแก่นลมปราณถึงขีดจำกัดสูงสุดมากมาย ล้วนอยู่ในสภาวะแปรสภาพเป็นระดับปราณก่อกำเนิด ขั้นตอนค่อนข้างลึกลับอัศจรรย์ ดังนั้น โลกภายนอกจึงเรียกผู้บำเพ็ญประเภทนี้ว่าครึ่งก้าวสู่ปราณก่อกำเนิดหรือจำลองปราณ
กำลังรบของจำลองปราณประเภทนี้สวี่ชิงก็มีบทสรุปวิเคราะห์จากภารกิจครั้งนี้
‘เหนือแปดวังสวรรค์กับเก้าวังสวรรค์ เข้าใกล้วังสวรรค์วังที่สิบอย่างมากแล้ว!
‘ข้ายังอ่อนแอเหลือเกิน ต้องเร่งความเร็วในการฝึกฝน นอกจากนี้สำนักมายาจำแลงปีศาจก็ต้องรีบไปให้เร็วที่สุด ไปศึกษาเคล็ดจำแลงปีศาจ’ สวี่ชิงรู้สึกว่าหากตนวิเคราะห์ไม่ผิด เคล็ดจำแลงปีศาจในระดับหนึ่งจะทำให้จักรพรรดิภูตในทะเลความรู้สึกปรากฏออกมาได้
‘ไม่รู้ว่าหลังจากที่จักรพรรดิภูตปรากฏออกมาแล้วจะเพิ่มพลังให้ข้าได้มากน้อยเท่าไร’ สวี่ชิงเกิดความคาดหวังในใจ
‘หวังว่าทุกอย่างจะราบรื่น เช่นนั้นแล้ว บางทีในวังสวรรค์ในภายภาคหน้าของข้าก็เพิ่ม…วังจักรพรรดิภูตขึ้นมาอีกวัง!
‘ขีดจำกัดสูงสุดของข้าคือวังสวรรค์สิบวัง ตอนนี้สำเร็จไปแล้วห้าวังสวรรค์ ห้าวังสวรรค์ที่เหลือ…วังกระบี่นับเป็นหนึ่งวังได้ หากวังจักรพรรดิภูตนี่ได้ล่ะก็ ก็จะเหลืออีกเพียงสามอย่างที่ต้องเลือก”
สวี่ชิงขบคิด
‘ใช่แล้ว ยังมีดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาล’
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก จบสิ้นการวิเคราะห์และขบคิดของตัวเอง
‘เช่นนั้นเรื่องที่ด่วนที่สุดในตอนนี้ของข้าคือแต้มกองทัพ ก่อนหน้านี้วันหยุดข้าลาไปครึ่งเดือน ตอนนี้ยังเหลืออีกเจ็ดวัน กลับไปก่อนก็ไม่มีความหมายอะไร’
ในดวงตาสวี่ชิงฉายแวววาดหวัง ศึกษาเคล็ดจำแลงปีศาจต้องใช้แต้มกองทัพ ไปเขาประกายอรุณต้องใช้แต้มกองทัพ
ทุกอย่างล้วนหนีแต้มกองทัพไม่พ้น
‘แต้มกองทัพของภารกิจครั้งนี้น่าจะไม่น้อย แต่ก็ยังไม่พอ…’ สวี่ชิงเอากระบี่อาญาสิทธิ์ออกมา เริ่มทำการค้นหาภารกิจในนั้น ไม่นานนักก็เจอภารกิจจับกุมในเมืองหลวงเขตปกครอง
เขาตรวจสอบอาการบาดเจ็บของตัวเองเล็กน้อย จากนั้นก็เดินเข้าไปในหอกระบี่เพื่อรับแต้มกองทัพ
เวลาผ่านไปแต่ละวันๆ เช่นนี้เอง
สำหรับเรื่องราวภายหลังภารกิจครั้งนั้น สวี่ชิงไม่ได้ยินใครพูดถึง
เขาไม่รู้ว่าสายลับตัวจริงเป็นใคร และไม่รู้ว่าอีกฝ่ายถูกรับตัวกลับมาสำเร็จหรือไม่
ทุกอย่างตามการสิ้นสุดลงของภารกิจ ก็ได้ปิดฉากลง
เจ็ดวันหลังจากนั้น สวี่ชิงที่จมอยู่กับการหาแต้มกองทัพก็ได้รับการเร่งจากกรมราชทัณฑ์ วันหยุดของเขาสิ้นสุดแล้ว
เขาจึงทำได้แค่หยุดการหาแต้มกองทัพในตอนกลางวันไว้เพียงเท่านี้ ไปเข้าเวรที่กรมราชทัณฑ์ในเช้าตรู่วันนี้
เดินบนบันไดกรมราชทัณฑ์ สวี่ชิงสัมผัสความเย็นยะเยือกอันคุ้นเคย ทักทายกับพัศดีเขตติงสามสี่คนนั้นที่ได้เจอ ในใจยังคงขบคิดเรื่องแต้มกองทัพ
จนมาถึงประตูคุกเขตติงหนึ่งสามสอง เขาผลักประตูเดินเข้าไป
ไม่ได้มาครึ่งเดือน นักโทษที่นี่ไม่ต่างอะไรกับก่อนหน้านี้เลย
อสูรเมฆายังคงกินรยางค์ ผู้หญิงเผ่ามนุษย์ยังคงกล่อมตุ๊กตาฟางเข้านอน ชายชราเผ่าจิตรกรรมในดวงตาแฝงด้วยความสนิทสนมพลางเอ่ยอรุณสวัสดิ์ โม่ยังคงหมุนเช่นเดิม มีเพียงศีรษะทางนั้น ที่กรอกตามองบน ถอนหายใจออกมา
“เพิ่งจะสบายไปได้ครึ่งเดือน ทำไมเจ้ากลับมาอีกแล้วเล่า”
สวี่ชิงเหมือนกับเมื่อก่อน หลังจากตรวจสอบนักโทษแต่ละคนๆ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์แล้ว ก็กลับมายังบริเวณที่นั่งสมาธิมาโดยตลอด เพิ่งจะนั่งลงเขาก็พลันขมวดคิ้ว มองไปรอบๆ
วันนี้เขาไม่เห็นเด็กชายตัวน้อย
สถานการณ์ค่อนข้างผิดปกติ ในความทรงจำของเขา ทุกครั้งที่ตนมา เด็กชายตัวน้อยจะปรากฏตัวเป็นคนแรก
“โชคชะตาเล่า” สวี่ชิงเงยหน้ามองไปทางห้องขังที่ชายชราเผ่าจิตรกรรมอยู่
ชายชราเผ่าจิตรกรรมได้ยินก็โค้งคารวะ เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“โชคชะตา…เหมือนจะเกิดปัญหาขึ้นเล็กน้อย ไม่เห็นมาหลายวันแล้วขอรับ”
สวี่ชิงขมวดคิ้ว ประสาทสัมผัสแผ่ออกไปในห้องขัง ลุกขึ้นค้นหาในห้องขังทุกห้อง
สุดท้ายเขาก็หยุดฝีเท้าลงที่มุมมุมหนึ่ง มองเห็นเด็กชายตัวน้อยที่นอนหายใจรวยรินอยู่
บนร่างของเด็กชายตัวน้อยสกปรกมาก มีคราบไคลให้เห็นบ้าง ใบหน้าเล็กๆ มอมแมม ร่างในขณะที่ร่างเลือนก็ฉายความอ่อนแรงที่ไม่เคยมีมาก่อน
สภาพของเขาไม่ดีเอามากๆ คล้ายว่าเจ็บปวดมาก เจ็บปวดจนร่างสั่นสะท้านอยู่ตลอด
สังเกตเห็นสวี่ชิงเดินมา เขาฝืนเงยหน้าขึ้น สีหน้าอ่อนล้าเป็นอย่างยิ่ง ตาแทบจะลืมไม่ขึ้น แต่ก็ยังยิ้มให้สวี่ชิง พยายามอยากจะลุกมาติดตาม ทำการปกป้องต่อไป
แต่เขาทำไม่ได้แล้ว สุดท้ายก็ทำได้เพียงมองสวี่ชิงอย่างไร้เรี่ยวแรง อ้าปากคล้ายว่าจะพูดอะไร แต่กลับพูดไม่ออก
เทียบกับความร่าเริงที่ผ่านมา เด็กชายตัวน้อยในตอนนี้ทำให้เกิดความรู้สึกสงสารอย่างรุนแรงไปตามสัญชาตญาณ
สวี่ชิงหวั่นไหว ย่อตัวลง สำรวจเด็กชายตัวน้อยอย่างละเอียด
เขาค่อยๆ มองออกว่าสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดให้อีกฝ่ายคือไอสีดำในกายกลุ่มหนึ่งที่กำลังวนล้อม
ไอดำนี้ส่งผลกระทบต่อเด็กชายตัวน้อย และกำลังเปลี่ยนแปลงเขา
และในตอนนี้เจ้าเงากับบรรพจารย์สำนักวัชระก็ปรากฏตัวออกมาเช่นกัน ฝ่ายหน้ามองประเมินเด็กชายตัวน้อยอย่างสงสัยใคร่รู้ ฝ่ายหลังสีหน้าฉายความเคร่งเครียด
“นายท่าน จากนิยายที่ข้าอ่านพวกนั้น ข้าพอจะเดาได้ถึงสภาวะของเขา”
บรรพจารย์สำนักวัชระเอ่ยเสียงต่ำ
สวี่ชิงมองไป
“แปดเปื้อนแล้ว น่าจะเป็นเขาที่ไม่รู้ว่าไปที่ใดมา เจอกับสิ่งไม่สะอาดบางอย่าง”
เด็กน้อยได้ยินก็พยักหน้า
บรรพจารย์สำนักวัชระเห็นตัวเองเดาได้ถูก ก็รู้ว่าถึงเวลาที่ตัวเองจะแสดงความสามารถแล้ว ดังนั้นสีหน้าเคร่งขรึม โค้งคารวะสวี่ชิง
“นายท่าน จากประสบการณ์ของข้า สิ่งอัปมงคลไม่สะอาดทุกอย่าง สายฟ้าล้วนสามารถข่มได้ทั้งนั้น หากนายท่านอนุญาต ข้าน้อยลองใช้อัสนีทัณฑ์สวรรค์ของตัวเอง มาชำระล้างมลทินของเขาได้ขอรับ”
สวี่ชิงครุ่นคิด เขาไม่เข้าใจในโชคชะตา และไม่รู้ว่าจะช่วยบรรเทาให้เด็กชายได้อย่างไร แต่เขานึกถึงเจ้าวัง
“เจ้าวังรู้เรื่องตัวตนของเจ้าหรือไม่” สวี่ชิงเอ่ยเสียงเบา
เด็กชายตัวน้อยพยักหน้า
“เขารู้สภาวะของเจ้าตอนนี้หรือไม่” สวี่ชิงถาม
เด็กชายตัวน้อยยกมืออย่างอ่อนแรงส่งสัญญาณครู่หนึ่ง สวี่ชิงขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจ
เจ้าเงาพลันเอ่ยขึ้น
“เขาเหมือน…บอกว่าเจ้าวังรู้…บรรเทาแล้ว ให้เขา…พักเร็ว…ดี”
เห็นได้ชัดว่าเจ้าเงาในด้านนี้มีประสบการณ์ที่คล้ายๆ แบบนี้ จึงมองออกเลาๆ บ้าง
เด็กชายตัวน้อยพยักหน้า ร่างกายยิ่งไร้แรง ดวงตาค่อยๆ ปิดลงช้าๆ
สวี่ชิงเงียบนิ่ง มองเด็กชายตัวน้อยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความทรมาน เขาอนุญาตให้บรรพจารย์สำนักวัชระลองดู
บรรพจารย์สำนักวัชระได้ยินดังนั้นก็ยกมือทันที ทันใดนั้นที่กลางฝ่ามือของเขาก็มีอัสนีสีแดงปรากฏขึ้น เข้าไปใกล้เด็กชายตัวน้อยอย่างระมัดระวัง แผ่อัสนีทัณฑ์สวรรค์ไปกลุ่มหนึ่ง
จากการผสานเข้าไปของอัสนี เด็กชายสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ไอดำในร่างลดลงไปเล็กน้อยจริงๆ
เห็นว่าได้ผล บรรพจารย์สำนักวัชระเพิ่มปริมาณสายฟ้า ไม่นานนักไอดำในตัวเด็กชายตัวน้อยก็ลดลงเรื่อยๆ และความอ่อนแรงของเขาก็ค่อยๆ หายไป เริ่มฟื้นคืนกลับมา
เพียงแต่วิธีนี้ไม่อาจแก้ไขได้ถึงต้นตอ ในร่างของเด็กชายยังมีเส้นสีดำอีกกลุ่มหนึ่ง ไม่อาจกำจัดไปได้ ยังคงแผ่ออกมามากยิ่งกว่าเดิม
แต่จะอย่างไรก็สามารถบรรเทาความเจ็บปวดของเขาได้ ดังนั้นไม่นานนักเด็กชายก็ลุกขึ้นอย่างเบิกบาน วนรอบสวี่ชิง ใบหน้าฉายรอยยิ้มมีความสุขออกมา
แต่มองไอดำกลุ่มนั้นในกายของเด็กชาย สวี่ชิงรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายๆ แบบนั้น
แต่ในเมื่อเจ้าวังรู้แล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาจัดการได้
ความจริงก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ วันที่สองที่สวี่ชิงมายังเขตติงหนึ่งสามสองอีกครั้ง เด็กชายก็ฟื้นฟูโดยสมบูรณ์แล้ว ไอดำในร่างหายไปจนหมดสิ้น เปลี่ยนมาร่าเริงเหมือนแต่ก่อน
ทุกอย่างฟื้นคืนกลับมาเหมือนเดิม สวี่ชิงก็เริ่มกิจวัตรเข้าเวรตอนเช้าหาแต้มกองทัพตอนกลางคืน
เพียงแต่แม้แต้มกองทัพจะสะสมอยู่เรื่อยๆ แต่ยังห่างจากเป้าหมายที่สวี่ชิงต้องการอีกไม่น้อยเลย จวบจนกลางคืนวันนี้ เขาที่กำลังจะออกไปข้างนอกหาแต้มกองทัพ ก็ได้รับสื่อเสียงจากข่งเสียงหลง
“สวี่ชิง เจ้าอยู่หอกระบี่หรือไม่ หากอยู่ข้าจะไปหาเจ้า แต้มกองทัพของภารกิจครั้งที่แล้วจ่ายลงมาแล้ว”
สวี่ชิงลิงโลด
ไม่นานนัก ที่ประตูหอกระบี่เขาก็เห็นข่งเสียงหลงที่เหินมาจากวังครองกระบี่
เห็นสวี่ชิง ข่งเสียงหลงหัวเราะฮ่าๆ แล้วโยนถุงเก็บของมาให้สวี่ชิงใบหนึ่ง
“ข้างในมีของสองอย่าง หนึ่งคือหลักฐานยืนยันจำนวนแต้มกองทัพ ข้าช่วยเจ้าบันทึกยืนยันเรียบร้อยแล้ว เจ้าแค่ผสานมันเข้าไปในกระบี่อาญาสิทธิ์ของตัวเอง ก็จะเพิ่มแต้มกองทัพตามจำนวนที่ได้
“อีกอย่างคือของกำนัลที่ข้ารับปากว่าจะมอบให้เจ้า แล้วก็ช่วงนี้ข้าวิเคราะห์การลงมือของเจ้า ข้ารู้สึกว่าหากมือพรางมารยาของเจ้าดูดซับไอพลังประหลาดในนั้น เช่นนั้นพลังก็จะยิ่งมหาศาล ส่วนพรางมารยาเดิมก็เป็นต่างเผ่าอยู่แล้ว ดังนั้นหากทำเช่นนี้ เจ้าต้องทำให้ไอพลังประหลาดให้สมดุล นี่คือคำแนะนำของข้า เดี๋ยวเจ้าลองดูก็ได้
“ไม่คุยแล้ว ข้ามีเรื่องต้องไปกรมราชทัณฑ์สักหน่อย เฮ้อ เจ้าวังเรียกพบ ไม่ไปก็ไม่ได้” ข่งเสียงหลงถอนหายใจ หลังจากประสานหมัดให้สวี่ชิง ก็ไม่รอว่าสวี่ชิงพูดอะไร จากไปอย่างเร่งร้อน
มองเงาแผ่นหลังของข่งเสียงหลง สวี่ชิงในใจรู้สึกขอบคุณ ประสานหมัดคาระวะ
หลังจากกลับมายังหอกระบี่ เขาเปิดถุงเก็บของ ในนั้นมีของสองอย่างจริงๆ นอกจากแผ่นหยกยืนยันจำนวนแต้มกองทัพแล้ว ยังมีก้อนน้ำแข็งสีฟ้าก้อนหนึ่ง
น้ำแข็งก้อนนี้เกิดจากวิชาเวท ในนั้นผนึกหัวใจเอาไว้ดวงหนึ่ง!
หัวใจดวงนั้นกึ่งโปร่งแสง หากไม่สังเกตให้ละเอียดก็ยากจะพบ อีกทั้งยังเป็นวัตถุที่ยังมีพลังชีพ ยังมีพลังชีวิตอีกกลุ่มหนึ่ง
สวี่ชิงดวงตาจ้องเพ่ง เขาจำได้ว่านี่คือหัวใจของเผ่าพรางมารยา
สำหรับเผ่าพรางมารยา สวี่ชิงคุ้นเคยดี ตอนนั้นเขาเคยจับเป็นตัวหนึ่ง สุดท้ายเขาก็หลอมมัน
ความจริงแล้วก็เพราะเรื่องนี้ ทำให้นายท่านเจ็ดได้แนวคิดของเคล็ดพรางมารยา
และการหลอมนี้ก็ทำให้ตัวสวี่ชิงมีพื้นฐานการฝึกฝนเคล็ดวิชาพรางมารยา
จากนั้นจากนิ้วของหวงอีคุนสำนักโลกันต์ทมิฬ แนวความคิดของนายท่านเจ็ดมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดขึ้นจริง รวมกับดวงใจประหลาดในร่างของซือหม่าหรูสำนักล่าสิ่งประหลาด และเคล็ดวิชาคล้ายๆ ชิงมรรคาจากสำนักนับไม่ถ้วน สุดท้ายก็เกิดเป็นเคล็ดวิชาพรางมารยาชิงมรรคา
ดังนั้นจากทฤษฎีแล้ว หัวใจของเผ่าพรางมารยาสามารถทำให้เคล็ดวิชาพรางมารยาชิงมรรคาแข็งแกร่งขึ้นได้
เพียงแต่จำนวนของเผ่าพรางมารยามีน้อยยิ่งนัก อีกทั้งพลังบำเพ็ญของสวี่ชิงตอนนี้ เผ่าพรางมารยาระดับสร้างฐานไม่มีความหมายเท่าใดนัก เขาต้องการหัวใจของเผ่าพรางมารยาระดับแก่นลมปราณ
หัวใจที่ถูกผนึกอยู่ในในน้ำแข็งสีฟ้าก็คือเผ่าพรางมารยาระดับปราณก่อกำเนิด
สวี่ชิงเงยหน้า มองไปทางกรมราชทัณฑ์ที่ข่งเสียงหลงมุ่งหน้าไป
ของกำนัลนี้สำหรับเขาแล้วล้ำค่ามาก
นานหลังจากนั้น สวี่ชิงก็ดึงสายตากลับมา มองน้ำแข็งเย็นเยียบ ดวงตาฉายแววมุ่งมั่น เคล็ดวิชาพรางมารยาชิงมรรคาโคจรในร่างเร็วจี๋ แขนเปลี่ยนมากึ่งโปร่งแสงอย่างรวดเร็ว
ไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น สวี่ชิงยกมือขวากึ่งโปร่งแสงล้วงเข้าไปในน้ำแข็ง
ทะลุผ่านในพริบตา ตรงไปยังหัวใจพรางมารยาในนั้นแล้วคว้า!
ในเสี้ยวพริบตาที่สัมผัส สวี่ชิงร่างสะท้านเฮือก
หัวใจพรางมารยาที่ถูกผนึกในน้ำแข็งสีฟ้าส่งการดิ้นรนอย่างรุนแรงออกมา เหมือนว่ามีเสียงคำรามอย่างโกรธเคืองดังสะท้อนในจิตใจสวี่ชิงรางๆ ฉายความบ้าคลั่ง แต่จากประกายแสงเย็นเยือกในดวงตาสวี่ชิงกะพริบวาบ มือขวาก็คว้าไปที่หัวใจ พลังต่อต้านกลุ่มนี้ก็ถูกเขาฝืนสะกดลงไป
หัวใจพรางมารยาหายไปอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า จวบจนครู่หนึ่งก็หายไปโดยสมบูรณ์ สวี่ชิงหลอมผสานมันไปไว้ในเคล็ดวิชาของตัวเอง
เสี้ยวขณะต่อมา ในสมองสวี่ชิงก็มีเศษเสี้ยวความทรงจำสะเปะสะปะจำนวนมหาศาลผุดขึ้นมา ส่งเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นใจจิตใจเขาราวลมพายุ
นี่คือความทรงจำหลงเหลือที่มาจากเจ้าของหัวใจพรางมารยาดวงนี้
ในนั้นยิ่งแฝงไว้ด้วยอารมณ์บ้าคลั่ง ราวว่าไม่ยอมจำนนที่ถูกกลืนกิน คิดอยากกำจัดทะเลความรู้สึกของสวี่ชิง แต่จากเสียงแค่นจมูกของสวี่ชิง จักรพรรดิภูตในทะเลความรู้สึกก็เปล่งประกายแสงเจิดจ้าออกมา
เสี้ยวขณะต่อมา เศษเสี้ยวความทรงจำเหล่านี้ก็ถูกบดขยี้ไปจนหมด หลังจากสลายหายไป เคล็ดวิชาพรางมารยาชิงมรรคาของสวี่ชิงก็โคจรขึ้นเอง
ไม่ใช่แค่มือขวาที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นกึ่งโปร่งแสง มือซ้ายของเขา…ในเสี้ยวขณะนี้ก็เริ่มเปลี่ยนไปเช่นกัน
จนหลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม สวี่ชิงก็สูดลมหายใจลึก ยกมือทั้งสองข้างขึ้น
แขนทั้งสองข้างของเขากลายเป็นกึ่งโปร่งแสงไปทั้งหมด
เช่นนี้แล้ว วันหน้าในตอนที่เขาสำแดงเคล็ดวิชาพรางมารยาชิงมรรคาก็จะยิ่งคล่องแคล่ว อีกทั้งความเร็วในการดูดซับก็จะยิ่งเร็วขึ้น
มองมือทั้งสองข้าง ใบหน้าสวี่ชิงฉายแววพอใจ คิดถึงเรื่องหลอมรวมไอพลังประหลาดที่ข่งเสียงหลงพูด
“พิษก็น่าจะได้เหมือนกัน” สวี่ชิงพึมพำ
‘แต่ก็ไม่เหมาะ นั่นเท่ากับเป็นการบอกศัตรูว่าข้าเชี่ยวชาญวิถีพิษ อีกทั้งพิษของข้ากระจายไปรอบๆ ได้ผลดียิ่งกว่า…แน่นอน บางครั้งก็สามารถทำเช่นนี้ได้ สามาถเอามาใช้เป็นกลลวง ทำให้สมาธิของคนอยู่ที่มือทั้งสองข้างของข้า และมองข้ามพิษที่ตลบอวลอยู่รอบๆ’
สวี่ชิงกำลังเปลี่ยนแนวความคิด ทันใดนั้นจู่ๆ แผ่นหยกสื่อเสียงก็สั่นขึ้นมา เสียงที่ดังมาเป็นอันดับแรก คือเสียงถอนหายใจยาวๆ
จากนั้นเสียงที่แฝงรอยตัดพ้อของนายกองก็ดังมาหลังจากเสียงถอนหายใจนั้น
“อาชิงน้อย ใจเจ้าเปลี่ยนไปแล้ว”
สวี่ชิงอึ้งตะลึง
“ผู้บำเพ็ญหญิงพวกนั้นเจ้าทอดทิ้งได้ แต่ข้าคือศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า เจ้าจะทำแบบนี้ไม่ได้
“สายสัมพันธ์พี่น้องที่สัญญากันไว้ ชาตินี้พวกเราร่วมเดินทางด้วยกัน แต่สุดท้ายกลับเป็นข้าแบกทุกอย่างเดินต่อไปคนเดียว…”
รอยตัดพ้อของนายกองเหมือนทะลุผ่านแผ่นหยกตลบอวลไปในหอกระบี่ของสวี่ชิง นานไม่สลายไป
“ศิษย์พี่ใหญ่…”
สวี่ชิงลังเลเล็กน้อย กำลังจะสื่อเสียงไป เสียงถอนหายใจยาวๆ ครั้งที่สองของนายกองก็ดังขึ้น
“หากไม่ใช่ว่าข้าอยู่ในกรมบันทึกแต้ม เห็นแต้มกองทัพของอาชิงน้อยจู่ๆ ก็เพิ่มมากขึ้นมาอย่างมหาศาล ข้าไม่มีทางรู้เลย…
“ไม่เป็นไรหรอกศิษย์น้องเล็ก ศิษย์พี่ใหญ่ขออวยพรให้เจ้า หวังว่าเจ้าจะรักกันยืนยาวเป็นร้อยปีกับข่งเสียงหลงทางนั้น…”
สวี่ชิงรู้สึกว่าศิษย์พี่ใหญ่ยิ่งพูดยิ่งเพ้อเจ้อ และปกติแล้วศิษย์พี่ใหญ่ที่มาในแนวนี้ จะต้องมีเรื่องขอร้องอย่างแน่นอน จึงเอ่ยราบเรียบขึ้น
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านขาดหินวิญญาณใช่หรือไม่”
“อาชิงน้อย ในสายตาเจ้าศิษย์พี่ใหญ่เป็นคนเช่นนั้นหรือ!” ในแผ่นหยก นายกองแค่นเสียงขึ้นจมูก
“ก็ได้ศิษย์พี่ใหญ่ ในเมื่อไม่ขาดเช่นนั้นก็ช่างเถิด”
“อะแฮ่ม…อย่าๆๆ ความจริงแล้ว ขาดไม่มากเท่าไร” ในแผ่นหยก นายกองกระแอมออกมาทีหนึ่ง เขาขาดหินวิญญาณจริงๆ นั่นแหละ