ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 427 พบเหล่าสหายสนิท
บทที่ 427 พบเหล่าสหายสนิท
สวี่ชิงเอะใจ
โดยปกติที่เขาเลิกเวรกลับมา เขตติงสิบล้วนครึกครื้นทุกวัน เสียงโต้เถียงของซานเหอจื่อกับหวังเฉินไม่เคยเงียบหาย แต่วันนี้ซานเหอจื่อกลับนั่งขัดสมาธิอยู่บนลานอย่างผิดปกติ
กำลังฝึกบำเพ็ญ
สีหน้าของเขาฉายแววจริงจังเป็นที่สุด ยิ่งมีความมุ่งมั่นอย่างเห็นได้ชัด คล้ายว่ากำลังใช้การกระทำบอกกับทุกคนว่า เขาซานเหอจื่อคนนี้เป็นผู้ที่จิตใจมุ่งมั่น ต่อให้ตัวอยู่ในคุก แต่ก็ยังคงไม่ลืมที่จะฝึกบำเพ็ญ
ไม่ว่าที่ใดล้วนเป็นสถานที่ฝึกฝนจิตใจของเขาซานเหอจื่อคนนี้ได้
ส่วนหวังเฉิน ร่างจริงก็ออกมาจากโลงแล้ว ตอนนี้กำลังนั่งขัดสมาธิในห้องขัง สีหน้าจริงจังเป็นอย่างยิ่ง มือทั้งสองกำแน่น เหมือนกำลังสำนึกผิดกับความผิดพลาดของตน
ยิ่งควบคุมร่างแยกเผ่าควันขจรของตัวเองให้ถือพู่กันอยู่ข้างนอก เขียนบนความบนกำแพงห้องขัง
บทความไหลลื่นพรั่งพรู เนื้อหาล้วนพรรณายอมรับในส่วนผิดของตัวเอง เมื่อรวมกับสีหน้าท่าทางแล้ว ทำให้คนรู้สึกว่าเขียนออกมาจากใจ ทบทวนตัวเองอย่างจริงจัง
ไม่ว่าใครมาเห็นล้วนรู้สึกว่าเขาตั้งใจมากๆ
แล้วยังมีข่งเสียงหลง
เขายิ่งดูเกินสมควรขึ้นไปอีก ตอนนี้แม้จะนั่งขัดสมาธิในห้องขังของตัวเอง แต่กลับหันหน้าเข้ากำแพงสำนึกผิด หันหลังให้ข้างนอก เอ่ยคำพูดสำนึกผิดเสียงดัง
“เยี่ยหลิง ข้ารู้สึกว่าความผิดของข้าครั้งนี้สาหัสนัก แม้เจ้าวังจะคุมขังข้าหนึ่งเดือน แต่ข้ารู้สึกว่ายังไม่พอ ข้าจะต้องลงโทษตัวเอง จะให้ท่านผิดหวังไม่ได้
“มาเถอะ เยี่ยหลิง เจ้าโบยข้าแทนท่านเจ้าวังเถิด มีเพียงทำเช่นนี้ทุกวัน ข้าถึงจะรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง”
ระหว่างพูด สีหน้าของข่งเสียงหลงก็เปลี่ยนไป ประเดี๋ยวก็สำนึกผิด ประเดี๋ยวก็เศร้าโศกโกรธเคือง ประเดี๋ยวก็สะท้อนใจ ประเดี๋ยวก็ฮึกเหิม
อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ในใจของเขาเกิดความรู้สึกสำนึกผิด แสดงออกมาได้อย่างถึงบทบาท
เยี่ยหลิงถือพลองอันหนึ่ง ยืนอยู่ข้างหลังข่งเสียงหลง ใบหน้าเล็กๆ พยักหน้าอย่างเคร่งขรึมเอาจริง
“สำนึกถึงความผิดพลาดของตัวเองได้หมายถึงพี่ข่งเติบโตขึ้นแล้ว ที่ผ่านมาท่านบุ่มบ่ามเกินไป ส่วนข้าก็มีจุดที่ทำไม่ถูก พวกเราตักเตือนซึ่งกันและกัน”
พูดแล้วเยี่ยหลิงก็ฟาดพลองในมือไปที่หลังของข่งเสียงหลงอย่างแรง เสียงดังสนั่น ดังก้องไปทั่วทิศ
หลังจากสวี่ชิงได้เห็นภาพนี้ก็ก้มหน้าเดินไปในห้องขังของตัวเองเงียบๆ เอาตำราไม้ไผ่ชิ้นหนึ่งและเหล็กแหลมออกมา จากนั้นก็เอาโซ่ตรวนออกมาแล้วใส่ให้ตัวเองได้อย่างเป็นธรรมชาติมากๆ
ท่าทางเชี่ยวชาญนัก เหมือนว่าทุกครั้งที่กลับมาเขาล้วนทำเช่นนี้
หลังจากใส่โซ่ตรวนแล้ว สีหน้าของสวี่ชิงก็ฉายแววจริงจัง ถือเหล็กแหลมสลักกฎระเบียบของผู้ครองกระบี่ลงไปบนตำราไม้ไผ่
ครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนว่าทุกวันล้วนทำซ้ำๆ ใช้เรื่องนี้มาตระหนักถึงความผิดพลาดของตัวเอง
ชวนให้คนรู้สึกว่าสลักไปบนตำราไม้ไผ่ แต่แท้จริงนั้นสลักลงในจิตใจ
โดยเฉพาะมีเพียงเขาเท่านั้นที่ใส่โซ่ตรวน นี่ยิ่งฉายความเข้มงวดที่เขามีต่อตัวเองออกมาอย่างชัดเจน
เวลาก็หมุนผ่านไปทีละนิดๆ เช่นนี้เอง หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม เสียงแค่นจมูกก็ดังก้องในคุกแห่งนี้
“แต่ละคนราวกับลูกลิง รู้มากกันดีเหลือเกิน”
จากเสียงที่ดังก้อง เงาร่างของเจ้าวังก็ปรากฏขึ้นบนลาน ซานเหอจื่อเงยหน้าอย่างลนลาน หลังจากมองเห็นเจ้าวังที่อยู่ข้างหลังตนอย่างชัดเจนก็รีบโค้งคารวะ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสำนึกผิด
หวังเฉินก็รีบลุกขึ้นเช่นกัน อยู่ในห้องขังโค้งคารวะเจ้าวัง อ้าปากคล้ายว่าอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นความสำนึกผิดในสีหน้าท่าทางแทน
ข่งเสียงหลงและเยี่ยหลิงก็ทำเช่นนี้ สวี่ชิงเองก็เช่นกัน
จากการโค้งคารวะของคนทั้งหลาย เจ้าวังมือไพล่หลัง สายตากวาดไปบนร่างพวกเขาทีละคนๆ
“พวกเจ้าเก่งกล้าสามารถกันดีนี่
“ทำภารกิจรับตัว แต่กลับไล่สังหารองครักษ์ชุดดำไปจนถึงเขตชายแดน!
“ในเมื่อกำลังวังชาล้นเหลือกันถึงเพียงนี้ เช่นนั้นข้าเพิ่มหน้านี้ให้พวกเจ้าอีกสักหน่อยคงดี ซานเหอจื่อ หลังจากออกจากคุกแล้วเจ้าก็ควบหน้าที่ที่กรมคุมกฎก็แล้วกัน ไปไล่จับคนเสีย
“หวังเฉิน เจ้าชอบนอนโลงนักไม่ใช่หรือ หลังจากออกจากคุกก็ไปควบหน้าที่ลาดตระเวนกลางคืนด้วย
“เยี่ยหลิงเจ้าเองก็ด้วย กรมตรวจสอบก่อนหน้านี้ต้องการคน เจ้าไปควบหน้าที่ที่นั่นด้วย”
“ข่งเสียงหลง เจ้าจำกฎของผู้ครองกระบี่ไม่ได้ไม่ใช่หรือ หลังจากออกไปก็ควบหน้าที่ที่ตำหนักบัญญัติเสีย รับผิดชอบคนที่ไม่รักษากฎระเบียบพวกนั้นโดยเฉพาะ”
“แล้วก็เจ้า สวี่ชิง ในเมื่อเจ้ามีกำลังล้นเหลือขนาดนี้ เดี๋ยวเจ้าไปสยบเขตติงหนึ่งเสีย พร้อมทั้งควบหน้าที่พลทหารเขตปิ่งด้วย”
เจ้าวังเอ่ยเสียงราบเรียบ เสียงดังก้องในคุก
คนทั้งหลายก้มหน้า ทำท่าเหมือนสำนึกถึงความผิดพลาดแล้ว
“นอกจากนี้ มอบภารกิจลับให้พวกเจ้าอีกหนึ่งภารกิจ หลังจากที่พวกเจ้าออกไปก็ไปสืบมาเสีย
“มีข้อมูลจากสายลับส่งมา ช่วงนี้ในเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์มีหุ่นเชิดเซียนของเผ่าเคียงเซียนปรากฏขึ้นไม่น้อย สงสัยว่าแลกเปลี่ยนยุทโธปกรณ์กัน เรื่องนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อน พวกเจ้าใช้วิธีของตัวเองไปทำการตรวจสอบลับในเมืองหลวงเขตปกครอง
“ใครสืบหาได้หลักฐานมา ข้าจะให้แต้มความชอบระดับสองหนึ่งแต้ม และให้แต้มกองทัพเพิ่มห้าแสนแต้ม”
สวี่ชิงตาวาววาบทันที พวกข่งเสียงหลงและซานเหอจื่อก็เช่นกัน แต่ละคนในแววตาฉายประกายแสงวาววับ
แต้มกองทัพห้าแสนแต้มนี่ก็เป็นจำนวนที่มหาศาลแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังมีแต้มความชอบให้ด้วย!
แต้มความชอบนั้นได้ยากมาก โดยปกติแล้วไม่มีทางได้มาเลย นอกเสียจากจะเป็นพวกภารกิจเสี่ยงตายพวกนั้น
และในตอนนี้ก็มีเพียงข่งเสียงหลงคนเดียวที่พอจะมีแต้มความชอบในระดับสามก็เท่านั้น นั่นยังเป็นภารกิจที่เขาเคยแฝงตัวเข้าไปในเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ ทุ่มเอาชีวิตครึ่งหนึ่งไปแลกมา
แต่ตอนนี้แค่สืบหาหลักฐานการแลกเปลี่ยนของเผ่าเคียงเซียนกับเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ก็ได้แต้มความชอบระดับสองแต้มหนึ่ง คนทั้งหลายจึงหวั่นไหวเป็นอย่างยิ่ง
เห็นประกายแสงในดวงตาของพวกสวี่ชิง เจ้าวังพยักหน้าเล็กน้อย ไม่พูดอะไรอีก หันหลังจากไป
หลังจากที่เขาไปแล้ว คุกก็ตกสู่ความเงียบงัน
คนทั้งหลายมองหน้ากันต่างเห็นความปรารถนาในแต้มความชอบของกันและกัน จากนั้นทุกคนก็สูดลมหายใจลึก ต่างกลับมายังที่เดิม นั่งสมาธิต่อ สำนึกผิดต่อ สลักตัวอักษรต่อ
จวบจนผ่านไปอีกหนึ่งชั่งยาม ข่งเสียงหลงกระแอมขึ้นทีหนึ่ง
“ไปแล้ว”
ซานเหอจื่อถอนหายใจยาว นอนแผ่หราลงไป
ร่างแยกเผ่าควันขจรของหวังเฉินหายไป ร่างจริงถอนหายใจยาว แสดงละครมานานขนาดนั้น เขารู้สึกว่าหน้าแข็งไปหมดแล้ว
เยี่ยหลิงเก็บพลองลงไป ก้าวไปใส่ยาให้ข่งเสียงหลงอย่างเจ็บปวดหัวใจ ข่งเสียงหลงไม่ใส่ใจบาดแผลแค่นี้ เอาไหเหล้าออกมาดื่มลงไปอึกใหญ่ สีหน้าค่อนข้างได้ใจ
“ดีที่ข้าไหวตัวเร็ว ไม่เช่นนั้นครั้งนี้พวกเราซวยแล้ว ข้าเดาไว้อยู่แล้วว่าเจ้าวังจะต้องจู่โจมมาตรวจดูแน่ๆ
“การปรับตัวของสวี่ชิงสุดยอดไปเลย แม้เจ้าวังจะรู้อยู่แล้วว่าพวกเราอยู่ในคุกกันแบบใด แต่เขาคร่ำครึสุดๆ ทุกอย่างล้วนต้องเป็นกฎ ดังนั้นท่าทีที่แสดงออก พวกเราก็ต้องทำให้เหมาะสมสักหน่อย”
ข่งเสียงหลงมองรอบๆ ไปโดยสัญชาตญาณ ทุกครั้งที่นินทาเจ้าวังล้วนสันหลังหวะนิดๆ
สวี่ชิงถอดโซ่ตรวนบนร่างตัวเองออก เดินออกจากห้องขังไป มองทุกคน ในใจขบคิดเรื่องเผ่าเคียงเซียน
หวังเฉินวิ่งออกมาแล้วเหมือนกัน เอ่ยถามเสียงต่ำ
“พี่ข่ง ก่อนหน้านี้ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าวังมา”
“ข้าย่อมมีวิธีของข้า เป็นความลับ” ข่งเสียงหลงหัวเราะฮ่าๆ
“เป็นความลับหรือ เช่นนั้นช่างเถิด ใช่แล้ว พี่ข่ง เผ่าเคียงเซียนท่านคุ้นเคยหรือไม่” หวังเฉินไม่ค่อยสนใจวิธีการของข่งเสียงหลงสักเท่าไร ถามเรื่องเคียงเซียนขึ้นมา
“เผ่าเคียงเซียนไม่ได้คุ้นเคยเท่าใดนัก แต่เรื่องหุ่นเชิดเซียนข้าคิดว่าจัดการได้ แต่ว่าเรื่องนี้ระดับความยากไม่น้อยเลย” ข่งเสียงหลงส่ายหน้า
“จะเกี่ยวกับภารกิจครั้งที่แล้วของพวกเราหรือไม่ หรือภารกิจรับตัวเมื่อครั้งที่แล้วรายงานข่าวที่แท้จริงที่ส่งกลับมาจะเป็นเรื่องนี้” ซานเหอจื่อลุกขึ้นมา เอ่ยอย่างตกใจ
“น่าจะไม่ง่ายเช่นนั้น” สวี่ชิงได้ยิน เอ่ยอย่างแผ่วเบา
“ไม่ว่าจะเป็นรายงานข่าวหรือไม่ เผ่าเคียงเซียนก็จะเกินไปหน่อยแล้ว หุ่นเชิดเซียนเป็นทรัพยากรสงคราม แต่กลับขายให้กับเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์!” ดวงตาเยี่ยหลิงฉายประกายเย็นเยียบ
“ตอนนี้คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ รอให้พวกเราออกไป แต่ละคนใช้วิธีของตัวเองทำการสืบก่อน” ข่งเสียงหลงขบคิดครู่หนึ่ง คนทั้งหลายหารือกันอีกพักหนึ่งแล้วจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อน
เวลาครึ่งเดือนเพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไป
กลางวันวันนี้ ข้างนอกท้องฟ้ามืดครึ้ม ฝนเทกระหน่ำ เวลาออกจากคุกมาถึงแล้ว
จากประตูคุกที่เปิดออก ซานเหอจื่อพุ่งออกไปเป็นคนแรกด้วยความปรารถนาต่อโลกภายนอก จากนั้นก็เป็นหวังเฉิน
ข่งเสียงหลงกับเยี่ยหลิงกลับไม่รีบร้อน สวี่ชิงยิ่งไม่ใส่ใจ อย่างไรเสียเดือนนี้ ชีวิตของเขาก็ไม่มีอะไรแตกต่างไปเลย
“หวังว่าครั้งหน้าตอนที่เข้ามา ทุกคนจะเข้ามาด้วยกัน” นอกกรมราชทัณฑ์ ข่งเสียงหลงมองไปทางสวี่ชิงอย่างทอดถอน
สวี่ชิงกำลังจะพูดอะไร จู่ๆ ก็มองไปทางที่ไกล
ตรงนั้นมีเงาร่างของหญิงสาวคนหนึ่งกำลังถือร่มกระดาษน้ำมันยืนอยู่ท่ามกลางม่านฝน กระโปรงยาวสีม่วงปลิวพริ้วไปตามลม ราวดอกจื่อหลัวหลานกลางสายฝน
กำลังโบกมือให้สวี่ชิงด้วยท่าทางสง่างาม แฝงด้วยความอ่อนหวาน
เป็นจอมเซียนจื่อเสวียนนั่นเอง
สังเกตเห็นว่ามีคนมารับสวี่ชิง ข่งเสียงหลงก็พาเยี่ยหลิงจากไป ก่อนจากยังมองจื่อเสวียนอยู่หลายครั้ง จากนั้นก็มองๆ สวี่ชิง คล้ายว่ามองอะไรออก จึงยักคิ้วหลิ่วตา คิดอยากจะพูดอะไรแต่ถูกเยี่ยหลิงลากออกไป
สวี่ชิงลังเลเล็กน้อย ก้าวไปทางจื่อเสวียน เพิ่งเข้ามาใกล้หญิงรับใช้ข้างกายจื่อเสวียนก็กางร่มรับมา ส่งเขาไปหน้าจื่อเสวียนแล้วเดินกางร่มจากไป
“จอมเซียน”
สวี่ชิงโค้งคารวะ เขารู้ว่าเรียกผู้อาวุโสอีกฝ่ายไม่ชอบใจ แต่เรียกชื่อเขาก็รู้สึกแปลกๆ จึงเปลี่ยนคำเรียกเสียเลย
ใต้ร่มกระดาษน้ำมัน จื่อเสวียนมองสวี่ชิง ยิ้มอย่างอ่อนหวาน ยื่นร่มในมือไปให้สวี่ชิง
ทันทีที่สวี่ชิงรับมา จื่อเสวียนก็เดินเข้าไปใกล้เขามาอีกหลายส่วนอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ร่างของทั้งสองอยู่ใต้ร่มคันเดียวกัน
นางในวันนี้แต่งหน้าทำผมมาเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด ผมเกล้ามวยขึ้นไป ใบหน้าเล็กงดงามไร้มลทิน ใบหน้าที่เดิมก็งดงามอยู่แล้วมีสีสันขึ้นมากกว่าวันก่อนๆ อีกหลายส่วน ทั้งคนดูแล้วสง่าผ่าเผย งดงามองอาจ
“ไปเถอะ” จื่อเสวียนยิ้มพลางเอ่ย
เพราะจื่อเสวียนอยู่ใกล้มาก สวี่ชิงจึงเกร็งไปเล็กน้อยตามสัญชาตญาณ เขามองท้องฟ้า ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะพาเขาไปที่ใด
“ไปพบกับสหายสนิทของข้าสองคน ก่อนหน้านี้บอกเจ้าแล้วนี่ ลืมแล้วหรืออย่างไร”
มองความสงสัยของสวี่ชิงออก จื่อเสวียนยิ้มบางๆ ดวงตางามแฝงประกายแปลกประหลาด
แววตาดวงตาหงส์แบบนี้จ้องมองมาที่ใครล้วนทำให้หัวใจเต้นเร็วอย่างห้ามไม่ได้ทั้งนั้น
สวี่ชิงรีบก้มหน้าลง ตามจื่อเสวียนเดินไปข้างหน้า
คนสองคนใต้ร่ม คนหนึ่งสวมชุดสีม่วง คนหนึ่งสวมชุดสีขาว
แม้สีจะเด่นชัดแตกต่าง แต่เมื่ออยู่ใต้ลมฝน ชายผ้าซ้อนทับราวทอเป็นภาพวาดงดงามภาพหนึ่ง
เดินทางจากไปไกล เหยียบย่างบนอากาศ ไปยังเมืองหลวงเขตปกครอง ไปยังหอดอกซิ่งที่อยู่กลางเมือง
หอดอกซิ่งไม่ใช่โรงเตี๊ยม แต่เป็นเรือนส่วนบุคคลที่งดงามแห่งหนึ่ง ในนั้นมีหออาคารศาลา มีสระน้ำ เมื่ออยู่ท่ามกลางต้นสนแผงและต้นสนเข็มเขียวขจี มองผ่านม่านฝนไป ก็มีความงดงามโดดเด่นนัก
ยิ่งมีภูเขามอ หินประหลาด ลานดอกไม้ประดับ สวนถาด ดอกเถิงหลัว[1] ไผ่เขียวประดับประดาในนั้น เต็มไปด้วยความงดงามอันเป็นเอกลักษณ์
นอกศาลาสี่เหลี่ยมที่อยู่กลางเรือนแห่งนี้ หญิงรับใช้หลายสิบคนถือร่มยืนอยู่ ทุกคนล้วนหน้าตาสะสวย แผ่กลิ่นอายความอ่อนเยาว์ และขับเน้นให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ในศาลาสามคนโดดเด่นขึ้นมา
หญิงสาวทั้งสามเปรียบดั่งดอกเหมย ดอกกล้วยไม้ ดอกเบญจมาศ ต่างมีความงดงามเอกลักษณ์ของตัวเอง ล้วนแต่มีความงดงามเลิศล้ำที่มีในโลกน้อยนัก
หญิงสาวคนหนึ่งสวมชุดนักพรตสีเขียวคราม ดวงตาเป็นประกายฟันขาว ตอนนี้ขลุ่ยผิวจรดอยู่ที่ริมฝีปาก เสียงขลุ่ยทอดยาวเป็นระลอก ดังแว่วมาท่ามกลางสายฝน สีหน้าท่าทางงามสง่า เต็มไปด้วยอิสระ
อีกคนหนึ่งสวมกระโปรงยาวสีฟ้า ผ้าไหมสีเดียวกันผูกเรือนผมดำขลับ ขับเน้นผิวขาวเนียนละเอียด กำลังนั่งอยู่ข้างๆ อย่างระวังกิริยา
ดูจากกิริยาท่าทางแล้ว เป็นผู้ที่วัยวุฒิน้อยกว่า
นิ้วเรียวยาวของนางกำลังดีดสายพิณ ผสานกับเสียงขลุ่ย สอดประสานไพเราะจับจิต
และยังมีอีกคนหนึ่ง สวมชุดชาววังหรูหรา ฉายความสง่างาม ใบหน้าเกลี้ยงเกลาบริสุทธิ์ประดุจดอกบัว สีหน้าฉายแววสุขุม คล้ายว่ามลทินเรื่องราวทางโลกโลกีย์ไม่แปดเปื้อนแม้เศษฝุ่นธุลี
นางนั่งอยู่ตรงกลาง มุมปากยกขึ้นฉายรอยยิ้มบางๆ ตอนนี้ลำคอระหงเงยขึ้นเล็กน้อย มองมาทางเงาร่างที่เดินมาจากที่ไกล เอ่ยเสียงเบา
“น้องจื่อเสวียน ไม่พบกันนานเลย”
สุดสายตาของนาง ใต้กระดาษน้ำมัน เงาร่างของจื่อเสวียนและสวี่ชิงกำลังใกล้เข้ามา
และท่ามกลางเสียงที่ดังออกมาจากหญิงสาวชุดชาววังคนนั้น หญิงสาวทั้งสองที่อยู่ข้างๆ ต่างทยอยหยุดบรรเลงเพลง ผู้บำเพ็ญหญิงชุดนักพรตเป่าขลุ่ยยิ้ม ในสายตายามมองมาทางจื่อเสวียนฉายแววสนิทสนม
แต่หญิงสาวชุดสีฟ้าที่เหมือนจะเป็นคนที่วัยวุฒิน้อยกว่ากำลังดีดพิณคนนั้น เมื่อเห็นคนทั้งสองที่เดินมา โดยเฉพาะเมื่อดวงตางามจับจ้องไปที่ร่างของสวี่ชิง นิ้วชะงักไปเล็กน้อย สีหน้าฉายความซับซ้อนออกมาอย่างอดไม่ได้
นาง คือเหยาอวิ๋นฮุ่ย
[1]ดอกเถิงหลัว คือดอกวิสทีเรีย