ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 471 สวี่ชิงที่บ้าคลั่ง!
บทที่ 471 สวี่ชิงที่บ้าคลั่ง!
……….
ท้องฟ้ามืดมิด เมฆหมอกม้วนทะลัก พลังกดดันจากเทพเจ้าประดุจขุนเขากดอัดมาที่ร่างของสวี่ชิงเป็นระลอกๆ
สมองมีเสียงสายฟ้าฟาดผ่าอยู่ตลอด ร่างของสวี่ชิงสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมได้ สูญเสียอำนาจในการเหาะเหิน ร่วงลงมาบนพื้นที่เน่าเฟะ
เสี้ยวขณะต่อมา อวัยวะภายในของเขาตีรวน กระอักเลือดสดๆ ออกมาคำโต
เลือดมากมายยิ่งกว่านั้นไหลออกมาจากทั้งเจ็ดทวาร กระทั่งว่าร่างกายในเสี้ยวขณะนี้เนื่องจากไม่อาจทนรับได้ ก็เกิดรอยปริเป็นทางๆ
เลือดเนื้อแหลกทะลัก
ชุดนักพรตผู้ครองกระบี่สีขาวเพียงพริบตาก็ถูกอาบย้อมด้วยสีเลือดจากภายในสู่ภายนอก
ในยามที่ความเจ็บปวดมหาศาลแผ่ซ่านไปทั่วร่าง สวี่ชิงเงยหน้าอย่างดิ้นรน จ้องเพ่งไปยังขอบฟ้าที่ไกล
สุดปลายสายตา ในฟ้าดินนอกจากวิญญาณหลายร้อยดวงที่เหมือนเครื่องเซ่นไหว้เหล่านั้น ยังมีหมอกสีเขียวครามประเดี๋ยวเลือนราง ประเดี๋ยวปรากฏอีกสิบกว่าทางลอยอ้อยอิ่งไปทั่วทุกทิศ ราวมังกรอสรพิษมากมาย ส่งเสียงคำรามก้องไปทั่ว
ทุกอย่างนี้ สวี่ชิงคิดว่าเหมือนพิธีกรรมอย่างหนึ่ง
‘เซ่นไหว้เทพเจ้า…’
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นเทพเจ้า แต่ความรู้สึกที่ไม่อาจสั่นคลอนได้และความสั่นสะท้านที่มาจากขั้นชีวิต ก็ยังพวยพุ่งขึ้นมาจากในตัวเขาไม่หยุด
สุดท้ายก็แปรเปลี่ยนเป็นเจตจำนงที่ไม่อนุญาตให้ต่อต้าน เกิดเป็นพลังอำนาจเทพ
สะกดสยบมาในสมองสวี่ชิง ทำให้วิญญาณของเขาเกิดความเจ็บปวดจากการฉีกทึ้ง
ต่อให้ลูกกลอนพิษต้องห้ามปกคลุมทั่วทั้งกายก็ยังคงไม่อาจขัดขวางทุกอย่างนี้ได้
นี่ไม่เหมือนกับดวงตาแห่งเทพเจ้าที่เขาเห็นในอุโมงค์ภูตตอนนั้น ไม่เหมือนกับพลังเทพในตัวฉู่เทียนฉวินเช่นกัน
พลังอำนาจสะกดของพวกเขาคือบิดม้วนรอบๆ ทำให้โลกรางเลือน ทำให้เลือดเนื้อของทุกคนมีชีวิตขึ้นมา เหมือนแบ่งเป็นตัวตนนับไม่ถ้วน แยกกระจัดกระจายไปด้วยเหตุนี้
แต่ดวงตาบนท้องฟ้าในตอนนี้ พลังที่แผ่ออกมาทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรง และการฉีกทึ้งจากกายวิญญาณ
‘คล้ายเทพเจ้าแต่ก็ไม่ใช่เทพเจ้า…’
ขณะเดียวกัน จากการปกคลุมมาของพลังอำนาจเทพ ในวังที่อยู่ใต้ภูเขาเนื้อชุ่มเลือดลูกนั้น เสียงคำรามโหยหวนดังก้องไปในฟ้าดิน คล้ายเสียงคำรามจากมาร จากปีศาจ
ขณะที่ดังก้องไปทั่วทุกสารทิศ วิญญาณร้ายนับไม่ถ้วนมาพร้อมกลิ่นอายน่าหวาดกลัว ก็พุ่งออกมาจากในวัง
พวกมันแต่ละตนโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง ตัวที่ใหญ่มหึมามีขนาดถึงหลายร้อยจั้ง ตัวที่เล็กก็มีขนาดถึงหลายสิบจั้ง
บ้างมีลำตัวเป็นงู บ้างเป็นมนุษย์ ไม่ว่าตนใด ระลอกคลื่นที่แผ่ออกมาล้วนเหนือกว่าหงส์ที่สวี่ชิงได้เจอมา
เห็นได้ชัดว่าเทพเจ้าที่มีสิทธิ์อยู่ในวัง ได้รับการบวงสรวงเซ่นไหว้ ย่อมเป็นผู้ที่ในยามมีชีวิตพลังบำเพ็ญน่าครั่นคร้าม
และในขณะที่ฟ้าดินเป็นคลื่นขยุกขยิก โครงกระดูกเหี้ยมโหดชั่วร้ายเต็มไปด้วยคุณสมบัติเทพก็คลานออกมา
จำนวนมากมายมหาศาลมืดฟ้ามัวดิน!
ที่นี่ถึงอย่างไรก็เป็นโลกใบใหญ่ของจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาล เป็นดินแดนสุสานของเผ่าเขาทั้งเผ่า กระทั่งในประสาทสัมผัสรับรู้ของสวี่ชิง โลกใบนี้ไม่ได้มีวังแห่งนี้เพียงแห่งเดียวเท่านั้น แต่มีอีกหลายแห่ง
เห็นผีร้ายกับโครงกระดูกนับไม่ถ้วนรวมมาจากทั่วทุกทิศ ปกคลุมไปบนพื้นดิน ประชิดมาทางเขาทางนี้อย่างรวดเร็ว ในดวงตาสวี่ชิงฉายแววบ้าคลั่ง
มือขวาของเขาเปลี่ยนมาเป็นกึ่งโปร่งแสงทันที ไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้นก็ทะลวงหน้าอกทะลุ ล้วงไปในวังสวรรค์วังที่สี่ คว้าพลังต้นกำเนิดเทพพระจันทร์สีม่วงเอาไว้
แล้วกระชากออกมาข้างนอกสุดแรง!
แสงสีม่วงปะทุออกมาจากหน้าอกสวี่ชิง เหมือนตอนนั้นที่ต่อกรกับฉู่เทียนฉวิน มือสวี่ชิงที่ถือพลังต้นกำเนิดเทพพระจันทร์สีม่วงเอาไว้ยกขึ้นสูง คำรามเสียงต่ำ
“ถอยไป!!”
ครั้งนี้เขาไม่ได้จะใช้พลังพระจันทร์สีม่วงต้านทานพลังอำนาจเทพ แต่ในเสี้ยวขณะที่ยกขึ้น ก็กระตุ้นมันอย่างไม่ออมพลังใดๆ ปะทุพลังต้นกำเนิดเทพสีม่วงของตนออกมาโดยสมบูรณ์
ฟ้าดินในเสี้ยวขณะนี้เปลี่ยนสีไปในทันที!
ขณะที่ลมเมฆหอบม้วน แสงสีม่วงเจิดจ้าพร่างพรายก็สาดแสงออกมาตามง่ามนิ้วมือขวาของสวี่ชิง ภายใต้หลอมรวมมาก็พวยพุ่งขึ้นฟ้าก่อเป็นเสาแสงสีม่วง ในเสี้ยวขณะที่ยิงพุ่งไปบนท้องฟ้า ท่ามกลางหมอกเมฆก็แผ่ระลอกคลื่นเป็นวงแหวนออกมา
เหมือนระลอกน้ำแผ่ไปทั่วทุกทิศ เผยพระจันทร์สีม่วงสุกสว่างที่ลอยเด่นอยู่ในนั้นออกมา
ในเสี้ยวขณะนี้ต่างสาดแสงใส่ซึ่งกันและกัน!
หมอกสีม่วงไร้ขอบเขตก็ก่อเป็นลมพายุรอบๆ สวี่ชิงพันล้อมไปรอบเสาแสงสีม่วง เชื่อมต่อกับฟ้าดิน
หากบอกว่าปกติสวี่ชิงใช้พลังพระจันทร์สีม่วง ภายใต้ความระมัดระวัง ระลอกคลื่นที่แผ่ออกมาคือหนึ่งส่วน
ศึกที่สู้กับฉู่เทียนฉวินตอนนั้น ระลอกคลื่นที่แผ่ออกมาคือสิบส่วน
เช่นนั้นตอนนี้คือร้อยส่วน!
การปลดปล่อยเต็มกำลังเช่นนี้ย่อมก่อเกิดสัญญาณที่เด่นชัดแน่นอน!
ประโยชน์ของมันมีเพียงอย่างเดียว ดึงดูดพระจันทร์สีชาด!
เพียงพริบตา พลังอำนาจเทพสูงสุดสั่นคลอนฟ้าดินกลุ่มหนึ่ง ก็พลันปะทุมาจากนอกโลกใบใหญ่ใบนี้ พัดกวาดมิติ คล้ายค้นหา
ทุกที่ที่พาดผ่าน มิติพังทลาย โลกใบเล็กแต่ละใบๆ สั่นสะเทือนเกิดรอยร้าว
และในโลกใบใหญ่ใบนี้ของจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลก็สั่นสะเทือนขึ้นมาเช่นกัน ฟ้าดินในเสี้ยวขณะนี้เกิดแสงสีแดงที่น่าหวาดกลัวเขย่าขวัญสั่นประสาทขึ้นมา
เจตจำนงที่เย็นชาต่อสรรพชีวิตถึงขีดสุด อยู่สูงส่ง คล้ายว่าจะหาที่นี่เจอ ลงมาเยือนได้ทุกเวลา
ภาพนี้ทำให้โครงกระดูกวิญญาณร้ายที่พุ่งมาจากรอบๆ เหล่านั้นหยุดชะงักไปในทันที
สีหน้าท่าทางเหี้ยมเกรียมถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัวจับจิต!
วังหลวงและยอดเขาเนื้อชุ่มเลือดในที่ไกลก็ไหวโอนเอนในเสี้ยวขณะนี้ รอยแยกบนท้องฟ้ายิ่งหดลงในทันที
มองทุกอย่าง ในดวงตาสวี่ชิงเกิดรอยบ้าคลั่งอย่างไม่เคยมีมาก่อน เขายกพระจันทร์สีม่วงขึ้นสูง ทอดสายตามองรอยแยกบนท้องฟ้า เอ่ยปากเสียงต่ำทุ้มเนิบนาบ
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าใช่จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลหรือไม่ ข้าถือว่าเจ้าเป็นก็แล้วกัน
“ในเมื่อเจ้ารับเครื่องเซ่นไหว้ได้ สามารถทำให้วิญญาณนับไม่ถ้วนมาเซ่นไหว้เจ้าที่นี่ ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะไม่มีประสาทสัมผัสรับรู้ใดๆ ทั้งนั้น เจ้าก็น่าจะรู้ว่าในมือของข้าคืออะไร!”
คำพูดสวี่ชิงเพียงดังขึ้น ในฟ้าดินก็มีสายฟ้าเป็นชุดดังมา เสียงดังกึกก้อง สะท้านสะเทือนไปทั่วสารทิศ ยิ่งมีสายฟ้าเป็นทางๆ ฟาดผ่า ส่องสว่างฟ้าดิน
พลังอำนาจเทพทะลักล้นยิ่งกว่าก่อนหน้านี้
“ขอเพียงข้าตาย หรือเพียงแค่ขยับความคิด ก็สามารถรับชื่อหมู่ของข้าให้ลงมาเยือนที่นี่” ภายใต้พลังอำนาจเทพนั่น สวี่ชิงตัวสั่นสะท้าน แต่ความบ้าคลั่งในดวงตาไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย เอ่ยเสียงดัง
“หากองค์ท่านเห็นตัวตนเช่นเจ้าเช่นนี้จะต้องดีใจมากอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะเป็นอาหาร!”
เสียงสวี่ชิงก้องกังวาน พลังอำนาจเทพในเสี้ยวขณะนี้ยิ่งรุนแรง ฟ้าดินท่ามกลางความสั่นไหว โครงกระดูกวิญญาณร้ายที่หวาดกลัวเหล่านั้นรอบๆ เขาก็ต่างส่งเสียงคำรามหวีดแหลมออกมา
“ถอยไป! หากกล้าก้าวขึ้นมาแม้เพียงครึ่งก้าว ข้าจะรับชื่อหมู่ให้ลงมาเยือนบนโลกใบนี้!”
ดวงตาทั้งสองของสวี่ชิงเต็มไปด้วยเส้นเลือด จ้องรอยแยกบนท้องฟ้าเขม็ง พลันขยี้พลังต้นกำเนิดเทพในมือเต็มแรง สัญญาณที่เกิดจากการส่องสะท้อนของดวงจันทร์สี่วงกลางท้องฟ้ายิ่งรุนแรงขึ้น
นี่ก็คือไพ่ตายของสวี่ชิง!
และเป็นการตัดสินใจอันแน่วแน่ที่ผุดขึ้นมาในใจนับแต่ที่เขาตัดสินใจจะมาตามหาวิญญาณอีกครั้งหนึ่งของหลิงเอ๋อร์ที่นี่
ก่อนหน้านี้เขาจึงแผ่พลังพระจันทร์สีม่วงออกมา ให้มันลอยขึ้นฟ้า
ตลอดทางนี้เขาถึงกระตุ้นพระจันทร์สีม่วงอยู่ตลอด ให้มันเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
ทุกอย่างทั้งหมดล้วนเพื่อเสี้ยวขณะนี้!
ใช้การลงมาเยือนของพระจันทร์สีชาดสยบจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาล!
มองไปไกลๆ ภาพนี้สั่นสะท้านจิตใจนัก
รอบๆ สวี่ชิงเต็มไปด้วยโครงกระดูกและวิญญาณร้ายนับไม่ถ้วน วังสีดำที่อยู่ข้างหน้าเขาก็เหมือนกับกระดูกของเทพมาร
และรอยแยกบนท้องฟ้าที่อยู่เหนือสุด นั่นก็คือต้นกำเนิดพลังของพลังอำนาจเทพ!
ตอนนี้จากคำพูดของสวี่ชิงที่ดังก้อง จากการแผ่ระลอกของสัญญาณที่เกิดจากระลอกคลื่นพระจันทร์สีม่วง ในรอยแยกท้องฟ้ามีเสียงคำรามอย่างโมโหเดือดดาลดังมา
ไม่เหมือนกับเสียงคำรามที่เกิดจากอัสนีสวรรค์เมื่อก่อนหน้านี้ นี่เป็นเสียงคำรามแรกที่ดังมาจากดวงตาบนท้องฟ้าในความหมายที่แท้จริงหลังจากสวี่ชิงปรากฏตัวขึ้น
ท่ามกลางเสียงคำรามที่ดังก้อง โครงกระดูกและผีร้ายทั้งหมดที่ล้อมอยู่รอบๆ สวี่ชิงก็แหวกทางออกมาทางหนึ่ง!
ทางที่มุ่งหน้าสู่วัง มุ่งหน้าไปสู่ภูเขาเนื้อชุ่มเลือด
สวี่ชิงใบหน้าไร้อารมณ์ ยกพระจันทร์สีม่วงขึ้นสูง มองเส้นทางข้างหน้า พลางก้าวเท้าไป
สองฝั่งของเขาคือโครงกระดูกและวิญญาณร้ายที่หน้าตาเหี้ยมเกรียม โหดร้ายเป็นอย่างยิ่ง
แต่สวี่ชิงตอนนี้ไม่สนใจ เดินไปตามทางเส้นนี้ เขาผ่านผีร้ายแต่ละตน ผ่านโครงกระดูกแต่ละโครงๆ พลังอำนาจเทพถอยไปจากข้างหน้าเขา สุดท้ายก็เดินออกมาจากวงล้อมหนาแน่น มาถึงหน้าวัง
ยืนอยู่ตรงนั้น สวี่ชิงเงียบนิ่งไปหนึ่งอึดใจ แล้วพลันก้าวเข้าไป เดินไปจนถึงสุดปลายทางวังหลวง เหยียบไปบนบันไดภูเขาเนื้อชุ่มเลือด
ตลอดเวลา มือของเขาไม่เคยลดลงมาเลย ความมุ่งมั่นและบ้าคลั่งในสีหน้าของเขาไม่ลดลงแม้แต่น้อย
สวี่ชิงเหยียบไปบนบันได ก้าวขึ้นไปยังยอดเขาเนื้อชุ่มเลือดทีละก้าวๆ ยืนอยู่บนยอดเขาเช่นนี้เอง
อยู่ตรงนั้น ทอดสายตามองฟ้าดิน
ในที่สุดเขาก็มองเห็นได้ชัดขึ้น
ท้องฟ้าในตอนนี้มีสองสี
สีหนึ่งคือแสงยามตะวันตกดินแต่ดั้งเดิมของโลกใบใหญ่ใบนี้ มันแผ่ปกคลุมไปบนฟ้าเกือบจะถึงเก้าส่วน จะเห็นรางๆ ว่าหมอกมากมายที่เดือดพล่านมีหน้าผีหัวมังกรเหี้ยมเกรียมปรากฏขึ้นตนแล้วตนเล่า
พวกมันคำรามในท้องฟ้า ก่อเป็นเสียงอัสนีต่ำทุ้มเป็นชุด มีฟ้าแลบฟาดผ่าขึ้นบ้างเป็นบางครั้ง ส่องสว่างพื้นดิน สะท้อนโครงกระดูกและทะเลวิญญาณสุดลูกหูลูกตาใต้ภูเขาเนื้อชุ่มเลือดลูกนี้เป็นบางครั้ง
และยังมีสัตว์ปีกเน่าเฟะที่บินวนเวียนส่งเสียงคำรามมากมายบนฟ้า มาพร้อมด้วยจิตปฏิปักษ์จับเป้าหมายสวี่ชิง ทั้งๆ ที่ดวงตาสีดำเทาของพวกมันฉายกลิ่นความตายออกมาอย่างเข้มข้น แต่ร่างกายที่เน่าเปื่อยของพวกมันกลับแผ่ระลอกคลื่นคุณสมบัติเทพออกมา
เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าตัวใดในตอนที่ยังมีชีวิตล้วนเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้น
ที่มีมากคืออสรพิษและมังกร มังกรอยู่ในเมฆหมอกบนท้องฟ้า อสรพิษอยู่บนพื้นดินเนื้อเน่า ต่างปรากฏตัวออกมาทั้งหมด
แม่น้ำยมโลกในที่ไกลตอนนี้ก็กำลังเดือดพล่านเช่นกัน ตัวตนโบราณที่ฝังกลบในแม่น้ำก็ต่างถูกกระตุ้นฟื้นขึ้นมาในเสี้ยวขณะนี้ด้วยเช่นกัน ต่างพุ่งขึ้นมาจากในแม่น้ำ
จะเห็นร่างหมอกพันจั้ง เห็นขุนพลศพเลือดชุ่มโชก…
กระทั่งว่าในที่ไกลออกไปอีก ในฟ้าดินมีรถศึกและธงหมอกนับไม่ถ้วนปรากฏออกมา รัศมีอำมหิตพวยพุ่ง มืดฟ้ามัวดิน
ภาพนี้น่าหวาดกลัวขวัญผวานัก
และที่นี่เป็นเพียงหนึ่งในแท่นบูชาเลือดเนื้อมากมายในโลกใบใหญ่ใบนี้เท่านั้น จากเรื่องเหล่านี้ก็สามารถจินตนาการได้ว่า เผ่าวิญญาณบรรพกาลในอดีตรุ่งโรจน์และเกรียงไกรปานใด
ส่วนอีกสีหนึ่งบนท้องฟ้า คือสีม่วงที่มาจากโลกภายนอก
แสงสีม่วงกินพื้นที่น้อยมาก แต่กลับเข้มข้นเป็นที่สุด ราวตะปูดอกหนึ่งที่ตอกแน่นอยู่ตรงนั้น ต่อให้ถูกแสงสลัวล้อมรอบก็ยังคงแผ่ประกายคมของมันออกมา
ประกายแสงแปรเปลี่ยนเป็นลำแสง ทั้งหมดหลอมรวมไปยังยอดเขาเนื้อชุ่มเลือด ไปยังมือขวาของสวี่ชิงที่ยืนอยู่ตรงนั้น สาดทอแสงสะท้อนกับพระจันทร์สีม่วงที่มือของเขายกขึ้นสูง
จิตใจของสวี่ชิงตอนนี้สงบนิ่ง
ในดวงตาของเขาแม้จะบ้าคลั่ง ดวงตาทั้งสองแม้จะมีเส้นเลือด แต่ความจริงแล้วพฤติกรรมบ้าคลั่งประเภทนี้เขาคุ้นเคยดี
หลังจากที่ออกไปทำการใหญ่กับนายกองมามากมายขนาดนั้น สวี่ชิงชินชากับเรื่องนี้เสียแล้ว
เขาในตอนนี้มองไปยังดวงตาที่หลับอยู่ข้างนั้นบนท้องฟ้า!
ดวงตานี้มีขนาดใหญ่โตนัก บางส่วนซ่อนอยู่ในท้องฟ้า แผ่กลิ่นอายโบราณออกมา
และข้างหน้าดวงตามหึมาข้างนี้ ในวิญญาณหลายร้อยดวงที่ลอยอยู่บนยอดเขา มีวิญญาณกลุ่มหนึ่ง ก็คือหลิงเอ๋อร์ที่อยู่ในร่างเด็กสาวนั่นเอง!
ในแสงวิญญาณสีดำ หลิงเอ๋อร์สองมือกอดเข่า ก้มหน้า เนื้อตัวสั่นเทิ้ม
นางเหมือนว่ากลัวมาก ไม่กล้าเงยหน้ามองทุกอย่างรอบๆ และการปกคลุมจากแสงวิญญาณก็เหมือนบดบังโลกของนาง ทำให้นางไม่สามารถรับรู้ทุกอย่างที่โลกภายนอกได้
มองหลิงเอ๋อร์ที่ตัวสั่นงันงก มือที่กำพระจันทร์สีม่วงของสวี่ชิงแน่นขึ้นมาเล็กน้อย