ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 481 ความสำราญสุดยอดของบุปผาสราญใจ
บทที่ 481 ความสำราญสุดยอดของบุปผาสราญใจ
……….
ปัจจุบันพบเห็นผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ในเขตปกครองผนึกสมุทรน้อยมาก ด้วยคำสั่งรวมพลของโถงครองกระบี่แต่ละมณฑล พวกเขาส่วนใหญ่มุ่งหน้าไปยังสนามรบสองแห่งทางตะวันตกและทางเหนือที่ห่างไกลเพื่อทำสงครามปกป้องเขตปกครองผนึกสมุทร
สำหรับขั้วอำนาจสำนักเผ่ามนุษย์ ไม่ได้มีแค่สมบัติวิญญาณและหวนสู่อนัตตาเท่านั้นที่ไป แต่นอกจากการเหลือความหวังของสำนักบางส่วนเอาไว้ ก็แทบจะทุ่มกำลังเคลื่อนพลไปหมดทั้งสำนัก
ดังนั้นที่ท่าเรือของมณฑลประกายอรุณที่สวี่ชิงเห็นจึงเป็นต่างเผ่าส่วนใหญ่
ปกติต่างเผ่าเหล่านี้ใช้ชีวิตอยู่ในเขตปกครองผนึกสมุทร หลายปีนี้ได้รับการคุ้มครองจากเผ่ามนุษย์ระดับหนึ่ง
แม้ว่าแม้จะไม่ได้คุ้นครองอะไรมากมายนัก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถูกไล่ออกไปจากมณฑล ก็ถือเป็นที่พักของเผ่าต่างๆ ด้วย
แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่ให้พวกเขาส่งผู้แข็งแกร่งเผ่าต่างๆ ร่วมสงครามก่อนหน้านี้ก็เอาแต่ปฏิเสธ สวี่ชิงก็ส่ายหน้า
แม้เขาจะเข้าใจต่างเผ่าเหล่านี้ รู้ว่าพวกเขาคิดว่าสงครามนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเผ่า ไม่ว่าใครจะมาปกครองเขตปกครองผนึกสมุทร ก็แทบไม่แตกต่างสำหรับพวกเขา
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จะออกแรงทำไม
จากมุมมองของพวกเขาก็อาจจะไม่ผิดอะไร แต่สวี่ชิงก็ไม่ใช่นักบุญที่จะโอบอุ้มทุกเผ่าพันธุ์ จุดยืนของเขา ทำให้เขาไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับต่างเผ่าเหล่านี้
โดยเฉพาะในบรรดาต่างเผ่าเหล่านี้ สวี่ชิงยังเห็นเผ่าควันขจรด้วย
เผ่าควันขจรไม่ได้อยู่แค่ในทะเลทรายเท่านั้น หุบเหวสมุทรของมณฑลประกายอรุณมีหมอก และที่ที่มีหมอกอยู่ก็เหมาะที่จะให้เผ่านี้ได้พักผ่อน
ร่างกายของพวกมันประกอบจากปราณหมอก ดังนั้นเว้นเสียแต่จะเข้าใจเป็นอย่างดี เช่นนั้นก็ยากจะแบ่งแยกเพศ และมองรายละเอียดรูปร่างของพวกมันไม่ออก
มองเห็นเพียงเงาหมอกเป็นกลุ่มๆ ลอยอยู่รอบๆ ท่าเทียบเรือ วนเวียนไปมา ราวกับว่ากำลังค้นหาอะไรอยู่
ขณะเดียวกันยังมีหุ่นเชิดสีดำพิเศษชนิดหนึ่งปรากฏตัวอยู่ในเผ่าควันขจร บนตัวมันเต็มไปด้วยรอยปริแตกมากมาย ให้เผ่าควันขจรสิงร่างแล้วควบคุม
สวี่ชิงที่นั่งอยู่บนหลังเต่าทำให้เผ่าควันขจรพินิจพิจารณา ทว่าสวี่ชิงทางนั้นหากแค่ดูก็รู้สึกค่อนข้างประหลาด ถึงอย่างไรเต่าที่นั่งอยู่ก็ไม่มีหัว ยิ่งไปกว่านั้นที่หางก็ยังมีเพรียงหินขนาดกำปั้นเกาะอยู่ตัวหนึ่งด้วย
แต่เมื่ออยู่ในกลุ่มผู้บำเพ็ญในท่าเทียบเรือ เทียบกับพวกต่างเผ่าที่มีรูปร่างแปลกประหลาดมากมายเหล่านั้น สวี่ชิงก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร ต่างเผ่าข้างกายเขาเหล่านั้นกระทั่งขี่โครงกระดูกด้วยซ้ำ
และสำหรับเผ่าควันขจร สวี่ชิงยิ่งมีจิตปฏิปักษ์ฝังลึกอยู่ ตอนอยู่ในทะเลทรายก่อนหน้าท่าทีของเผ่านี้เต็มไปด้วยจิตปฏิปักษ์ เศษชิ้นส่วนโลกใบใหญ่ที่เขาต่อสู้ฉู่เทียนฉวินก็ยืมเผ่านี้
หลังเสร็จเรื่องสวี่ชิงคำนวณเวลา ตอนที่พบกับฉู่เทียนเจียวห่างจากเขตแดนของเมืองหลวงเขตปกครองหนึ่งชั่วยาม หนึ่งชั่วยามนี้…ถูกเผ่าควันขจรนี่ถ่วงเวลาเอาไว้
แต่เขารู้ว่าครั้งนี้เป็นการสืบลับๆ ดังนั้นหลังจากกวาดสายตา สะกดจิตสังหาร ไม่หันไปสนใจอีก แต่นั่งอยู่บนหลังสิงโตหินที่แปลงเป็นเต่า นั่งรอเรือข้ามฟากอยู่ในท่าเทียบเรือเงียบๆ
ไม่นาน เผ่าควันขจรเหล่านั้นที่กำลังค้นหา เมื่อไม่เป็นผล ก็ลอยออกไปค้นหาที่ท่าเทียบเรืออื่นต่อ
สวี่ชิงไม่สนใจว่าพวกมันหาอะไร แต่เขาได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์เบาๆ จากผู้บำเพ็ญต่างเผ่าในท่าเทียบเรือที่ตนอยู่หลังจากที่เผ่าควันขจรออกไป
“เผ่าควันขจรหามาหลายวันแล้ว ไม่รู้ว่ากำลังหาอะไร ได้ยินว่าไม่ใช่แค่ในท่าเรือ แต่กำลังหาในหุบเหวสมุทรด้วย”
“สิ่งที่บอกกับภายนอก คือบอกว่ากำลังหาซากดวงตะวันหลังจากดับสูญจำนวนมหาศาลทั่วทั้งมณฑลประกายอรุณ แต่ซากดวงตะวันในหลายปีมานี้ คงถูกเผ่ามนุษย์รวมถึงต่างเผ่าอื่นๆ เก็บไปหมดแล้ว ช่วงพันปีนี้ไม่มีบันทึกว่าพบเลือดเนื้อชิ้นใหม่เลย”
“น่าจะไม่ได้หาซากดวงตะวันที่สาบสูญไปตั้งนานแล้วนั่นหรอก ทำไมข้าถึงรู้สึกว่ากำลังหาและห้ามไม่ให้ใครสักคนไม่ให้เข้าไปในมณฑลประกายอรุณเล่า”
สวี่ชิงเหมือนครุ่นคิด เงยหน้ากวาดตามองเผ่าควันขจรที่อยู่ไกลๆ
จนผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ขณะที่มีต่างเผ่าเฝ้ารอเรือข้ามฟากเพิ่มขึ้นไม่น้อย ปราณหมอกในหุบเหวสมุทรที่ไกลๆ ก็ส่งเสียงครืนครันมา
ต่างเผ่าบนท่าเทียบเรือ พากันมองไป
ยังมีลมเย็นยะเยือกหอบใหญ่มาด้วยจากเสียงที่ดังมา
ลมนี้พัดตามหุบเหวสมุทรมาถึงท่าเรือ ในปราณหมอกที่ค่อยๆ หลั่งทะลักมีพวกเรือขนาดยักษ์รูปร่างประหลาด ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
รูปร่างของพวกมันแบ่งเป็นสองประเภท
แบบที่หนึ่งเหมือนกับนกนางแอ่น ขนาดใหญ่นับพันจั้ง ส่วนหลังสร้างเป็นหอสูงโอ่อ่าสวยงามหลายแห่ง และยังมีสาวใช้ที่มีหูกระต่ายอยู่ไม่น้อย แต่ละคนหน้าตาสวยสด รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น
สวี่ชิงกวาดตามองก็จำได้ว่านี่คือเผ่ากระต่ายวิญญาณ เผ่านี้มีขนาดใหญ่มาก แต่กลับไม่มีที่ตั้งเป็นของตน คนในเผ่าทั้งหมดกระจัดกระจายอยู่ตามมณฑลต่างๆ พึ่งพาผู้แข็งแกร่งเผ่าที่ใหญ่กว่าเพื่อความอยู่รอด
ส่วนอีกแบบหนึ่งคือเรือขนาดยักษ์ บางทีก็ไม่ควรเรียกว่าเรือ เพราะดูแล้วพวกมันคล้ายกับใบไม้ขนาดใหญ่มากกว่า ด้านล่างมีขาเรียวยาวเหมือนกิ่งไม้อยู่สี่ขา ยื่นลงไปในหมอกหุบเหวด้านล่าง
ใบไม้เหล่านี้ใหญ่ขนาดประมาณร้อยจั้ง ไม่ใช่แค่เรียบง่ายกว่าเรือนางแอ่นมาก แต่จำนวนก็มีมากกว่าเรือนางแอ่นมหาศาลถึงเก้าส่วน
จากการแล่นมาตอนนี้ ผู้บำเพ็ญในแต่ละท่าเทียบเรือก็พากันดีดตัว เลือกลงเรือลำยักษ์ตามจุดหมายปลายทางที่ตนจะไป
สวี่ชิงเห็นว่าในบรรดานี้มีคลื่นพลังปราณก่อกำเนิดอยู่หลายคนไปทางเรือนางแอ่นที่มีไม่กี่ลำเหล่านั้น ส่วนที่เหลือไปที่เรือใบไม้ เขาก็เข้าใจว่าการข้ามฟากสองประเภทนี้ เตรียมไว้สำหรับผู้มีพลังบำเพ็ญที่แตกต่างกัน
เขาจึงสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง หาเรือใบไม้ที่ไปยังเขาหมอกดำ จากนั้นก็ขึ้นไป
เขาหมอกดำ หรือก็คือพื้นที่ศูนย์กลางมณฑลประกายอรุณ ห่างจากเขาประกายอรุณไม่มากนัก
สวี่ชิงรู้สึกว่าตรงไปเขาประกายอรุณเลยไม่ค่อยเหมาะ แม้จะเป็นการสืบลับๆ เขาจึงตัดสินใจว่าหลังจากถึงเขาหมอกดำแล้ว จะอาศัยพลังบำเพ็ญของตนข้ามขวางผ่านแม่น้ำไปที่เขาประกายอรุณ
แม้อาศัยพลังบำเพ็ญตนข้ามขวางผ่านแม่น้ำเป็นเวลานาน สวี่ชิงรู้สึกว่าไม่น่าทำได้ แต่ถ้าระยะเวลาสั้นๆ จากที่เขาพิจารณาแล้วมีความเป็นไปได้
ตอนนี้หลังจากขึ้นเรือใบไม้ สวี่ชิงก็กวาดตาไปรอบๆ
เรือใบไม้นี้เรียบง่ายมาก ไม่มีสิ่งปลูกสร้างใด และไม่มีหญิงรับใช้เช่นกัน มีแค่คนสวมชุดคลุมเขียวสวมหน้ากากผีไม่กี่คนนั่งอยู่ด้านหน้าสุด รับผิดชอบขับเรือ
ส่วนผู้บำเพ็ญที่ขึ้นเรือ จำนวนอยู่อยู่ที่สามสิบกว่า นอกจากเจ็ดแปดคนที่อยู่ด้วยกันแล้ว คนอื่นแยกอยู่ตามลำพัง กระจัดกระจายคนละทิศ
ในอาณาเขตร้อยจั้ง รองรับจำนวนคนเหล่านี้ ก็ถือว่ากว้างขวาง
หลังจากสวี่ชิงหามุมหนึ่งนั่งขัดสมาธิ สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ผู้บำเพ็ญชุดเขียวสามคนไกลๆ
สิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับมณฑลประกายอรุณ ส่วนใหญ่จะรู้ผ่านม้วนเอกสารผู้ครองกระบี่ เช่นผู้รับผิดชอบเรือข้ามฟากที่นี่ คือพันธมิตรการค้าแห่งหนึ่งที่ชื่อว่าแสงอรุณ
พันธมิตรการค้านี้ก่อตั้งขึ้นจากขั้วอำนาจมากมายในมณฑลประกายอรุณ แน่นอนว่าโถงครองกระบี่ย่อมเป็นส่วนหนึ่ง ถึงอย่างไรความพิเศษของมณฑลประกายอรุณ การทำเรือข้ามฟากที่นี่มีกำไรมหาศาล
เสื้อผ้าของพันธมิตรการค้าแสงอรุณ ก็คือชุดคลุมสีเขียวเช่นนี้
หลังจากพิจารณาอย่างละเอียด สายตาสวี่ชิงก็กวาดไปที่ผู้บำเพ็ญคนอื่นบนเรือใบไม้ จากนั้นก็หลับตาลง นั่งสมาธิเงียบๆ
ผ่านไปไม่นาน ประมาณหนึ่งก้านธูป ก็มีเรือยักษ์ที่ท่าเทียบเรือของท่าเรือบางส่วนเริ่มออกเดินทาง
เรือใบไม้ที่สวี่ชิงอยู่คือหนึ่งในนั้น หลังจากที่เขาจ่ายเงิน จากการสั่นไหวของใบไม้ ขาเรียวเล็กทั้งสี่ด้านล่างก็ค่อยๆ สาวไปด้านหน้า สายลมใหญ่พัดมาปะทะมาบนร่างของทุกคนในเรือใบไม้โดยไม่มีการสกัดกั้น
จากการเดินหน้าไม่หยุดของเรือใบไม้ หลังจากออกห่างจากท่าเรือ ขณะที่ลมพัดรุนแรงยิ่งขึ้น ถึงมีม่านแสงเบาบางแผ่ออกมาจากเรือใบไม้ปกคลุมไปรอบด้าน กั้นสายลมด้านนอก
แต่ความรู้สึกคลอนไหวกลับยิ่งรุนแรงมากขึ้น
สวี่ชิงไม่สนใจ หลับตาพักผ่อน ก็ผ่านไปเช่นนี้สามวัน
ในวันที่สาม สวี่ชิงลืมตาขึ้นเป็นครั้งคราว มองไปรอบด้าน สิ่งที่เห็นล้วนเป็นหุบเหวสมุทรลึกสุดลูกหูลูกตา ขณะที่กลิ่นอายเย็นเยียบมืดมัวกระจายไปทั่วทั้งฟ้าดิน ก็มีพวกตัวตนประหลาดบางอย่าง ปรากฏตัวในหุบเหวสมุทร
เช่นวาฬมีปีก ตะเกียงสีแดงล่องลอยอยู่นับไม่ถ้วน และอย่างเช่นค้างคาวสองหัวที่ร่างกายใหญ่โต แต่อสูรกลายพันธุ์เหล่านี้มีพันธสัญญากับพันธมิตรการค้าแสงอรุณอย่างชัดเจน แม้จะปรากฏตัวขึ้นรอบๆ แต่ก็ไม่โจมตีเรือใบไม้
นอกจากนี้ สวี่ชิงยังเห็นว่าหุบเหวสมุทรด้านล่างที่ค่อนข้างตื้นกว่าที่อื่น มีดอกไม้ขนาดยักษ์ประมาณพันจั้งกำลังแบ่งบาน
ดอกไม้นี้เป็นสีแดง เด่นชัดยิ่งอยู่ด้านล่างหุบเหวสมุทร ยิ่งมีเกสรดอกไม้หลายเส้นลอยขึ้นมาด้านบนหุบเหวสมุทร กระจายไปทั่ว
การปรากฏตัวของพวกมันดึงดูดความสนใจของผู้บำเพ็ญต่างเผ่ามากมายบนเรือใบไม้ สีหน้าพากันประหลาดใจ
เพราะปลายเกสรดอกไม้ที่ไหวไปมาเหล่านั้นมีเพศเมียของหลากหลายผ่างอกออกมา สวี่ชิงกระทั่งเห็นเผ่ามนุษย์ด้วย
พวกนางต่างอรชรอ้อนแอ้น ตรงกับความงามของทุกเผ่าพันธุ์ ไม่มีเสื้อผ้าปิดบังเรือนร่างแม้แต่น้อย หลังจากปรากฏตัวก็ทำท่าทางยั่วยวน กวักมือเรียกผู้บำเพ็ญบนเรือ
“ใต้เท้า เราดวงดีไม่เลวเลย” ตอนที่สวี่ชิงมองเกสรดอกไม้นั่น ข้างหูก็มีเสียงของเพรียงหินที่หางเต่าดังมา เพียงหินนี้คือร่างแปลงของเจ้าศีรษะ เวลานี้เผยดวงตาออกมา มองโลกภายนอกอย่างเคลิบเคลิ้ม
“บุปผาสราญใจ เป็นดอกไม้ที่ข้าชอบที่สุดในตอนนั้น”
สวี่ชิงขมวดคิ้ว เขาไม่รู้จักดอกไม้ชนิดนี้เลย
“บุปผาสราญใจ เป็นพืชพันธุ์ประหลาดที่พิเศษอย่างหนึ่งในมณฑลประกายอรุณ ตอนที่พืชชนิดนี้แบ่งบาน เกสรดอกไม้จะกลายเป็นรูปร่างหญิงสาวของเผ่าต่างๆ ยั่วยวนคนที่ผ่านทางไปมา
“หากพวกนางยั่วยวนสำเร็จก็จะถูกพวกนางลากลงไปด้านล่างหุบเหวสมุทร ถูกสูบจนแห้งตายทั้งเป็น ผู้บำเพ็ญทั่วไปสี่ห้าอึดใจก็ดับสิ้นแล้ว แก่นลมปราณก็นานขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่นานเท่าไรนัก
“มีแต่พวกที่มีพรสวรรค์อย่างข้า ตอนนั้นที่ดิ้นรนอยู่ด้านใน สัมผัสกับความสำราญแท้จริงที่บุปผาสราญใจมอบให้”
เจ้าศีรษะพึมพำเสียงต่ำ ในดวงตาเผยความระลึกถึง
“ดังนั้นร่างกายจึงหายไปหรือ” ที่โต้ตอบเจ้าศีรษะไม่ใช่สวี่ชิง แต่เป็นเต่ายักษ์ที่อยู่ข้างล่างเขา
เจ้าศีรษะถลึงตา กำลังจะอ้าปากเอ่ย สวี่ชิงก็ส่งเสียงต่ำทุ้มออกมา
“หุบปาก”
ในพริบตา เจ้าเต่ายักษ์กับเพรียงหินก็ไม่ส่งเสียงออกมาอีก สวี่ชิงแผ่สัมผัสออกไปยังจุดที่กลุ่มต่างเผ่าเจ็ดแปดคนอยู่ขณะเข่านั่งขัดสมาธิ เมื่อครู่เขาได้ยินรางๆ เหมือนพวกเขากำลังพูดถึงโถงครองกระบี่
ภายใต้การจับสังเกตตอนนี้ เสียงจึงค่อยๆ ชัดขึ้น
“โลกาวินาศหนอ ได้ยินว่ามีแค่ช่วงที่จำนวนคนเผ่าต่างๆ ในมณฑลประกายอรุณลดน้อยลงอย่างมหาศาลเท่านั้น พืชประหลาดชั่วร้ายอย่างบุปผาสราญใจถึงจะแบ่งบาน…
“เผ่ามนุษย์ครั้งนี้น่าจะโชคร้ายมากกว่าโชคดี วังครองกระบี่ก็วิกฤตอยู่เบื้องหน้า พวกเจ้าเคยได้ยินหรือไม่ เหมือนว่ามีชนเผ่าเล็กๆ รวมถึงพวกผู้บำเพ็ญไร้สังกัดไม่น้อยรวมถึงพวกผู้บำเพ็ญไร้สังกัดที่ชั่วร้าย คิดจะโจมตีโถงครองกระบี่ของเขาประกายอรุณ”
“ข้าก็เคยได้ยินมาเช่นกัน เหมือนว่ามีใครสักคนกำลังรวบรวมผู้บำเพ็ญไร้สังกัดเผ่าต่างๆ พวกโจรพวกผู้ร้าย เข้าโจมตีเขาประกายอรุณในช่วงนี้ ยึดโถงครองกระบี่”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา รีบกลับไปในเผ่าดีกว่า เผ่ามนุษย์จะเป็นหรือตายก็ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา หากสุดท้ายเผ่ามนุษย์พ่ายแพ้…อันที่จริงพวกเราก็ใช่ว่าจะเข้าไปแบ่งชิ้นเนื้อนี้ไม่ได้นี่”
“ถูกต้อง ได้ยินว่าโถงครองกระบี่ร่ำรวยมาก…”
สวี่ชิงฟังถึงจุดนี้ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ดวงตาฉายแววเย็นชา จู่ๆ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองปราณหมอกเหนือหุบเหวสมุทรไกลๆ
มีหุ่นเชิดสีดำสูงสิบจั้งเจ็ดแปดตัว ปรากฏขึ้นในความเลือนรางของปราณหมอกนั้น พวกมันเดินอยู่เหนือหุบเหวสมุทร ดวงตาเผยประกายสีแดง มาพร้อมกับความไม่เป็นมิตร มองมาทางเรือใบไม้
เผ่าควันขจรนั่นเอง
ดวงตาสวี่ชิงมีประกายเย็นเยียบพากผ่าน พิจารณาพลังบำเพ็ญของหุ่นเชิดสีดำเผ่าควันขจรที่กำลังเข้ามาใกล้เหล่านั้น
จะเห็นปราณหมอกเป็นกลุ่มๆ ลอดเข้าออกรอยปริแตกบนตัวหุ่นเชิดสีดำเหล่านี้จากการที่พวกมันเข้าใกล้ ขณะที่จำแลงเป็นร่างเลือนรางจ้องเรือใบไม้ ปราณหมอกเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็กระจายออกไป ห้อมล้อมรอบๆ เรือใบไม้
และหุ่นเชิดสีดำขนาดยักษ์เจ็ดแปดตัว ตอนนี้ก็ยืนนิ่งอยู่ด้านหน้าเรือใบไม้ ขวางทางเอาไว้
ขาทั้งสี่ใต้เรือใบไม้สั่นเล็กน้อย ไม่กล้าขยับเขยื้อน ผู้บำเพ็ญบนเรือใบไม้ก็ต่างใจสั่นสะท้าน ส่วนใหญ่เผยความระแวดระวังและตื่นตัวอย่างเห็นได้ชัด
ผู้บำเพ็ญชุดเขียวสวมหน้ากากผีสามคนนั้น ก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่มองเผ่าควันขจร หนึ่งในนั้นก็ประสานหมัดเอ่ยเสียงทุ้ม
“ไม่ทราบว่าสหายเต๋าเผ่าควันขจรทุกท่านมาด้วยเหตุใด”