ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 489 จับตาดูเทพเจ้าอย่างใกล้ชิด ตำนานแห่งกรมราชทัณฑ์
บทที่ 489 จับตาดูเทพเจ้าอย่างใกล้ชิด ตำนานแห่งกรมราชทัณฑ์
……….
“ผนึกสำเร็จไปแค่ครึ่งเดียว” ในสายตาสวี่ชิงเปล่งประกายเย็นวาบ ครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว
ส่วนนิ้วเทพเจ้าที่สติสัมปชัญญะที่ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ก็ควบคุมยากเหลือเกิน ขณะที่องค์ท่านดิ้นรนอย่างรุนแรง ก็สัมผัสได้ถึงผลึกวารีสีม่วงในร่างกายสวี่ชิงแล้ว ราวกับไม่ได้เพิ่มพลังผนึกตนต่อ
ดังนั้นในพริบตา องค์ท่านจึงโต้กลับ
“ความสามารถของเจ้าไม่เพียงพอที่จะควบคุมสมบัตินี้!”
จิตสำนึกของนิ้วเทพเจ้าแผ่ระลอกคลื่นยินดีออกมา พลังดิ้นรนของมันระเบิดบ้าคลั่งในทันที ทุ่มสุดกำลังจะสลัดให้หลุด องค์ท่านสัมผัสได้ว่าจิตใต้สำนึกของตนจะตื่นได้อีกไม่นานนักเพราะอาการบาดเจ็บหนักหลายครั้ง
องค์ท่านจึงคิดจะรีบหนีออกจากร่างกายที่แปลกประหลาดน่ากลัวนี้ หนีออกไปให้ยิ่งไกลเท่าไรยิ่งดี
แต่ถึงผลึกวารีสีม่วงจะแสดงพลังที่แท้จริงออกมาไม่ได้เพราะความอ่อนแอของสวี่ชิง แต่ทะเลแสงสีม่วงที่แผ่ออกมาจากมันยังคงน่ากลัวน่าตกตะลึง ต่อให้นิ้วเทพเจ้าจะดิ้นรนอย่างไร แต่ก็ยังไม่อาจสลัดหลุดหนีออกไปได้
จึงเกิดการยื้อยุดเช่นนี้ นิ้วเทพเจ้าร้อนรนยิ่ง ขณะที่จิตใต้สำนึกมีระลอกคลื่นโหมกระหน่ำ ความวิตกกังวลเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงเช่นกัน บ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ ในร่างกายสวี่ชิงครืนครันไม่หยุด
ท่าทางเหมือนวังสวรรค์ของสวี่ชิงก่อนหน้านี้ เหมือนเด็กสาวที่เผชิญหน้ากับอันธพาล เพียงแต่นิ้วเทพเจ้ารุนแรงยิ่งกว่า ไม่ยอมศิโรราบ
เห็นเช่นนี้สวี่ชิงก็ขมวดคิ้ว เขาสัมผัสได้ว่าจิตวิญญาณของตนแห้งเหี่ยวขึ้นตามการดิ้นรนของอีกฝ่าย ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป หากตนไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไป เช่นนั้นสุดท้ายผลึกวารีสีม่วงคงจะไม่เป็นไร แต่ตัวเขาคงจะถูกดึงพลังไปจนร่างกายและจิตวิญญาณแตกดับแทน
สวี่ชิงถอนหายใจ เขารู้สึกว่าผลึกวารีสีม่วงไม่ค่อยมีประโยชน์
แต่อันที่จริงเขาก็เข้าใจได้ ที่ไม่มีประโยชน์น่าจะเป็นตนเอง…ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่การผนึกเจ้าเงา แต่เป็นการผนึกเทพเจ้า ระดับความยากและพลังที่ต้องใช้ห่างราวฟ้ากับเหว
ทว่าหากให้นิ้วเทพเจ้าหนีไปเช่นนี้ สวี่ชิงก็ไม่ยินดีนัก
จึงมีเสียงคำรามต่ำออกมาจากจิตวิญญาณ
“ความสามารถของข้าตอนนี้ยังสนับสนุนและควบคุมผลึกเทพเจ้าฟ้าลิขิตชิ้นนี้ไม่ได้ แต่ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือหากข้าทุ่มทั้งหมด ต่อให้ต้องตายก็จะต้องผนึกเจ้าไว้ให้ได้!
“ดังนั้น เจ้าไม่ต้องบีบคั้นข้า!”
น้ำเสียงสวี่ชิงฉายแววเด็ดขาด
“ผลึกเทพเจ้าฟ้าลิขิต?” จิตใต้สำนึกของนิ้วเทพเจ้าชะงักไปครู่หนึ่ง
องค์ท่านสัมผัสได้ว่าสิ่งที่สวี่ชิงพูดไม่ใช่เรื่องโกหก หากอีกฝ่ายทุ่มทั้งหมดก็สะกดตนได้จริงๆ เพียงแต่สิ่งที่ต้องจ่ายคือความตายของอีกฝ่าย
“ถูกต้อง นี่คือวัตถุฟ้าลิขิตที่เกิดขึ้นในร่างกายข้าตอนที่ข้าถือกำเนิด สิ่งที่ปรากฏขึ้นจากการรวมกันของดวงชะตาแห่งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์” สวี่ชิงอธิบายอย่างตั้งใจ
นิ้วเทพเจ้าทั้งแปลกใจและไม่แน่ใจ หากเป็นตอนอื่น องค์ท่านไม่มีทางเชื่อแน่นอน แต่ตอนนี้..องค์ท่านเริ่มมองจริงเท็จไม่ออกแล้ว
“ให้ข้าออกไป แล้วข้าจะยอมแพ้เรื่องยึดครองร่าง ไม่เช่นนั้น ต่อให้เจ้าผนึกข้าได้ กายวิญญาณเจ้าก็จะดับสูญ และแม้ว่าข้าจะถูกผนึกสูญเสียอิสรภาพ แต่ข้าก็ยังมีชีวิตอยู่!”
นิ้วเทพเจ้าไม่อยากขบคิดว่าว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ องค์ท่านสัมผัสได้ว่าจิตสำนึกของตนเริ่มมีเค้าเลือนรางขึ้นมา จึงคำรามอย่างบ้าคลั่ง
สวี่ชิงขมวดคิ้ว ค่อนข้างกลัดกลุ้ม เขาปล่อยอีกฝ่ายออกไปได้จริง ขอแค่กระตุ้นความคิด เขาก็เก็บงำแสงของผลึกวารีสีม่วงได้เล็กน้อยจนเกิดช่องโหว่
แต่เขาไม่อยากทำเช่นนั้น
ก่อนอื่นด้วยนิสัยแค้นต้องชำระ เขาปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไปไม่ได้ ยิ่ง…เป็นถึงนิ้วเทพเจ้า ตอนนี้ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ถือเป็นวาสนาครั้งหนึ่ง เป็นวาสนาที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง
อีกอย่าง เขาไม่กล้าให้อีกฝ่ายหนีไป หากอีกฝ่ายหนีไปแล้วกลับมาเล่นงานตน ด้วยสถานการณ์ที่ไม่มีการยึดครองร่าง สวี่ชิงรู้ว่าตนคงตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ต่อให้ไม่บีบตนจนตายทันที หลังจากอีกฝ่ายหนีไปก็ไม่แน่ว่าจะหาโอกาสกลับมาเล่นงานตนจนตายอีก
คิดถึงจุดนี้ สวี่ชิงก็ยิ่งปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไปไม่ได้
อีกทั้งผลึกวารีสีม่วงเป็นความลับลึกที่สุดของเขา ห้ามเผยแพร่ออกไปโดยเด็ดขาด
นอกจากนี้สวี่ชิงยังมองออกว่า นอกจากนิ้วเทพเจ้าจะดิ้นรนต่อต้านสุดกำลัง ก็เหมือนว่าภายใต้สภาวะกึ่งผนึกของผลึกวารีสีม่วง ยังไม่มีวิธีอื่นทำร้ายตนได้
ดังนั้นหลังจากเขาเงียบนิ่งอยู่หลายอึดใจก็เอ่ยราบเรียบ
“ข้าบอกไปแล้ว ว่าตอนนี้ความสามารถของข้ายังสนับสนุนและควบคุมผลึกเทพเจ้าฟ้าลิขิตไม่ได้ และก่อนที่เจ้าจะมายึดครองร่างข้า ข้าก็บอกกับเจ้าแล้วว่าในร่างกายข้ามีของสัพเพเหระอยู่ค่อนข้างมาก
“ข้าไม่อยากให้เจ้าเข้ามา เพราะข้าควบคุมมันไม่ได้!”
“ปล่อยข้าออกไป!!” จิตใต้สำนึกนิ้วเทพเจ้าเอ่ยตัดบทสวี่ชิง คำรามหนักขึ้น ระหว่างที่ดิ้นรน จิตวิญญาณของสวี่ชิงก็ยิ่งแห้งเหี่ยวเรื่อยๆ
เห็นวิกฤตอันตราย สวี่ชิงก็ยิ่งโหดเหี้ยม
“หุบปาก หากข้ามีวิธีปล่อยให้เจ้าออกไป ข้าให้เจ้าไสหัวออกไปนานแล้ว!”
สวี่ชิงแผ่จิตเทพออกมาอย่างรุนแรง กลายเป็นเสียงคำรามต่ำ สะท้อนก้องอยู่ในทะเลความรู้สึก ทำให้นิ้วเทพเจ้าที่คำรามโกรธเกรี้ยวชะงักไป
“เจ้าไม่ให้ข้าออกไป ข้าก็จะทำให้เจ้าตาย ถ้าเจ้าตาย ข้าถูกผนึก สักวันหนึ่งข้าต้องมีโอกาสฟื้นคืนชีพแน่!” จิตสำนึกของนิ้วเทพเจ้าดิ้นรนอีกครั้ง เกิดความคิดที่จะตายตกตามกัน
“สักวันหนึ่งจะฟื้นคืนชีพหรือ” สวี่ชิงยิ้มเย็นชา
“ก่อนหน้านี้เจ้าก็น่าจะสัมผัสได้ ลืมหรือจงใจไม่พูดถึง ไม่เป็นไร เช่นนั้นเจ้าก็ลองสัมผัสอย่างละเอียดดู ว่านี่คืออะไร!”
พลังต้นกำเนิดเทพในวังสวรรค์พระจันทร์สีม่วงของสวี่ชิงระเบิดขึ้นมาฉับพลัน ขณะเดียวกันยังแผ่ซ่านไปทั้งทะเลความรู้สึก และก่อตัวขึ้นเป็นสัญลักษณ์ที่แข็งแกร่งด้วย
สวี่ชิงคุ้นเคยเป็นอย่างดี เขาใช้พระจันทร์สีม่วงเป็นพลังคุกคาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรก
ตอนนี้ก็แค่ทำสิ่งที่เคยทำกับจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลอีกครั้ง
ทว่าเนื่องจากที่นี่คือแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ สวี่ชิงจึงไม่ได้ปลดปล่อยออกมาทั้งหมด แต่ปกปิดไว้ในร่างกาย แต่ขอแค่เขาตายไป ขณะที่ไร้การควบคุม สัมผัสของพลังต้นกำเนิดเทพพระจันทร์สีม่วงนี้ก็จะแผ่ระลอกคลื่นออกมา ทำให้พระจันทร์สีชาดสัมผัสได้ในพริบตา
จิตใต้สำนึกนิ้วเทพเจ้าสะท้านเฮือก ผ่านไปครู่หนึ่งจึงกัดฟันเอ่ย
“พลังต้นกำเนิดของเทพเจ้าชื่อหมู่!”
ตอนที่องค์ท่านเข้ามาในทะเลความรู้สึกก่อนหน้านี้ ยังอยู่ในสภาวะที่สติสัมปชัญญะยังไม่ครบถ้วน แม้จะสัมผัสได้ แต่ก็ยังเข้ามายึดครองร่างสวี่ชิงตามสัญชาตญาณ
เมื่อได้สัมผัสกับผลึกวารีสีม่วงถึงถูกกระตุ้นจนตื่นขึ้น ต่อมาท่ามกลางสัมผัสที่น่ากลัวนั่น สิ่งที่คิดทั้งหมดจึงเป็นการหลบหนี
“ดังนั้น ข้าไม่ใช่แค่จะใช้ผลึกเทพเจ้าฟ้าลิขิตผนึกเจ้า ข้ายังมีวิธีการอื่นเล่นงานเจ้าจนตายได้เช่นกัน เมื่อชื่อหมู่มาเยือนจะต้องกลืนกินเจ้าแน่ ข้าตาย เจ้าก็ไม่รอดหรอก!”
สวี่ชิงมีความเย็นเยียบปรากฏขึ้นมาในใจ หลังจากพูดไปทีละคำ จิตใต้สำนึกนิ้วเทพเจ้าก็แผ่ความวิตกกังวลรุนแรงออกมา สติสัมปชัญญะเลือนลางอย่างควบคุมไม่ได้
เห็นว่าได้ผล สวี่ชิงก็ตะคอกกดเสียงต่ำอีกครั้ง
“แล้วก็นี่!” สวี่ชิงกระตุ้นพลังวิถีสวรรค์วังสวรรค์วังที่หกของตน อสูรสมุทรบรรพกาลอยู่ด้านนอก แต่กลิ่นอายวิถีสวรรค์ในวังสวรรค์วังที่หกยังคงอยู่
“วิถีสวรรค์!” จิตใต้สำนึกนิ้วเทพเจ้าสั่นสะเทือนอีกครั้ง
“แล้วก็ยังมีคำสาปเทพเจ้าอีก!” วังสวรรค์วังที่สามสวี่ชิงคลอนไหว พิษต้องห้ามแผ่ออกมาปกคลุมไปทั่ว
จิตใต้สำนึกนิ้วเทพเจ้าไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกมา เวลานี้สติสัมปชัญญะกำลังหายไปอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกสับสนค่อยๆ เข้ามาแทนที่
“ดังนั้นเจ้าไม่ต้องรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจไป ข้าก็ไม่คิดจะเอาเจ้าไว้หรอก แต่ตอนนี้ข้าทำไม่ได้ ทว่านี่ไม่ได้หมายความว่าหลังจากนี้ข้าจะทำไม่ได้” สวี่ชิงเอ่ยราบเรียบ
“ข้า…ไม่เชื่อ…เจ้า…” จิตใต้สำนึกนิ้วเทพเจ้าคำรามเสียงต่ำอีกครั้ง
สวี่ชิงสัมผัสได้ว่าจิตใต้สำนึกของอีกฝ่ายเริ่มไม่ครบถ้วนอีกครั้ง จึงเอ่ยค่อนข้างอ่อนโยน
“ข้ารับปากเจ้าได้ หลังจากนี้เมื่อพลังบำเพ็ญของข้าเพิ่มขึ้น ข้าให้เจ้าออกไปแน่ กระทั่งถ้าพวกเราอยู่ร่วมกันได้ ข้ายังสามารถสร้างร่างกายให้เจ้าได้ด้วย…
“เจ้าก็รู้ว่าตอนที่ข้าเกิดมีดวงชะตาของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์มารวมกัน ลิขิตฟ้ากลายเป็นผลึกเคียงกาย ดังนั้นในตัวข้าไม่มีทางทำให้สถานะเทพเจ้าของเจ้าต้องอับอายแน่ อีกทั้งอนาคตของข้าก็มีคุณสมบัติที่จะสร้างร่างกายให้กับเจ้าจริงๆ”
“ข้า…ข้า…ไม่…” จิตใต้สำนึกเทพเจ้ายิ่งไม่สมประกอบมากขึ้น
เสียงของสวี่ชิงอ่อนโยนขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
“ไม่ต้องดิ้นรนแล้ว ถ้าเจ้ายังดิ้นรนต่อไป ข้าตายเจ้าก็จะถูกกลืนกิน ในฐานะเทพเจ้า การถูกเทพเจ้าอีกตนกลืนกินทั้งเป็น เจ้าก็น่าจะรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดนั้น ถูกกัดทึ้งทั้งเป็น กลายเป็นชิ้นก็ถูกกลืนลงไป เจ้าอยากจะกลายเป็นอาหารหรือ”
“ไม่…ข้า…”
“ใช่แล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าก็ไม่อยาก ดังนั้นไม่ต้องดิ้นรนหรอก อยู่ในตัวข้าอย่างสบายใจเถิด หลังจากนี้พวกเรายังมีความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัด
“เจ้าอยากจะมีชีวิต หรือว่าอยากจะตายกันเล่า” สวี่ชิงถามประโยคสุดท้าย
“มีชีวิต…ข้า…” จิตสำนึกของนิ้วเทพเจ้าแผ่ความสงสัยออกมา
“ข้ารับปากเจ้า!” เสียงของสวี่ชิงฉายแววหนักแน่น
“รีบไปพักผ่อนเถิด ยกให้เป็นหน้าที่ข้า ข้าจะช่วยเจ้าเอง” ขณะที่จิตเทพที่อ่อนโยนของสวี่ชิงแผ่ซ่าน ทะเลความรู้สึกก็มีรอยแยกหนึ่งลามออกมา วังสวรรค์วังที่สิบที่กลายเป็นเขตติงหนึ่งสามสองก็เปิดออก
“ไปเถอะ ที่นั่นเจ้าจะรู้สึกคุ้นเคย ไปพักผ่อน ไปพักผ่อนเสีย…”
จิตใต้สำนึกนิ้วเทพเจ้าก็ยิ่งสงสัย กวาดตามองเขตติงหนึ่งสามสองตามสัญชาตญาณ ที่นั่นทำให้องค์ท่านรู้สึกคุ้นเคยจริงๆ จึงเคลื่อนตัวไปช้าๆ จนมาถึงหน้าเขตติงหนึ่งสามสองก็หยุดชะงัก รู้สึกวิตกกังวลขึ้นมา
“ไม่ต้องคิดมาก คิดมากเจ้าก็วิตกไปเอง เชื่อข้า…ข้าช่วยสร้างร่างกายให้เจ้า ข้าจะส่งเจ้าออกไป!” สวี่ชิงเอ่ยอย่างหนักแน่น
จิตใต้สำนึกนิ้วเทพเจ้าเกิดระลอกคลื่นขึ้นมา แต่สุดท้ายก็ค่อยๆ เข้าไปในเขตติงหนึ่งสามสอง ไปยังที่ที่เป็นห้องขังนับสิบห้องเชื่อมต่อกันที่ตนเคยอยู่ กลายเป็นนิ้วมือสีเลือดขนาดยักษ์นิ้วหนึ่ง ค่อยๆ หลับใหล
ทว่าสวี่ชิงที่เพิ่งถอนใจโล่ง จู่ๆ เขตติงหนึ่งสามสองก็สั่นสะเทือน
นิ้วเทพเจ้าส่งความคิดออกมา
“ยังขาด…คน…”
“อีกเดี๋ยวพวกเขาจะไปอยู่กับเจ้า” สวี่ชิงเอ่ยรับประกัน
ตอนนี้เอง โลกภายนอกเป็นช่วงพลบคำ ขณะที่แสงสีแดงแผ่ซ่าน เขาประกายอรุณที่อยู่ห่างจากร่างกายสูงใหญ่สามร้อยจั้งของสวี่ชิงระดับหนึ่ง เวลานี้กำลังตกอยู่ในวิกฤตอันตราย
แรงกดดันวูบหนึ่ง ค่ายกลภายนอกสิบกว่าจุดบิดเบี้ยวอย่างรุนแรงในเขาประกายอรุณกำลังพังถล่มลงมา ถูกหนามแหลมสีดำที่มาจากโลกภายนอกแทงทะลุ
ด้านนอกค่ายกล เห็นผู้บำเพ็ญต่างเผ่านับไม่ถ้วนแต่ละคนสีหน้าโหมเหี้ยมมาพร้อมกับความละโมบ ในบรรดานี้มีอยู่ไม่น้อยที่เป็นพวกนักโทษของกรมราชทัณฑ์
พวกเขาถูกเรียกมารวมกันที่นี่ในตอนนี้ มารวมตัวกันจากทั่วสารทิศ ล้อมโจมตีเขาประกายอรุณ
“เขาประกายอรุณต้องมีสมบัติมากมายแน่นอน ตอนนี้ผู้ครองกระบี่อยู่แนวหน้ากันหมด ไม่มีเวลาสนใจทางนี้ เหล่าสหายเต๋าเอ๋ย นี่เป็นโอกาสล้างแค้นของพวกเราแล้ว!
“เจาะค่ายกล สังหารโถงครองกระบี่ สังหารผู้ครองกระบี่ ปล้นที่นี่ให้เกลี้ยง นอกจากนี้ข้ายังรู้สึกสนใจเขาแห่งนี้ด้วย ทุกคนลองดูได้ว่าจะทำลายมันได้หรือไม่!
“ถูกต้อง ทำให้นับจากนี้มณฑลประกายอรุณไม่มีเขาประกายอรุณอีกต่อไป เช่นนี้ถึงจะเป็นการใหญ่ ฮ่าๆ!
“ทุกคนไม่ต้องกังวลเรื่องการล้างแค้น เผ่ามนุษย์ในเขตปกครองผนึกสมุทร…ครั้งนี้ถูกกำหนดให้ต้องล่มสลายแน่นอน!”
“ส่วนโถงครองกระบี่ที่อื่นก็กำลังถูกล้อมโจมตี นอกจากนี้ข้าจะบอกข่าวดีกับทุกคนเรื่องหนึ่ง ข้าเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าสนามรบสองแห่งทางตะวันตกและทางเหนือของเขตปกครองผนึกสมุทรเผ่ามนุษย์กำลังขอความช่วยเหลือเร่งด่วน จะพังพินาศย่อยยับอยู่รอมร่อแล้ว
“เปิดค่ายกล สังหารผู้ครองกระบี่ทั้งหมด ทำลายเขาประกายอรุณให้พินาศ!”
เสียงคำรามเหมือนภูตผีปีศาจกำลังสะท้อนก้องอยู่ด้านนอกค่ายกลไม่หยุด จิตสังหารโถมขึ้นฟ้าจากผู้บำเพ็ญต่างเผ่านับไม่ถ้วน
เสียงครืนครันยังดังขึ้นต่อเนื่องไม่หยุด แสงวิชาเวทหลายสายพร้อมกับอาวุธเวทขนาดยักษ์อีกบางส่วน กำลังโจมตีค่ายกลเขาประกายอรุณ ทำให้ยิ่งบิดเบี้ยวมากขึ้น ระลอกคลื่นพลังรุนแรง
ด้านในเขาประกายอรุณ ผู้ครองกระบี่ที่เหลืออยู่หลายสิบคนนั้น ตอนนี้สีหน้าแต่ละคนล้วนมาพร้อมกับคำสาบานว่าจะตาย มองไปยังเบื้องหน้าพวกเขา ผู้ครองกระบี่ปราณก่อกำเนิดเพียงหนึ่งเดียวคนนั้น
“ปกป้องที่นี่ อยู่ด้วยกันตายด้วยกัน!” ผู้ครองกระบี่ปราณก่อกำเนิดคนนั้นเงยหน้ามองไปทางสนามรบเขตปกครองผนึกสมุทรที่ไกลออกไป เอ่ยเสียงแผ่ว
แม้เสียงจะแผ่วเบา แต่กลับมีความแน่วแน่อยู่ในนั้น