ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 49 หยดเลือดแห่งเทพเจ้า
บทที่ 49 หยดเลือดแห่งเทพเจ้า
หนึ่งคืนผ่านไป
แม้แสงอรุณจะไม่ร้อนแรงเหมือนช่วงกลางวัน แต่ก็ยังคงลอดผ่านหน้าต่างห้องเข้ามา
เหมือนไม่สนใจว่าเจ้าจะยอมรับหรือไม่ ขอแค่เจ้าไม่หลบไปอยู่ใต้ชายคา มันก็จะสาดลงมาบนพื้นและบนตัวโดยไม่ยอมให้ต่อต้านขัดขืน
ใช้ความอบอุ่นปลุกผู้คนที่ยังหลับไหลทั้งหมด
สวี่ชิงค่อยๆ ลืมตาขึ้น
มองแสงนอกหน้าต่าง ร่างของเขาเหมือนจะสูดรับการเพรียกหาท่ามกลางแสงตะวันได้ ขณะเลือดลมไหลเวียน สวี่ชิงลุกยืน
หลังจากอุ่นร่างกายก็ผลักประตูเปิด มองอย่างระมัดระวังไปด้านนอกไกลๆ
ในเมืองหลังฟ้าสาง แตกต่างจากยามราตรีอย่างสิ้นเชิง
ร้านอาหารเช้าทยอยเปิดขาย ร้านรวงต่างๆ ก็เช่นกัน กลุ่มคนค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น แต่ยังคงเย็นชาและเร่งรีบตามเดิม เหมือนว่าทุกคนกำลังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาล
ทว่าบางครั้งก็ยังได้ยินเสียงเด็กอ่านหนังสือลอดมาจากกำแพงสูงบางแห่ง เสมือนเป็นตัวแทนของความเป็นระเบียบเรียบร้อยระดับหนึ่งที่ยังมีอยู่ในเมืองหลักแห่งนี้
สวี่ชิงที่เดินอยู่บนถนนคิดถึงสมุนไพรดอกสองชีพที่ปรมาจารย์ไป่เคยแนะนำขึ้นมา เป็นสมุนไพรประหลาดที่เติบโตอยู่ในแสงสว่างและความมืดร่วมกัน จะแยกจากกันมิได้
“บางที นี่คงจะเป็นสภาพปกติของเมืองใหญ่กระมัง”
เด็กมักจะยอมรับสิ่งใหม่ๆ ได้ดีกว่าผู้ใหญ่เสมอ
จุดนี้ก็แสดงออกมาบนตัวสวี่ชิงได้เป็นอย่างดี ผ่านไปไม่นาน เขาก็รับเรื่องทั้งหมดนี้ได้ กินข้าวเช้าง่ายๆ และสอบถามเรื่องเวลาเข้ารับการทดสอบเข้าสำนัก
ผู้คนในเมืองก็ใช่ว่าไม่คุ้นเคยเรื่องการทดสอบเข้าสำนัก หลังจากรู้ว่าการทดสอบของทุกวันอยู่ในช่วงกลางวันและตำแหน่งที่จัดตั้งแล้ว สวี่ชิงจึงใช้เวลาช่วงเช้าคอยสังเกตในเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตแห่งนี้ นี่เป็นความเคยชินของเขา
และหลังจากสังเกต สวี่ชิงก็เข้าใจโครงสร้างเมืองหลักแห่งนี้บ้างแล้ว เพียงแต่เวลาน้อยเกินไป และเมืองหลักนี้ก็ใหญ่เสียเหลือเกิน ใหญ่กว่าฐานที่มั่นคนเก็บกวาดนับหมื่นเท่า และยังมีบางพื้นที่ที่หากไม่ใช่ศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็ไม่อาจย่างกรายเข้าไปได้ด้วย
ดังนั้นจึงสำรวจทั้งหมดได้ยากในช่วงเวลาสั้นๆ
แต่เขาก็พบถนนสายหนึ่งที่ทอดยาวไปถึงประตูเมือง หลังจากยืนยันสิ่งปลูกสร้างบนถนนแล้ว สวี่ชิงมองสีท้องฟ้า จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังจุดทดสอบที่เขาสำรวจมา
สถานที่ทดสอบเข้าสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ตั้งอยู่ที่ทิศใต้ชายขอบเมือง ตีนเขาสัจธรรม
ส่วนที่อยู่ใต้ลงไปอีกคือยอดเขายักษ์ทั้งเจ็ดของเจ็ดเนตรโลหิต มองไกลๆ มีเส้นทางภูเขาคดเคี้ยวเจ็ดสาย ลากยาวพาดผ่านความเขียวขจีไปยังยอดเขาที่แตกต่างกัน
ที่นี่มีลานกว้างขนาดยักษ์แห่งหนึ่งที่เวลานี้รอบด้านมีม่านแสงปกคลุมกั้นแยกคนนอกเอาไว้ มีเพียงผู้ที่ถือป้ายแนะนำเท่านั้นถึงสามารถเดินเข้าไปได้
ตอนสวี่ชิงมาถึงรอบๆ ลานกว้างมีคนรออยู่หลายสิบคนแล้ว คนเหล่านี้อายุอยู่ที่สิบเจ็ดสิบแปดปี มีทั้งสวมชุดธรรมดาและหรูหรา มีทั้งสะอาดสะอ้านและสกปรกมอมแมมเหมือนสวี่ชิง
พวกเขาล้วนถือป้ายแนะนำ มาจากสถานที่ต่างๆ เพื่อทำรับการทดสอบกันทั้งสิ้น
ใจกลางลานกว้างยังมีผู้บำเพ็ญกลางคนสามคนยืนอยู่ตรงนั้น คลื่นพลังวิญญาณบนตัวทุกคนล้วนอยู่ในระดับที่น่ากลัว เหมือนจะแกร่งกว่าบรรพชนสำนักวัชระอยู่เล็กน้อยอีกด้วย
พวกเขาพูดคุยหัวเราะพลางรอเวลาเริ่มการทดสอบ แต่บางครั้งยังมีสายตาสอดส่องศิษย์รอบๆ เหมือนกำลังชั่งน้ำหนักในใจ
ภาพนี้ยิ่งทำให้สวี่ชิงระแวดระวังมากขึ้น
เขาไม่ถนัดเข้าสังคม ดังนั้นจึงมองหาจุดหนึ่งเงียบๆ ที่ไม่ห่างจากกลุ่มคนนัก และก็ไม่ได้ใกล้จนเกินไป ระหว่างยืนรออยู่ตรงนั้น เขาก็สังเกตเห็นว่าคนที่มาทดสอบเหมือนตนเองที่อยู่รอบๆ ส่วนใหญ่ร่างกายมีพลังบำเพ็ญอยู่ระดับหนึ่ง
โดยเฉพาะเด็กหนุ่มชุดสีน้ำเงินคนหนึ่งในนั้น ในมือเขาถือพัด ขณะที่สวมเสื้อผ้าหรูหรา ใบหน้าก็หล่อเหลามากเช่นกัน ระหว่างที่ยกมือยกไม้หัวร่อต่อกระซิก ก็ดึงดูดให้ผู้ทดสอบคนอื่นรอบๆ เข้ามารวมตัวกัน
“จะอธิบายให้ทุกท่านฟังเสียรอบหนึ่งแล้วกัน
“พื้นที่ทั้งเจ็ดของเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตนั้นแบ่งกันขึ้นตรงกับยอดเขาทั้งเจ็ด และยอดเขาทั้งเจ็ดนี้ก็มีความถนัดเชี่ยวชาญที่แตกต่างกันเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
“ตัวอย่างเช่นยอดเขาลำดับเจ็ด คอยควบคุมพื้นที่ท่าเรือ พลังอำนาจล้นเหลือ วิชาเองก็เป็นเอกลักษณ์ ดังนั้นพลังต่อสู้ของศิษย์สำนักจึงน่าตกตะลึง ถือเป็นสหายกับทะเลต้องห้ามเนื่องจากมีการออกเดินทางไกลตลอดทั้งปี
“และอีกตัวอย่างก็คือยอดเขาลำดับหนึ่ง เป็นดั่งคมดาบของสำนัก ส่วนใหญ่จะใช้พื้นที่ต้องห้ามปักษาราชันเป็นที่เรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์ ดังนั้นทั้งการต่อสู้และพลังบำเพ็ญจึงโหดเหี้ยมอย่างยิ่ง พวกเขาออกทะเลน้อยครั้ง ส่วนมากจะใช้พื้นที่ต้องห้ามเป็นสุสาน ไล่ล่าสังหารและดับสูญอยู่ที่นั่น
“สองยอดเขานี้ ถือเป็นเรือธงของเจ็ดเนตรโลหิต ทุกปีคนที่จะเข้ามาฝากตัวเป็นศิษย์มีมากมายมหาศาล แต่ว่าสองยอดเขานี้เข้มงวดมาก ใช่ว่าเจ้าเป็นคนเลือกมัน แต่มันต่างหากที่เลือกเจ้า หากไม่ใช่คนที่ถือป้ายแนะนำเฉพาะ ไม่มีทางเข้าได้
“ส่วนยอดเขาอื่น แม้จะต้องมีป้ายแนะนำด้วยเช่นเดียวกัน แต่กลับเป็นการเลือกจากทั้งสองฝ่าย ทุกคนที่ผ่านการทดสอบล้วนสมัครเข้าไปได้ ในสำนักยอดเขาลำดับหกถนัดเรื่องหลอมอาวุธ ยอดเขาลำดับที่ห้าวิถีค่ายกล ยอดเขาลำดับสี่ควบคุมสัตว์ ยอดเขาลำดับสามวิชาเวท ยอดเขาลำดับสองถนัดวิถียาลูกกลอน
“แต่ไม่ว่าจะฝากตัวเขากับยอดเขาใด ถ้ายังไม่ใช่ระดับสร้างฐาน ยังไม่เคยได้รับสิทธิ์รายได้ของเจ็ดเนตรโลหิต ก็จะใช้ชีวิตอย่างโหดร้าย นอกเสียจากพวกเจ้าเป็นคนที่มีป้ายแนะนำศิษย์หลัก…ส่วนเรื่องโหดร้ายอย่างไร รอจนสอบผ่านก่อน พวกเจ้าก็จะเข้าใจกันเอง”
ขณะที่เด็กหนุ่มยิ้มพลางแนะนำผู้รับการทดสอบรอบด้านก็คอยลอบสังเกตพวกเขาด้วยเช่นกัน หลังจากสวี่ชิงที่อยู่ไม่ไกลนักได้ยินเรื่องเหล่านี้ก็สนใจคำว่าโหดร้ายในคำพูดอีกฝ่ายรวมไปถึงสิทธิ์รายได้ของเจ็ดเนตรโลหิตสองคำนี้ขึ้นมา ประโยคก่อนหน้าเขาสามารถเข้าใจจากความหมายได้ แต่ประโยคด้านหลังยังไม่ค่อยเข้าใจนัก ในใจเต็มไปด้วยข้อสงสัย แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลามานั่งคิด
เขาตอนนี้กำลังพิจารณาว่ายอดเขาใดเหมาะกับตนเอง
“ข้าคุ้นเคยกับพื้นที่ต้องห้าม…” สวี่ชิงรู้สึกว่ายอดเขาลำดับหนึ่งเหมาะสมกับตนเอง แต่ก็ไม่รู้ว่าป้ายแนะนำของตนเองจะมีคุณสมบัติหรือไม่
ตอนที่เขาครุ่นคิดนี้เอง บนยอดเขาทั้งเจ็ดที่ห่างออกไปก็มีเสียงระฆังดังก้องกังวาน
ผู้บำเพ็ญกลางคนสามคนในลานกว้างก็เลิกคุยกัน สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
หนึ่งในนั้นกวาดตามองมายังผู้รับการทดสอบหลายสิบคนด้านนอก เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“เงียบ!”
เมื่อคำพูดนี้ส่งออกมา แม้เสียงไม่ได้ดังมาก แต่ก็ราวกับสายฟ้าอัสนีก้องดังเข้าไปในหูของกลุ่มคน
เด็กหนุ่มชุดสีน้ำเงินเงียบเสียงลง คนอื่นๆ ก็ต่างตึงเครียด มองไปทางผู้บำเพ็ญกลางคนที่กำลังพูด
สวี่ชิงสีหน้าเรียบเฉยอยู่ข้างๆ เงยหน้ามองไป
“เวลาทดสอบมาถึงแล้ว มีทั้งหมดสามด่าน คนที่ผ่านทั้งหมดจะได้รับแต้มอุทิศหนึ่งพัน และคนที่อยู่ในลำดับที่หนึ่งก็จะได้รางวัลมากยิ่งกว่า บททดสอบด่านแรกคือ ระดับไอพลังประหลาดในร่างกาย!”
“ตอนนี้ขึ้นมาทีละคน ยื่นป้ายแนะนำของพวกเจ้าออกมา จากนั้นก็ขานชื่อ ห้ามปิดบัง คนที่ไม่ทำตามหากตรวจพบจะถือว่ามีความผิดร้ายแรง!”
ชายหนุ่มชุดน้ำเงินคนนั้นกลอกตาตามการเอ่ยของผู้บำเพ็ญ เดินขึ้นไปลานกว้างเป็นคนแรก ส่งป้ายแนะนำในมือ เอ่ยขึ้นด้วยเสียงดัง
“ข้าน้อยโจวชิงเผิง คารวะผู้อาวุโส”
เสียงเขาดังกังวาน พอเข้าไปถึงหูผู้บำเพ็ญกลางคนทั้งสาม พวกเขาก็ทยอยพยักหน้า
จากนั้นคนที่สองก็ขึ้นไป เพียงไม่นานก็เหลืออยู่หกคน สวี่ชิงเดินขึ้นลานกว้าง ยื่นป้ายแนะนำอย่างเคารพ ลังเลอยู่พักหนึ่ง จึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงต่ำ
“ข้าน้อยสวี่ชิง คารวะผู้อาวุโส”
สวี่ชิงรู้สึกเลื่อนลอยหลังพูดจบประโยคนี้ นานมากแล้วที่เขาไม่ได้บอกชื่อตนเองกับผู้อื่น พูดให้ชัดหน่อยก็คือเกือบจะเจ็ดปีแล้ว
เมื่อสวี่ชิงพูดจบ ก็ก้มหน้าถอยออกมาเงียบๆ
ชายกลางคนสามคนนั้นกวาดตามองป้ายแนะนำของเขาผาดหนึ่ง ไม่ได้ใส่ใจกับเขามากนัก
หลังผู้รับการทดสอบทั้งหมดเสร็จสิ้นขั้นตอนเช่นนี้ การทดสอบด่านแรกก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
การทดสอบที่หนึ่งง่ายมาก ผู้บำเพ็ญกลางคนโบกมือ หินภูเขาสีดำสูงหนึ่งจั้งก้อนหนึ่งก็ปรากฏร่วงโครมลงมาบนลานกว้างจากอากาศ ลมฝุ่นกระพือไปรอบทิศ
“เข้ามาทดสอบทีละคนตามลำดับเมื่อครู่ เอามือแตะลงไปบนนี้ก็พอ”
โจวชิงเผิงขึ้นไปทันที
สวี่ชิงก็สนใจใคร่รู้ หลังจากที่เห็นมือของโจวชิงเผิงแตะไปบนก้อนหิน หินยักษ์สีดำก้อนนั้นก็เปล่งแสงสว่างขึ้น มีภาพร่างมนุษย์ปรากฏขึ้นมาภาพหนึ่ง
ในภาพนี้ มีจุดสว่างขึ้นมาสี่สิบกว่าจุด
“สี่สิบสองจุด ไม่เลว ผ่าน” ผู้บำเพ็ญกลางคนข้างๆ พยักหน้า ตะโกนเรียกคนถัดไป
โจวชิงเผิงสีหน้าภาคภูมิใจ ถอยออกมาสังเกตคนอื่นอย่างใกล้ชิด
เพียงไม่นาน สวี่ชิงก็มองต้นสายปลายเหตุออกบ้างแล้วตามที่กลุ่มคนทยอยเข้าไปทดสอบ
จุดยิ่งเยอะ ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าค่าไอพลังประหลาดในตัวยิ่งมาก ในนี้มีหลายคนที่มากกว่าหนึ่งร้อยถูกประเมินว่าไม่ได้มาตรฐาน
“ข้าน่าจะไม่มีเลยสักจุด…” สวี่ชิงหรี่ตาลง เขาไม่อยากจะเปิดเผยตัวตนภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่เข้าใจอะไรเลยตั้งแต่วันแรก นี่ไม่เข้ากับนิสัยของเขา
แต่การอยู่สายกลางมากเกินไปอาจจะส่งผลกระทบกับการเลือกสำนัก ดังนั้นขณะที่สวี่ชิงครุ่นคิดก็ก้มหน้าลงมองเงาของตนเอง ค่อยๆ ควบคุมทีละเล็กทีละน้อย ทำให้มันหลอมรวมเข้ามาในร่างกาย
และขณะที่เขากำลังดึงเอาไอพลังประหลาดออกมาอย่างต่อเนื่องนี้ รอบด้านก็มีเสียงฮือฮาดังขึ้น
“สามสิบสี่จุด ยอดเยี่ยม!” เสียงผู้บำเพ็ญกลางคนเผยปฏิกิริยาออกมา สวี่ชิงเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหินดำเป็นเด็กสาวที่อายุใกล้เคียงกับเขาคนหนึ่ง
เด็กสาวคนนี้สวมชุดคล้ายๆ เขา ใบหน้าสกปรกมอมแมม เห็นได้ชัดว่าเป็นคนเก็บกวาดเหมือนกัน
นางเหมือนจะตึงเครียดมาก ก้มหน้าลงไม่กล้ามองคน หลังจากคารวะผู้บำเพ็ญกลางคนแล้วก็เดินออกมาอย่างรวดเร็ว
‘เหมือนนางจะชื่อหลี่จื่อเหมย’ สวี่ชิงคิดชื่อของอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ออก ถอนสายตาแล้วเดินไปด้านหน้า จนมาถึงหินเขายกมือขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยแตะลงไปบนนั้น
ในภาพร่างคนที่ลอยออกมา จุดแสงนับสิบค่อยๆ ปรากฏขึ้นจากแสงที่เปล่งจ้า เหมือนดูไม่ค่อยมั่นคงนัก แต่ก็ยังส่องสว่าง
“สี่สิบสามจุด ไม่เลว ผ่าน” ผู้บำเพ็ญกลางคนกวาดตามอง พยักหน้า
สวี่ชิงรีบร้อนเก็บมือขวา เดินไปด้านข้าง เมื่อครู่เขาสะกดร่างกายไว้ ไม่ยอมให้เงาดูดไอพลังประหลาดกลับไป เวลานี้หลอมรวมกลับเข้าไปในเงาไม่เหลือ
สี่สิบสามจุด ผลงานนี้ไม่ถือว่ายอดเยี่ยม แต่ก็ไม่แย่นัก สวี่ชิงรู้สึกว่าใช้ได้แล้ว
และอันที่จริงเองก็เป็นเช่นนั้น ในบรรดาผู้รับการทดสอบหกสิบกว่าคน คนที่มีจุดน้อยกว่าห้าสิบมีเพียงสิบเก้าคน และคนที่มากกว่าหนึ่งร้อย มีถึงยี่สิบคน
ยี่สิบคนเวลานี้ถ้วนหน้าซีดเผือด
“สามด่านทดสอบ จะคิดผลคะแนนรวม การทดสอบด่านที่สองจะทดสอบปณิธานของพวกเจ้า ตอนนี้ให้ทั้งหมดนั่งลงขัดสมาธิ” คนที่พูดเป็นอีกคนหนึ่งจากในกลุ่มผู้บำเพ็ญกลางคนทั้งสาม คนผู้นี้รูปหน้ายาว สีหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงแหบพร่า
ตอนคำพูดนี้ดังขึ้น ทุกคนก็ทยอยนั่งลงขัดสมาธิ หลังจากที่สวี่ชิงนั่งลงท่ามกลางกลุ่มคน ก็เงยหน้าไปมองชายกลางคนรูปหน้ายาว เขาอยากรู้ว่าจะทดสอบปณิธานอย่างไร
จังหวะที่เขามองไป ชายกลางคนรูปหน้ายาวก็โบกมือ ล้วงเอาขวดโลหะสีเงินใบหนึ่งออกมา ด้านบนสลักอักขระไว้มากมาย ดูโบราณเก่าแก่ ขณะเดียวกันก็แฝงไว้ด้วยท่วงทำนองอันเป็นเอกลักษณ์พิเศษ
หลังจากล้วงออกมา เขากับคนข้างๆ สองคน ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นไปอีก
“ในนี้มีเลือดที่ถูกทำให้เจือจางลงมานับครั้งไม่ถ้วนอยู่หยดหนึ่ง ตอนที่กระตุ้นมันจะก่อตัวเป็นพลังคุกคาม ถ้าเจ้าทนไม่ได้ ก็จงกัดลิ้นแล้วสละสิทธิ์เสีย”
เขาพูดจบก็เปิดขวดออก แล้วเทสิ่งที่อยู่ด้านในลงบนก้อนหิน
สวี่ชิงจ้องเขม็ง จากนั้นเขาก็มองเห็นในขวดโลหะมีของเหลวสีทองหยดหนึ่งไหลออกมา ของเหลวนี้ดูข้นมากราวกับกำลังจะก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่าง
พริบตาที่มันหยดลงมาบนก้อนหินขนาดยักษ์สีดำก็เปล่งแสงเจิดจ้า แสงสีทองแผ่ปกคลุมไปทุกทิศทางฉับพลัน เสียงคำรามเสียงหนึ่งราวกับมาจากโบราณกาล ระเบิดออกมาจากจุดที่ของเหลวเลือดสีทองหยดลงไป
เหมือนมีดวงตาขนาดยักษ์ข้างหนึ่งก่อภาพมายาขึ้นรางๆ จากด้านในด้วยการระเบิด
ดวงตานี้ตั้งตรง ด้านในมีหนวดอยู่มากมายนับไม่ถ้วน โบกสะบัดราวกับคิดจะปีนออกมาด้านนอก มหัศจรรย์อย่างมาก ขณะเดียวกันก็ยังมีความศักดิ์สิทธิ์ประดุจเทพเจ้าอยู่ด้วย
ราวกับเป็นเทพเจ้าสูงส่งบนฟากฟ้าจ้องลงมายังสรรพชีวิต จ้องมองมายังผู้คนอย่างเย็นชายิ่ง
ในหัวผู้รับการทดสอบที่นั่งขัดสมาธิอยู่ทั้งหมดล้วนเกิดเสียงครืนครันราวกับฟ้าคะนองกำลังคำรามในหัวขึ้นฉับพลัน
หลายคนสั่นกระตุกอย่างรุนแรงราวกับว่าเลือดเนื้อทั้งร่างสูญเสียการควบคุม ต่างฝ่ายต่างก่อกำเนิดร่าง คิดจะแยกตัวออกมาจากร่างกาย ขณะที่ความรู้สึกถูกฉีกกระชากปรากฏขึ้น สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
อาการสั่นเทาในส่วนลึกของจิตวิญญาณ มาจากวิกฤตแรงกล้าของสัญชาตญาณที่กำลังระเบิดอย่างบ้าคลั่งในใจพวกเขา ทำให้ผู้เข้ารับการทดสอบแต่ละคนเหมือนเสียสติสัมปชัญญะไปในพริบตา มีสามคนถึงกับกระอักเลือด ครวญครางล้มลง
ต่อให้เป็นโจวชิงเผิงหรือหลี่จื่อเหมยก็หน้าซีดเผือด สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เลือดไหลออกทางจมูก ในดวงตาก็เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย
มีเพียงสวี่ชิงที่แม้ตอนนี้ร่างกายจะสั่นเทิ้ม แต่ความสั่นสะเทือนในใจเขากลับแรงกล้ายิ่งกว่า
เพราะ…ดวงตานี้ เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี!
เหมือนกับการลืมตาของเทพเจ้าที่เขามองเห็นบนฟากฟ้าในวันนั้น แม้จะไม่เหมือนทั้งหมด แต่ความรู้สึกที่ถูกสยบด้วยพลานุภาพนี้มันกลับ…
เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน!