ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 490 ได้มาเปล่าๆ อย่างน่าละอาย!
บทที่ 490 ได้มาเปล่าๆ อย่างน่าละอาย!
ในหุบเหวสมุทร สถานที่ยึดครองร่างของนิ้วเทพเจ้าเงียบสงัดไปทั่วทั้งบริเวณ
ไอพลังประหลาดที่นี่เข้มข้นเป็นอย่างมาก ความรู้สึกรางเลือนและบิดม้วนรุนแรงทำให้พื้นที่แถบนี้ค่อยๆ กลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามขึ้นมา
และต้นกำเนิดของพื้นที่ต้องห้ามแถบนี้คือร่างยิ่งใหญ่ที่ยืนตระหง่านอยู่ในที่ลึก
ร่างนี้สูงสามร้อยจั้ง ประดุจเทพมาร
บนร่างของเขาไม่มีเสื้อผ้าใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งคนยืนเนื้อตัวเปล่าเปลือย เมฆหมอกลอยไหลเวียนอยู่รอบๆ ประดุจวัตถุไร้ชีวิต มีเพียงอักขระรางเลือนกะพริบแสงวูบวาบบนผิวที่แผ่กลิ่นอายโบราณเป็นระลอกๆ และสร้างความมีชีวิตให้กับร่างนี้ขึ้นมาเล็กน้อย
และทะลุผ่านหมอกก็จะเห็นร่างแข็งแกร่งกำยำอย่างรางเลือน ทำให้คนรู้สึกเหมือนเผชิญหน้ากับภูเขาลูกยักษ์ ไหล่กว้างใหญ่ปานแบกผืนฟ้าได้ สัดส่วนอันสมบูรณ์แบบตลอดจนกลิ่นอายมหาศาลยิ่งใหญ่ อีกทั้งใบหน้าที่งดงามปานปีศาจ ทุกอย่างนี้อยู่ในหมอกคลุมเครือที่แปรเปลี่ยนมาจากไอพลังประหลาดเต็มไปด้วยความชั่วร้ายแปลกประหลาด
ยิ่งแฝงด้วยแรงดึงดูดอันสุดแสนอันตราย
โดยเฉพาะจากเวลาที่หมุนผ่านไป ร่างที่ประดุจเทพมารร่างนี้ก็ค่อยๆ แผ่ประกายแสงพรายรุ้งออกมา
แสงนี้ในทีแรกยังริบหรี่ แต่ค่อยๆ สว่างพร่างพรายขึ้นเรื่อยๆ จวบจนสุดท้าย แสงประกายรุ้งแผ่ไปทั่วสารทิศ ทำให้เงาร่างเทพมารร่างนี้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา
ทุกอย่างนี้ทำให้ร่างนี้ผสานความชั่วร้ายแปลกประหลาดและความศักดิ์สิทธิ์ผสมผสานกันอย่างลงตัวสมบูรณ์แบบ
จวบจนนานหลังจากนั้น ร่างมหึมาร่างนี้ก็สะท้านเบาๆ เริ่มแยกส่วนออกช้าๆ
เป็นส่วนศีรษะก่อน จากนั้นก็เป็นคอ แล้วเป็นลำตัวและแขนขา คล้ายกับถอดเกราะเช่นนั้น แปรเปลี่ยนเป็นเส้นเนื้อชุ่มเลือดจำนวนนับไม่ถ้วน แล้วกลับมายังภายในร่างนี้ มายังบนร่างของสวี่ชิง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เส้นเนื้อชุ่มเลือดทั้งหมดหลังจากที่ผสานเข้าไปในร่างของสวี่ชิง ร่างเทพมารสามร้อยจั้งก็หายไป สวี่ชิงที่ยืนอยู่ตรงนั้นดวงตาทั้งสองพลันลืนขึ้น ฉายความงุนงงสับสนออกมา ทุกอย่างก่อนหน้านี้ล้วนเกิดขึ้นในทะเลความรู้สึก ตอนนี้กลับสู่สภาพเดิม คล้ายตื่นจากฝัน
ในพริบตาที่ดวงตาทั้งสองลืมขึ้น ก็กระอักเลือดสีดำออกมาจากปาก
แต่กลับไม่มีร่องรอยได้รับบาดเจ็บใดๆ กลับมีความรู้สึกทั่วทั้งร่างโปร่งโล่ง แผ่ซ่านไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย ยิ่งมีพลังกายเนื้อที่แข็งแกร่งก่อนหน้านี้อย่างมหาศาลเป็นระลอกๆ ไหลเวียนไปทั้งร่างสวี่ชิงในเสี้ยวขณะนี้
ภายใต้การปะทุอย่างไม่หยุด สวี่ชิงลมหายใจหอบถี่เล็กน้อย ความสับสนงุนงงในดวงตาก็แปรเปลี่ยนมากระจ่างแจ้งอย่างรวดเร็ว
“ร่างของข้า…” สวี่ชิงก้มหน้า หลังจากสัมผัสร่างกายอยู่ครู่หนึ่ง จิตใจของเขาก็สะท้านเล็กน้อย
ร่างนี้ทำให้เขารู้สึกในความคุ้นเคยมีความแปลกใหม่ ตอนนี้เงียบนิ่งไปสามสี่อึดใจ ในดวงตาของเขาฉายประกายวาววาบ พลันไหวตัววูบพุ่งไปข้างหน้า ทะยานไปจากที่เดิม เกิดเป็นเสียงแหวกอากาศกรีดหวีด เพียงพริบตาก็มาปรากฏตัวห่างออกไปหลายร้อยจั้ง
ความเร็วเช่นนี้น่าตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก
และบริเวณที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้ ตอนนี้ยังมีรอยเงาอีกทางหนึ่งกำลังสลายไปอย่างช้าๆ
“ความเร็วของข้า…” สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
เขาสัมผัสได้ว่าความเร็วของกายเนื้อเพิ่มขึ้นกว่าในอดีตสามเท่า
สวี่ชิงดวงตาฉายประกายประหลาด มือขวากำหมัดชกไปข้างหน้า
หมัดนี้ซัดลงมา ทั้งๆ ที่ไม่มีระลอกคลื่นวิชาเวทใดๆ เป็นเพียงแค่พลังกายเนื้อเท่านั้นก็ทำให้อากาศข้างหน้าเกิดเป็นคลื่นวน ท่ามกลางเสียงครืนครันที่ปะทุขึ้น ลมพายุกลุ่มหนึ่งก็ระเบิดออกไปรอบๆ ข้างหน้าของเขา ทุกที่ที่พัดกวาดผ่าน ทุกอย่างรอบๆ ล้วนพังถล่มทลาย
รูม่านตาสวี่ชิงหดเล็ก ในใจเกิดระลอกคลื่นลูกมหึมา เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าร่างของตัวเองแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างมหาศาล
ไม่ใช่แค่ความเร็วกับพลังยกระดับขึ้นอย่างมาก แม้แต่ระดับความแข็งแกร่งก็เช่นกัน ความสามารถในการต้านทานการโจมตีเทียบกับก่อนหน้านี้ก็เหมือนจะแตกต่างเช่นกัน
เหมือนว่าในช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ ร่างนี้ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่พลิกฟ้าพลิกปฐพี
นั่นเป็นการเปลี่ยนแปลงระดับกายเนื้อ
สวี่ชิงหัวใจเต้นรัว เสียงตุบๆ เป็นระยะๆ ดังมาจากหน้าอกของเขา ในขณะที่ดังก้องไปทั่งทุกสารทิศ เขาก็แผ่ลูกกลอนพิษต้องห้ามของตัวเองให้มันแผ่ไปทั้งร่าง ทดลองระดับการทนรับต่อพลังเทพของร่างนี้
ไม่นานนักสวี่ชิงก็พบว่าพิษต้องห้ามกับร่างของตนร่างนี้ไหลเวียนไม่ติดขัดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
แต่ก่อนในยามที่เขาสำแดงพิษต้องห้าม ในร่างของเขาความจริงแล้วก็จะถูกกัดกินด้วย เพียงแต่อาศัยการต้านทานและการควบคุม ทำให้การกัดกินนี้ไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น รวมกับการฟื้นฟูของผลึกวารีสีม่วงก็เกิดการสมดุล
แต่ตอนนี้เขาสัมผัสร่างนี้ของเขา ก็รับรู้อย่างชัดเจนว่าเรื่องนี้แทบจะหายไปหมดแล้ว
ร่างในตอนนี้เหมาะกับการที่เขาสำแดงพลังพิษต้องห้ามยิ่งกว่าเดิม
สวี่ชิงจิตใจเกิดระลอกคลื่น ทดลองพระจันทร์สีม่วงด้วย พบว่าร่างนี้ในด้านการสำแดงพระจันทร์สีม่วงการแบกรับก็ได้มากขึ้นเช่นกัน
เหมือนว่าร่างนี้ เดิมก็เตรียมมาเพื่อรองรับพลังเทพเจ้า
“ร่างเทพ…” สวี่ชิงพึมพำ ในสมองมีคำนี้ผุดขึ้นมา
จากนั้นเขาก็ทยอยสำแดงเคล็ดวิชาอื่นๆ หลังจากพิสูจน์แต่ละวิชาแล้ว สุดท้ายสวี่ชิงก็มั่นใจว่า การเปลี่ยนแปลงกายเนื้อของตัวเองครั้งนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงทุกด้าน
การเปลี่ยนแปลงประเภทนี้ ทำให้จิตใจของเขาตื่นเต้นลิงโลดเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็รู้สึกเหมือนได้มาเปล่าๆ นิดๆ แต่ไม่นานนักเขาก็โยนความคิดนี้ทิ้ง เอ่ยพึมพำเบาๆ
“นี่เป็นสิ่งที่ข้าเสี่ยงอันตรายอย่างใหญ่หลวงคว้าเอามา!
“อีกทั้งสภาวะนี้ น่าจะยังไม่ใช่ร่างเทพเจ้าที่แท้จริง…” สวี่ชิงนึกย้อนถึงร่างเปลือกนอกขนาดสามร้อยจั้งในความจำสัมผัสรับรู้ก่อนที่ตนจะตื่นขึ้น แล้วมองภายในร่างตอนนี้ เขาสัมผัสได้ว่าในเลือดเนื้อมีเส้นสีทองจำนวนมหาศาล
เส้นสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านี้แผ่ลามไปทั่วทุกที่ในร่างกายเขา ทุกเส้นล้วนแฝงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ ภายใต้การสัมผัสรับรู้ของสวี่ชิง พวกมันไม่มีอันตรายอีกทั้งยังสามารถควบคุมได้
เพียงแต่แหล่งกำเนิดการควบคุมไม่ใช่พลังเวทและพลังบำเพ็ญ มีเพียงพลังพิษต้องห้ามและพลังต้นกำเนิดเทพพระจันทร์สีม่วงเท่านั้นถึงจะสามารถควบคุมมันได้
แต่กลับทำไม่ถึงขั้นให้เส้นสีทองเหล่านี้ออกไปจากร่างกาย ประกอบเป็นเปลือกนอกอย่างก่อนหน้านี้ไม่ได้
‘ดูจากเช่นนี้แล้ว ร่างเปลือกนอกสามร้อยจั้งก่อนหน้านี้ถึงจะเป็นร่างเทพที่แท้จริง แต่น่าเสียดายข้าในตอนนี้ไม่สามารถทำได้ถึงขั้นให้มันประกอบขึ้นมาได้…” สวี่ชิงพึมพำในใจ เขารู้ว่านี่เป็นเพราะพลังเทพในร่างของตัวเองยังไม่เพียงพอ
‘นี่คือร่างที่นิ้วเทพเจ้าเตรียมไว้ให้ตัวเอง’ จิตเทพของสวี่ชิงกวาดไปในวังสวรรค์วังที่สิบในทะเลความรู้สึก
ในห้องขังติงหนึ่งสามสอง นิ้วสีเลือดอยู่ตรงนั้นอย่างโดดเดี่ยว กำลังหลับใหล
คล้ายว่าเนื่องจากที่นี่ช่างเดียวดายนัก ดังนั้น องค์ท่านจึงหลับไม่สนิท สั่นสะท้านเล็กน้อยบ้างเป็นบางครั้ง
‘น่าเสียดายที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่วันหนึ่ง ข้าจะควบคุมผลึกวารีสีม่วงทำการสะกดมันโดยสมบูรณ์ ควบคุมเหมือนกับเจ้าเงา’
สวี่ชิงไม่ได้ถูกคำพูดที่พูดกับนิ้วก่อนหน้านี้ตีกรอบความคิด เรื่องนี้อาจารย์ของเขาเคยสั่งสอนด้วยตัวเอง ตอนนั้นพวกเขาไปยังสำนักมากมายหลายแห่ง แอบไปศึกษาเคล็ดวิชาลับ ในตอนที่จากไป นายท่านเจ็ดให้สวี่ชิงคารวะ บอกว่าแบบนี้ก็นับว่าคืนน้ำใจตามมารยาทแล้ว วันหน้าหากพบกันในฐานะศัตรู ก็สามารถลงมือสังหารได้อย่างวางใจ
ตอนนี้ก็เช่นกัน
สวี่ชิงรู้สึกว่าสิ่งที่อาจารย์พูดมีเหตุผล จึงประสานหมัดโค้งคารวะไปข้างหน้า
แม้ข้างหน้าจะไม่มีอะไร มีเพียงแค่หมอกเท่านั้น แต่สวี่ชิงรู้ดีว่าเรื่องบางอย่างมีความจริงใจก็ศักดิ์สิทธิ์ หลักๆ คือดูที่ความจริงใจ
ตัวเองจริงใจ เช่นนั้นต่อให้ข้างหน้าเป็นความว่างเปล่าผืนหนึ่ง แต่ก็เท่ากับว่าคารวะขอบคุณนิ้วเทพเจ้าแล้ว
ตรรกะนี้เป็นนายท่านเจ็ดสอนสวี่ชิง สวี่ชิงรู้สึกว่าถูกต้องมากๆ
แต่ว่าเพื่อให้อีกฝ่ายหลับได้สนิทยิ่งขึ้น สวี่ชิงหลังจากโค้งคารวะแล้วก็มองไปรอบๆ
หลังจากสัมผัสเล็กน้อย ร่างของเขาก็ไหววูบหายไปจากที่เดิม แปลงเป็นรอยเงามาปรากฏที่ไกล
บนพื้นตรงนั้นมีม้วนภาพวาดเก่าออกเหลืองผืนหนึ่ง
คนสี่รุ่นอยู่พร้อมหน้าในภาพวาดเมื่ออดีต ตอนนี้เหลือเพียงชายชราคนเดียวเท่านั้น สีหน้าของเขาตื่นตระหนกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง แต่เขาไม่โดดเดี่ยว เพราะแม้จะเหลือเพียงเขาคนเดียว แต่ข้างกายยังมีอสูรสมุทรบรรพกาลตัวหนึ่ง กำลังอ้าปากกว้างไปทางเขา
มองภาพวาดภาพนี้ ดวงตาสวี่ชิงเปลี่ยนมาเย็นชา มือขวายกขึ้นคว้าข้ามอากาศ ทันใดนั้นม้วนภาพวาดก็ลอยขึ้นจากพื้น ในยามที่ลอยมาอยู่ในมือสวี่ชิง อสูรสมุทรบรรพกาลที่อยู่ในนั้นก็สัมผัสรับรู้ได้ ลอยออกมาจากในภาพวาดอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ส่งเสียงคำรามมาหาสวี่ชิง มันก็เรอออกมา พุ่งเข้าไปในร่างสวี่ชิง กลับไปในวังสวรรค์วังที่หก
“ไสหัวออกมา!” สวี่ชิงมองภาพข้างหน้าอย่างเย็นชา เอ่ยราบเรียบ
อสูรสมุทรบรรพกาลในวังสวรรค์วังที่หกสะท้านเฮือก แต่ก็ค้นพบอย่างรวดเร็วว่าประโยคนี้ไม่ได้พูดกับตัวเอง จึงสงบลง
ส่วนชายชราในภาพ ตอนนี้ตัวสั่นยิ่งกว่าเก่า ไม่กล้าขัดขืน พุ่งออกมาจากในภาพอย่างรวดเร็ว หลังจากแปลงเป็นมนุษย์ก็ลอยอยู่ข้างหน้าสวี่ชิง มองสวี่ชิงด้วยความตื่นกลัวเต็มใบหน้า
ร่างสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ หน้าผากมีเหงื่อผุดพราย ในดวงตาฉายแววแตกตื่นตกใจ
“ท่าน…ท่านคือเทพผู้สวรรค์คัดเลือกหรือผู้ดูแลขอรับ” ชายชราเผ่าจิตรกรรมสั่นสะท้าน เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
เขาแยกไม่ค่อยออกว่าคนข้างหน้าเป็นใครกันแน่
สวี่ชิงใบหน้าไร้อารมณ์ แผ่จิตเทพทางหนึ่งไปหาเจ้าเงา
เจ้าเงาลอยจากพื้นทันที แผ่กลิ่นอายน่ากลัวออกมา แสดงรูปร่างดุดันเหี้ยมเกรียม แสยะแยกเขี้ยว
ภายนอกแสดงออกมาเช่นนี้ ทว่าความจริงแล้วเจ้าเงาตอนนี้ในใจหวาดกลัวสุดขีด ก่อนหน้านี้ในตอนที่สวี่ชิงถูกแย่งชิงร่างมันก็ไปซ่อนตัว ในใจจะมากจะน้อยก็คาดหวังนิดๆ สิ่งที่มันหวังคือผลึกวารีถูกเทพเจ้าทำให้เสียหาย…
หากเป็นเช่นนี้ ไม่แน่ว่าตัวเองอาจจะฉวยโอกาส ได้รับอิสระก็เป็นได้
แต่จากการปะทุพลังขึ้นอย่างแข็งแกร่งของผลึกวารีสีม่วง จากเสียงครวญครางโหยหวนของนิ้วเทพเจ้า ความหวาดกลัวของเจ้าเงาก็พุ่งจนถึงขีดสูงสุดทันที ยิ่งมีความสิ้นหวังขึ้นมา
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร มันยังไม่อยากตาย ดังนั้นตอนนี้เพื่อที่จะแสดงความจงรักภักดี มันจึงรีบส่งเสียงกลืนน้ำลาย ร่างกายมีดวงตานับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมาก ทุกดวงล้วนจ้องชายชราเผ่าจิตรกรรมเขม็ง ราวกับสุนัขดุร้าย ส่งเสียงคำรามข่มขู่
ในพริบตาที่เห็นเจ้าเงา ชายชราเผ่าจิตรกรรมก็สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมหาศาลโดยสมบูรณ์ ร้องครวญเสียงหลง
“เจ้าๆๆๆ…เจ้าคือผู้ดูแล!!
“นี่เป็นไปได้อย่างไร เจ้าไม่ได้ถูกนิ้วเทพเจ้ายึกครองร่างไปแล้วหรอกหรือ เทพเจ้าแย่งชิงยังล้มเหลวอีกหรือ”
ชายชราเผ่าจิตรกรรมร่างสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง มันย่อมจำเจ้าเงาได้ ในเมื่อตอนที่อยู่เขตติงหนึ่งสามสองตอนนั้น เจ้าเงาก็สนอกสนใจเขามากที่สุด
สวี่ชิงกวาดสายตาไปอย่างเย็นชา เจ้าเงาเข้าใจทันที แปลงร่างเป็นสุนัขดุร้ายอย่างแท้จริงแล้วกระโจนไป กัดฉีกอย่างบ้าคลั่ง
เสียงร้องโหยหวนน่าเวทนาดังออกมาจากปากชายชราเผ่าจิตรกรรม
สวี่ชิงไม่สนใจ เดินไปทางศีรษะกับสิงโตหินทางนั้น
ศีรษะกับสิงโตหินตอนนี้ยังฟื้นฟูไม่สมบูรณ์ ดังนั้นต่อให้พวกมันมีใจอยากจะหนีแต่ก็ไม่อาจทำได้
ขาของสิงโตหินยังงอกไม่เรียบร้อยดี ศีรษะก็มีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
หลังจากเห็นเงาร่างของสวี่ชิง พวกมันทั้งสองก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง
เหมือนกับชายชราเผ่าจิตรกรรม พวกมันเดิมไม่รู้ว่าสวี่ชิงยังเป็นสวี่ชิงอยู่หรือไม่ แต่เสียงของชายชราเผ่าจิตรกรรมที่ดังมาจากในหมอกก่อนหน้านี้ ทำให้พวกมันวิเคราะห์ได้
แต่การวิเคราะห์นี้ ความหวาดกลัวที่แฝงมาได้ยิ่งรุนแรง
“เทพเจ้ายังไม่สามารถยึดครองได้อย่างนั้นหรือ สวรรค์…” ศีรษะร้องไห้แล้ว โดยเฉพาะเห็นม้วนภาพวาดที่อยู่ข้างๆ ถูกเจ้าเงากัดกินร้องครวญครางไม่หยุด มันก็รีบเอ่ยปากขึ้นอย่างรวดเร็วท่ามกลางเนื้อตัวที่สั่นสะท้าน
“ขอแสดงความยินดีกับใต้เท้าด้วยขอรับ ก่อนหน้านี้ข้าน้อยก็เดาได้แล้วว่าเทพเจ้าที่ระดับต่ำต้อยนั้นจะมาเป็นคู่ต่อสู้ให้ท่านได้อย่างไร อีกทั้งไอ้แก่ตายยากเผ่าจิตรกรรมนั่น แม้มันจะเจ้าเล่ห์เพียงใด ใต้เท้าเพียงแต่ขยับนิ้วเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้มันไม่อาจหวนคืนกลับมาได้!
“ส่วนข้าน้อยนั้นซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง เขตติงหนึ่งสามสองของพวกเราในที่สุดก็ใกล้จะได้อยู่พร้อมหน้าแล้ว!” ศีรษะใบหน้าเต็มไปด้วยรอยประจบประแจง พูดอย่างรวดเร็ว
บรรพจารย์สำนักวัชระปรากฏตัววาบ พุ่งออกมาจากถุงเก็บของของสวี่ชิง เอ่ยเตือนอยู่ข้างๆ
“นายท่าน เจ้าคนชั่วผู้นี้ไม่ได้พูดจากใจจริง ดูเหมือนประจบประแจง แต่การกลอกของลูกตาบ่งบอกว่าคนคนนี้กำลังขบคิดว่าจะหนีอย่างไร เหมือนกับเจ้าเงา เจ้าคนพวกนี้ล้วนแต่เป็นพวกจ้องแทงข้างหลัง ทันทีที่นายท่านเกิดเรื่อง พวกมันก็จะไม่เป็นหนึ่งเดียวกับท่าน จะต้องมีความสุขบนความทุกข์ของท่านแน่นอน ข้าน้อยขอเสนอว่าควรจะทำการสะกดเอาไว้โดยสมบูรณ์!”
ศีรษะหน้าเปลี่ยนสี ดวงตาเบิกกว้างมองเหล็กแหลมสีดำ สูดลมหายใจลึก กำลังคิดจะโต้แย้ง
สวี่ชิงมองศีรษะอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง มือขวายกขึ้นเพียงสะบัด ทันใดนั้น วังสวรรค์วังที่สิบของเขาก็ปรากฏขึ้นทันที บนนั้นลอยอวลไปด้วยแสงสีม่วงชั้นหนึ่ง ผนึกเอาไว้อยู่บนประกายแสงสีแดงของตัววังสวรรค์วังที่สิบเอง
ในเสี้ยวพริบตาที่เขตติงหนึ่งสามสองปรากฏขึ้น ศีรษะอึ้งตะลึงไปในทันที ดวงตาเบิกกว้างฉายความงุนงงและไม่อยากจะเชื่อออกมา
“เจ้าไม่ได้อยากอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาหรอกหรือ เข้าไปสิ” สวี่ชิงพูดออกไปอย่างสงบนิ่ง