ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 492 แสงประกายอรุณสะเทือนพันมาร
บทที่ 492 แสงประกายอรุณสะเทือนพันมาร
……….
นอกเขาประกายอรุณ หนามแหลมทุกอันที่พุ่งหวีดหวิวมาระเบิดพลังทำลายล้าง
โดยเฉพาะค่ายกลเป้าหมาย ยิ่งมีผลในการพันธนาการด้วย
มองไป หลังจากพวกมันทะลวงค่ายกลป้องกันของเขาประกายอรุณ ก็กลายเป็นอัสนีสีดำหลายสายผสานกันด้านบน ขณะที่สายอัสนีกะพริบวาบ ต่อให้ค่ายกลเขาประกายอรุณจะแข็งแกร่ง แต่ในที่สุดก็ถูกทำให้เบาบางลงอยู่ดี
“จะแตกออกแล้ว!”
“ฮ่าๆ ทุกคนออกแรงอีก!”
“หลังจากแตกแล้ว พวกเราจะพุ่งเข้าไปสุดกำลัง สังหารทุกผู้ ชิงข้าวของมาให้หมด ทำลายเขาลูกนี้ทิ้ง!”
การล้อมโจมตีเขาประกายอรุณครั้งนี้ มีการเตรียมการไว้แล้วล่วงหน้า รอบด้านเขาประกายอรุณเวลานี้ จำนวนผู้บำเพ็ญมากนับหมื่น
ในบรรดานี้มีนักโทษจากกรมราชทัณฑ์แปดสิบกว่าคนเป็นศูนย์กลาง ส่วนใหญ่เป็นพวกผู้บำเพ็ญไร้สังกัดชั่วร้ายที่พวกเขาเรียกเข้ามา
กระทั่งเบื้องหลังของพวกเขายังมีร่องรอยของพวกเผ่าใหญ่ๆ ในมณฑลประกายอรุณแฝงอยู่
เช่นหนามแหลมที่ทลายค่ายกลเขาประกายอรุณเวลานี้ รวมถึงกับดักต่างๆ นานา ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญธรรมดาจะเตรียมได้แน่นอน ต้องเป็นพวกเผ่าใหญ่เท่านั้นทมี
ด้านพลังบำเพ็ญ ผู้บำเพ็ญนับพันนี้มีหลอมตันเถียนและสร้างฐานเป็นหลัก แม้ในบรรดานี้จะมีปราณก่อกำเนิดอยู่บ้างแต่ก็ไม่มาก เหมือนจะมีแค่สามคน
แก่นลมปราณสามคนนี้สองชายหนึ่งหญิง ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญต่างเผ่า ชายสองคนในนี้คนหนึ่งบนใบหน้ามีเกล็ด คนหนึ่งมีสี่แขน และผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนวัยกลางคน แต่ที่หน้าผากมีใบหน้าเล็กสวยเพริศพริ้งอยู่ดวงหนึ่ง ค่อนข้างแปลกประหลาด
ส่วนพลังบำเพ็ญ พิจารณาจากกลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกาย นอกจากหญิงวัยกลางคนแก่นลมปราณขั้นกลางแล้ว อีกสองคนล้วนเป็นแก่นลมปราณขั้นต้น
พวกเขาเป็นนักโทษเขตปิ่งที่หนีออกมาจากกรมราชทัณฑ์ และเป็นคนปลุกระดมการล้อมโจมตีเขาประกายอรุณครั้งนี้
ตอนนี้ทั้งสามแต่ละคนสายตาเย็นชา จ้องเขาประกายอรุณเขม็งจากบนท้องฟ้า
“คนที่คอยคุ้มกันโถงครองกระบี่นี่ไม่ยอมขอกำลังเสริมเสียด้วย แล้วยังให้สำนักเผ่ามนุษย์อื่นไม่ต้องมาอีก! เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ดูจะไม่ค่อยตรงกับที่พวกเราคาดการณ์ไว้…”
“เป็นการคาดการณ์ของเผ่าใหญ่พวกนั้น ไม่ใช่การคาดการณ์ของพวกเรา จะว่าไปครั้งนี้พวกเราก็ร่วมมือกันได้ดีมาก เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว…ก็สู้ชิงมาเสียก่อนแล้วค่อยว่ากันดีกว่า!”
“ถูกต้อง ข้าอยากจะกินเนื้อของผู้ครองกระบี่ คิดมานานมากแล้ว”
ปราณก่อกำเนิดต่างเผ่าสามคนนี้ ขณะที่ยิ้มเหี้ยมเกรียมก็ออกคำสั่งเร่งใช้อาวุธทำลายค่ายกลรอบด้าน ไม่นานหนามแหลมสีดำก็ยิงออกมามากกว่าเดิม โจมตีค่ายกล
ค่ายกลสั่นไหวอย่างรุนแรง ทั้งเขาประกายอรุณเกิดคลื่นโหม
ส่วนในบรรดาผู้ครองกระบี่หลายสิบคนที่คอยคุ้มกันอยู่ในเขาประกายอรุณเหล่านั้น สัมผัสถึงพื้นดินสะเทือนเขาสั่นไหวได้ เวลานี้แต่ละคนฉายแววเดือดดาล พวกเขาเข้าใจดีว่านี่เป็นการป้องกันที่ไม่มีโอกาสชนะได้เลย
เพราะไม่มีกองหนุน และมีกองหนุนไม่ได้ด้วย
โถงครองกระบี่เขาประกายอรุณรวมถึงกำลังหลักของเผ่ามนุษย์ทั้งหมดไปที่สนามรบ พลังของวิเศษต้องห้ามทั้งหมดถูกเมืองหลวงเขตปกครองควบคุมไปแล้ว กำลังทำศึกเป็นตายกับเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์เพื่อปกป้องเขตปกครองผนึกสมุทร ยากจะย้อนกลับมา และยากมากที่จะมาช่วยสนับสนุน
กองหนุนที่เป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียว อันที่จริงคือสำนักเผ่ามนุษย์เขาผนึกของมณฑลประกายอรุณเหล่านั้น
นอกจากนี้ พวกโจรชั่วนี่ยังมีอาวุธเวทที่ใช้ในการก่อกวน เปิดใช้งานอย่างต่อเนื่อง แต่บางครั้งก็หละหลวมเพราะความระลอกคลื่นบางอย่าง เหมือนจงใจเปิดช่องโหว่ให้เขาประกายอรุณออกไปขอความช่วยเหลือ
“การล้อมโจมตีเขาประกายอรุณครั้งนี้ เป้าหมายของพวกโจรชั่วไม่ใช่แค่โถงครองกระบี่ของข้า แต่ยังรวมถึงสำนักเผ่ามนุษย์ของข้าเหล่านั้นในมณฑลประกายอรุณด้วย
“ใช้เขาประกายอรุณเป็นเหยื่อล่อ!”
ในผู้ครองกระบี่หลายสิบคนนี้ ผู้ครองกระบี่ปราณก่อกำเนิดคนนั้น ในสายตามาพร้อมกับคำสาบานที่พร้อมจะตาย เอ่ยอย่างแน่วแน่
“ดังนั้น พวกเราจึงไม่ขอความช่วยเหลือตั้งแต่ต้นจนจบ กระทั่งข้ายังใช้ช่วงหละหลวมที่อีกฝ่ายเปิดไว้ แจ้งกับสำนักเผ่ามนุษย์ทั้งหมดในมณฑลประกายอรุณว่าห้ามช่วยเหลือโดยเด็ดขาด!
“ครั้งนี้ พวกเราจะต่อสู้เพียงลำพัง
“ส่วนตาข่ายของวิเศษเวทต้องห้าม พวกเราก็ไม่มีอำนาจขับเคลื่อนใช้งาน สนามรบเวลานี้อยู่ในช่วงวิกฤต สถานการณ์เผ่ามนุษย์กำลังง่อนแง่น…
“แต่ข้าเชื่อเจ้าวัง ศึกใหญ่เขตปกครองผนึกสมุทรครั้งนี้ เผ่ามนุษย์ของเราจะต้องชนะ ต่อให้ข้าต้องสู้จนตัวตาย ตอนที่กองทัพใหญ่ได้รับชัยชนะ โจรชั่วทั้งหมดด้านนอก ต่างเผ่าที่อยู่เบื้องหลังการล้อมโจมตีครั้งนี้จะต้องชดใช้ด้วยการล่มสลายของเผ่า!”
ผู้ครองกระบี่ปราณก่อกำเนิดคนนั้นคำรามเสียงต่ำ สองตาแดงเถือก ผู้ครองกระบี่หลายสิบคนที่อยู่ข้างๆ หายใจหอบถี่ เตรียมจะออกไปสู้ตายแล้ว
ตอนนี้เอง เสียงครืนครันสั่นสะเทือนฟ้าดินก็ดังก้องไปทั้งแปดทิศ
หุบเหวสมุทรตีเกลียว เขาสั่นไหว
ค่ายกลใหญ่ของเขาประกายอรุณแตกสลายแล้ว
จากเศษชิ้นส่วนของค่ายกล ภูตผีปีศาจโหดเหี้ยมจากโลกภายนอก แต่ละตนคำรามออกมาอย่างละโมบและลิงโลด แห่มาจากรอบด้านของเขาประกายอรุณ
บนเขาประกายอรุณ ผู้ครองกระบี่ที่คุ้มกันอยู่เหล่านั้นก็พากันพุ่งออกมา ยิ่งเปิดใช้งานอาวุธเวทบนเขาประกายอรุณหลายสาย สาดแสงจ้าโจมตีไปรอบด้าน
ศึกใหญ่พลันเปิดฉากขึ้น
อาวุธเวทที่มาจากเขาประกายอรุณ พลานุภาพที่ระเบิดออกมาน่าครั่นคร้ามมาก ทำให้ผู้บำเพ็ญไร้สังกัดระลอกแรกที่พุ่งมาจากรอบด้านก็เข้าประชิดได้อย่างยากลำบากทันที
แต่ศัตรูก็เตรียมพร้อมมาอย่างดี พริบตาต่อมาจากการลงมือของต่างเผ่าแก่นลมปราณสามคนนั้น ม่านแสงหลายทางก็พาดลงมาจากฟ้าทันที
นั่นคือพันธนาการที่ก่อขึ้นจากของวิเศษเวทที่เผ่าใหญ่มอบให้ กลายเป็นฝ่ามือประทับขนาดยักษ์นับไม่ถ้วน ปกคลุมเขาประกายอรุณ สะกดกับดักอาวุธเวทที่ในเขาลูกนี้
ระหว่างที่เสียงบึ้มๆ ดังกึกก้อง อาวุธเวทเหล่านั้นของเขาประกายอรุณเริ่มปริแตกมากขึ้น
ขณะที่ฟ้าดินครืนครัน พวกผู้บำเพ็ญไร้สังกัดและนักโทษชั่วระลอกสองระลอกสามก็พุ่งเข้ามาพร้อมตาแดงก่ำ
วิกฤตอันตราย ปะทุขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เห็นเช่นนี้ ผู้ครองกระบี่แก่นลมปราณคนนั้นดวงตาก็ฉายแววบ้าคลั่ง คำรามเสียงดังขึ้นมา ร่วมมือกับผู้ครองกระบี่หลายสิบคนข้างกายโต้กลับ
แต่การโต้กลับเช่นนี้ ก็เหมือนเรือเล็กในเขื่อนแตกที่ไม่สลักสำคัญ
ในพริบตา พวกเขาแต่ละคนก็บาดเจ็บ กระอักเลือด น่าเวทนาถึงขีดสุด
โดยเฉพาะผู้ครองกระบี่แก่นลมปราณคนนั้น ถูกนักโทษแก่นลมปราณสามคนโจมตีพร้อมกัน บาดเจ็บสาหัสทันที
แต่บนใบหน้าของเขาไม่มีความน่าเวทนาใด แต่ในดวงตากลับฉายแววบ้าคลั่ง ถอยกลับมารวมกับผู้ครองกระบี่คนอื่น และเห็นว่าแต่ละคนล้วนบาดเจ็บสาหัส เมื่อเห็นสีหน้าโกรธแค้นของทุกคน เขาก็เผยความดุดัน หยิบแผ่นหยกสื่อเสียงชิ้นหนึ่งออกมา
“สำนักเผ่ามนุษย์ต่างๆ ในมณฑลประกายอรุณ ที่นี่คือโถงครองกระบี่ของเขาประกายอรุณ ข้าคือซุนไห่ นี่คือการแจ้งครั้งสุดท้ายกับพวกเจ้า…ห้ามออกมาสนับสนุนโดยเด็ดขาด!
“สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำ ก็คือใช้งานค่ายกลคุ้มครองสำนักอย่างสุดกำลัง เฝ้ารอ…ชัยชนะของเผ่ามนุษย์แห่งเรา! หลังจากนั้นก็นำเรื่องที่เกิดขึ้นนี้รายงานเจ้าวังวังครองกระบี่!
“เผ่าต่างๆ ที่มารุกราน ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญไร้สังกัดหรือไม่ ยังมีเผ่าใหญ่ที่เป็นเบื้องหลังของพวกเจ้า สกุลซุนอย่างข้าจะนำผู้ครองกระบี่ข้างกายไปรอการมาถึงของพวกเจ้าทั้งเผ่าที่ยมโลก
“ผู้ครองกระบี่ ปกป้องเผ่ามนุษย์ แม้จะต้องตายก็ต้องปกป้อง!” ซุนไห่หัวเราะลั่น ผู้ครองกระบี่ทุกคนข้างกายตอนนี้ขณะที่โกรธแค้นก็ไม่สนอะไรอีกแล้ว พากันหัวเราะทุ่มกำลังทั้งหมดในความสิ้นหวังนี้
เสียงหัวเราะของพวกเขาทำให้ผู้บำเพ็ญไร้สังกัดรอบๆ รู้สึกเสียดหู แต่ละคนแผ่ความโหดเหี้ยมออกมา จะพุ่งไป
ขณะที่เขาใกล้กำลังจะถล่ม ตอนนี้เอง…
เสียงคำรามสะเทือนฟ้าดินเสียงหนึ่ง ก็ดังมาจากทางหุบเหวสมุทรฉับพลัน
วิหคทองขนาดหลายร้อยจั้งตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากทะเลเพลิงไร้ขอบเขตจากการการตีเกลียวของปราณหมอกหุบเหวสมุทร มาพร้อมกับกลิ่นอายน่าครั่นคร้าม ตรงไปยังเขาประกายอรุณ
ทั่วร่างวิหคทองแผ่แสงสีดำ รอบด้านยิ่งมีทะเลเพลิงไร้ขอบเขต ขณะที่สยายหางหนึ่งร้อยหาง ก็แผ่คลื่นพลังที่น่ากลัวออกไปด้วย
ยิ่งบนศีรษะมัน มีคนสวมกวานจักรพรรดิและชุดจักรพรรดินั่งขัดสมาธิอยู่
ในดวงตาคนตัวเล็กฉายแววเย็นชา ขณะที่ไร้ซึ่งโทสะก็ยังสง่างาม ร่างแฝงจิตสังหารโถมฟ้า แผ่คลื่นพลังปราณก่อกำเนิด ปกคลุมฟ้าดินฝ่าทะเลเพลิงมา
เจตจำนงกลืนเขากลืนแม่น้ำวูบหนึ่ง ดังก้องไปทั่วท้องนภาจากเสียงคำรามของวิหคทอง จากการลุกขึ้นยืนของคนตัวเล็ก!
การปรากฏตัวของเขาทำให้ผู้บำเพ็ญต่างเผ่าบนเขาประกายอรุณเหล่านั้นหน้าเปลี่ยนสี โดยเฉพาะนักโทษแก่นลมปราณสามคนนั้น ม่านตาหดลงเล็กน้อย
หญิงสาวกลางคนแก่นลมปราณขั้นกลางคนนั้นหรี่ตาลง ประกายเย็นพาดผ่าน เอ่ยเสียงเย็นชา
“เจียวหลิน เจ้าไปจัดการวิหคทองนั่นเสีย!”
เมื่อเอ่ยออกมา แก่นลมปราณต่างเผ่าใบหน้ามีเกล็ดที่อยู่ทางขวาของนาง ดวงตาเปล่งจิตสังหาร เรียกผู้บำเพ็ญกลุ่มหนึ่งพุ่งออกไปหาวิหคทอง
ส่วนผู้ครองกระบี่ของเขาประกายอรุณ ตอนนี้สีหน้าทั้งหมดก็เปลี่ยนไป โดยเฉพาะผู้ครองกระบี่แก่นลมปราณคนนั้น ตะโกนออกไปอย่างร้อนรน
“อย่าเข้ามา ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ก็รีบหนีไป!”
แต่พริบตาตอนที่เขาเอ่ยอย่างร้อนรน และพวกผู้บำเพ็ญต่างเผ่าที่บุกมายังที่นี่ทำตัวกำเริบ แบ่งกลุ่มส่วนหนึ่งเข้าไปสกัดวิหคทองนั้น จู่ๆ แผ่นดินใหญ่ก็มืดมิด
แสงพลบค่ำบนฟากฟ้า ถูกบดบังไปในตอนนี้!
พริบตาที่มืดมิดไปทั้งท้องฟ้า ราวกับกลายเป็นมหาสมุทรสีดำ เห็นอสูรสมุทรบรรพกาลตัวหนึ่งกำลังแหวกว่ายอยู่รางๆ คำรามก้องไปทั่วสารทิศ รยางค์สีชาดขนาดมหึมาโบกไหวตามร่างที่เหาะเหินอย่างรวดเร็ว ท่วงท่าพลังสั่นสะเทือนฟ้าดิน
แรงกดดันน่าสะพรึงที่มันแผ่ออกมากลืนกินผู้บำเพ็ญไร้สังกัดนับไม่ถ้วนเบื้องล่างฉับพลันด้วยพลานุภาพทรงพลัง พังพินาศย่อยยับ
ชั่วพริบตา เขาประกายอรุณทั้งลูกสั่นไหวอย่างรุนแรง พวกผู้บำเพ็ญชั่วช้าเหล่านั้น ร่างสลายไปในพริบตา ดับสูญทั้งกายและวิญญาณท่ามกลางเสียงกรีดร้อง
ส่วนบนพื้นดิน จากการที่ฟากฟ้าดำมืดของกลายเป็นความมืดมิดก็มีดวงตานับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น แปลกประหลาดเหลือคนา ทุกครั้งที่กะพริบตาล้วนทำให้ผู้บำเพ็ญต่างเผ่าในบรรดานี้ใจสั่นสะท้าน สูญเสียการรับรู้
ยิ่งมีสายอัสนีสีแดงแล่นแปลบปลาบเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงด้านใน ฟาดผ่าต่างเผ่าที่สูญเสียการรับรู้ไปทีละคนในพริบตา
ท่ามกลางความพรั่นพรึงมหาศาลของพวกผู้บำเพ็ญ ในหุบเหวสมุทร ก็ปรากฏแสงสายหนึ่ง
ในแสงเจ็ดสีนั้น มีร่างเงาอยู่ร่างหนึ่ง
เสื้อผ้าที่สวมอยู่ไม่ใช่ชุดปกติอีกต่อไป แต่เป็นผู้บำเพ็ญในชุดนักพรตขาว ดวงตาเย็นเยียบ จิตสังหารทะลวงท้องนภา
สวี่ชิงนั่นเอง
ตอนที่สวี่ชิงเห็นเขาประกายอรุณไกลๆ ก่อนหน้านี้ ก็เห็นค่ายกลเขาประกายอรุณถล่มลงมากับตา ได้ยินเสียงครืนครันดังลั่นนั้น
ไม่ว่าจะด้วยหน้าที่ของตนเอง หรือว่าเขาให้ความสำคัญกับเขาประกายอรุณแห่งนี้ เขาจะไม่ยอมให้ที่นี่มีมลทินและแปดเปื้อนเด็ดขาด
เขาจึงพุ่งมา
บนท้องฟ้าเวลานี้ วิหคทองของเขาเข้าปะทะกับต่างเผ่าแก่นลมปราณหน้ามีเกล็ด ขณะที่ทะเลเพลิงปะทุ เสียงครืนครันก็ดังสะเทือนฟ้าดิน การต่อสู้ดุเดือดรุนแรงอย่างยิ่ง
สวี่ชิงกวาดตามอง ไม่สนใจเกินไปนัก หลังจากที่วิหคทองของเขามาถึงขั้นสาม ร่างกายก็มีพลังต่อสู้แก่นลมปราณแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เขาควบคุมอีก ด้วยความจิตวิญญาณอันปราดเปรียวของร่างวิชาระดับจักรพรรดิ วิหคทองรับมือได้
เขาจึงเร่งความเร็วยิ่งขึ้น ด้วยการสนับสนุนของร่างกายที่เกือบจะเป็นเทพเจ้านี้ ก่อนหน้านี้ร่างของเขายังอยู่ที่ไกลๆ แต่พริบตาต่อมาก็พุ่งมาอยู่ในเขาประกายอรุณแล้ว กระแทกกับผู้บำเพ็ญต่างเผ่าแก่นลมปราณคนหนึ่ง
ความเร็วขีดสุดมาพร้อมกับแรงปะทะที่น่าครั่นคร้าม ผู้บำเพ็ญแก่นลมปราณคนนั้นต่อให้ร่างไม่ธรรมดา แต่กระทั่งเสียงร้องก็ยังไม่ทันได้เปล่ง ร่างกายของเขาก็ระเบิดแตกทันที
ขณะที่กลายเป็นหมอกเลือด ร่างของสวี่ชิงก็ทะลวงออกมาจากด้านใน
เขาก็มาถึงด้านหน้าของผู้บำเพ็ญแก่นลมปราณต่างเผ่าอีกคนหนึ่งในพริบตา ไม่รอให้ผู้บำเพ็ญคนนี้ได้มีปฏิกิริยาใด สวี่ชิงก็ใช้กริชในมือปาดไปที่คอของเขา
กริชนี้ใช้แรงมหาศาล หัวกับร่างกายขาดจากกันในพริบตา เลือดสดซ่านกระเซ็นออกมาราวดอกไม้ไฟ
ภาพที่คุ้นเคย ทำให้ความเย็นเยียบในดวงตาสวี่ชิงยิ่งมากขึ้น ร่างของเขาทำปางมือชี้ออกไปอย่างรวดเร็วกลางอากาศ ฉับพลันแสงประกายอรุณก็แผ่ออกมาจากร่างเขาเล็กน้อย เหาะเหินไปยังผู้ครองกระบี่ที่กำลังตกตะลึงอ้าปากค้าง
พริบตาที่เข้าประชิด หลังจากปกป้องพวกเขาด้านใน สวี่ชิงก็ไม่มีเวลาจะพูดอะไร พิษต้องห้ามในวังสวรรค์วังที่สามแผ่ออกมาฉับพลัน ครืนครันไปทั้งแปดทิศ
โถมไปสุดกำลัง!
สถานการณ์ตอนนี้ของที่นี่ สำหรับสวี่ชิงไม่มีเวลาสนใจเรื่องจะเปิดเผยหรือไม่แล้ว
จากการที่หมอกพิษแผ่กระจายออกไป ทุกจุดที่พาดผ่าน ขอแค่ที่พาดผ่านไปเป็นผู้บำเพ็ญต่างเผ่า ก็จะมีเสียงกรีดร้องทันที ต่างร่างเน่าเปื่อย ละลายกลายเป็นน้ำเลือดสีดำ
น่าสยดสยอง
ตอนที่พิษของสวี่ชิงแผ่กระจายเป็นวงกว้าง เจ้าเงาก็บ้าคลั่งขึ้นมาเช่นกัน
เพื่อที่มันจะได้รับความดีความชอบ เพื่อจะพิสูจน์ความภักดีของตน จึงระเบิดออกไปรอบด้าน ใช้ความมืดรอบๆ เริ่มสิงร่างผู้บำเพ็ญต่างเผ่าเป็นวงกว้าง
ควบคุมผู้บำเพ็ญต่างเผ่าทีละคนขณะที่พวกเขากำลังตกตะลึง ร่างก็อดคำรามพุ่งเข้าใส่พวกเดียวกันอย่างควบคุมไม่ได้ ใช้พลังการระเบิดตนเพื่อให้อีกฝ่ายตายตกตามกัน
บรรพจารย์สำนักวัชระก็สังหารจนคุ้มคลั่ง เพื่อจะเพิ่มพูนคุณค่าของตนเอง เพื่อจะรู้สึกว่ามีตัวตนมากขึ้น เขาก็ทุ่มกำลังทั้งหมดระเบิดอัสนีสีแดง ฟาดผ่าไปทั่วทิศ ส่งเสียงครืนครันไม่หยุด
ยังมีอสูรสมุทรบรรพกาล เวลานี้ก็พ่นออกไปรอบทิศ ฉับพลันพลังของวิเศษเวทที่มาจากเผ่าใหญ่เหล่านั้นก็ได้รับผลกระทบทันที ขณะที่บิดเบี้ยว ของวิเศษเวทคุ้มครองเขาประกายอรุณก็ได้รับการประทานดวงชะตาให้ และเริ่มทำงานขึ้นอีกครั้ง เปล่งแสงเจิดจ้า สาดวิชาเวทเป็นสายออกไปรอบทิศ
เสียงครืนครันหูแทบดับ ขณะที่ดังกึกก้องไม่หยุด จากการมาถึงของสวี่ชิง สถานการณ์ก็พลิกเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที!