ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 494 สวี่ชิงรับคำสั่ง ถืออำนาจดุจดั่งเจ้าวัง! (1)
บทที่ 494 สวี่ชิงรับคำสั่ง ถืออำนาจดุจดั่งเจ้าวัง! (1)
……….
สวี่ชิงไม่สนใจเสียงร้องตื่นตกใจโหยหวนและคาดไม่ถึงนั่น ตอนนี้ภายใต้จิตใจที่กู่ก้อง วิหคทองบนท้องฟ้าส่งเสียงคำราม พุ่งมาอย่างรวดเร็วจากบนท้องฟ้า
ประชิดเข้าไปใกล้ทันที ครึ่งหนึ่งผสานมาในร่างสวี่ชิง อีกครึ่งหนึ่งลอยอยู่ข้างนอก สยายปีกขนาดถึงร้อยจั้ง ขนหางปลิวพริ้ว รัศมีอำนาจน่าครั่นคร้าม
กลิ่นอายของสวี่ชิงก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในเสี้ยวขณะนี้ พลังแข็งแกร่งทรงอำนาจเด่นชัดเป็นอย่างยิ่ง
มองไกลๆ สวี่ชิงที่อยู่ภายใต้การวนเวียนของวิหคทอง ประดุจจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด ปรากฏตัวมาบนโลกมนุษย์
พลังหนึ่งปราณเก้าวังแผ่กระจายไปทั่วร่าง
ยิ่งมีระลอกคลื่นพลังกายเนื้อแผ่ซ่านมาบนร่างของเขา ทำใรู้สึกเหมือนกับผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดทำให้กำลังรบของสวี่ชิงถึงระดับสองปราณเก้าวัง
กำลังรบประเภทนี้อยู่บนตัวผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณ เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน
ทั่วทุกทิศเลื่อนลั่นกึกก้อง ฟ้าดินในเสี้ยวขณะนี้เนื่องจากระลอกคลื่นของทั้งสองฝ่าย ก่อเป็นคลื่นลูกมหึมา แปรเปลี่ยนระลอกคลื่น เกิดเป็นวงแล้ววงเล่าไม่ขาดสาย และยิ่งแผ่หมอกพิษของสวี่ชิงไปไกล
ผู้บำเพ็ญที่หลบหนีไปพวกนั้นแม้จะออกไปจากบริเวณเขาประกายอรุณแล้วก็ยังไม่สามารถหลีกหนีการสังหารด้วยพิษได้
กวาดสายตามองไป พื้นดินล้วนเป็นน้ำสีดำหลังจากการสังหารด้วยพิษ ห่างออกไปไกลๆ ยังมีผู้บำเพ็ญร้องโหยหวนร่วงจากบนท้องฟ้าตกไปในหุบเหวสมุทร
โจรชั่วช้าที่เคยมีมากมายตอนนี้เหลือไม่ถึงสี่ส่วน แต่ละคนในใจ+ถูกความหวาดกลัวเข้าแทนที่
และอาวุธเวทบนเขาประกายอรุณตอนนี้ก็ฟื้นขึ้นอย่างช้าๆ ท่ามกลางการปะทุพลังไม่หยุด ฟ้าดินสั่นไหวอยู่ตลอด ผู้บำเพ็ญที่มาโจมตีต่างรู้…สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว
การมาถึงของสวี่ชิงดูเหมือนมาคนเดียว แต่พลังสยบที่เกิดขึ้นจากการโจมตีสังหารผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดช่วงต้นสองคน ก็สั่นคลอนจิตใจผู้คน
ขณะเดียวกันก็ต้องพูดเลยว่า พลังของพิษต้องห้ามถึงจะเป็นจุดที่น่ากลัวที่สุดในศึกครั้งนี้
แต่สวี่ชิงไม่ได้คลายความระมัดระวัง สีหน้าของเขาเย็นชา เงยหน้าจ้องมองเงาร่างสีดำที่มีปีกบนท้องฟ้า มือขวาคว้าเถาวัลย์บนท้องหนิงเหยียน เตรียมตัวให้พร้อมลงมือทุกเวลา
คนคนนี้ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดธรรมดาๆ ร่างแผ่ระลอกคลื่นพลังระดับปราณก่อกำเนิดช่วงปลาย แผ่พลังแข็งแกร่งเป็นระลอกๆ และการลงมือลอบโจมตีเมื่อครู่ก็ทำให้สวี่ชิงรู้สึกถึงอันตราย
อีกทั้งอีกฝ่ายเหมือนหุ่นเชิดเซียนของเผ่าเคียงเซียนมาก แต่เมื่อดูให้ละเอียดแล้ว ก็ยังมีความแตกต่างเล็กน้อย ไม่ได้มีสามเศียรหกกร
ในดวงตาสวี่ชิงฉายประกายเย็นเยือก ขณะสะบัดมือก็ใช้แผ่นหยกของเจ้าวังรับช่วงดูแลควบคุมอาวุธเวทบนเขาประกายอรุณพวกนั้น ทำให้พวกมันปรับเปลี่ยนทิศทาง จับเป้าหมายเงาบนท้องฟ้า
ในใจกลับประเมินความแตกต่างของสองฝ่ายอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้เขาสังหารระดับปราณก่อกำเนิดช่วงต้นได้อย่างง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ
อย่างไรยามที่ผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณคนหนึ่งเมื่อมีกำลังรบสิบวังสวรรค์แล้ว นอกจากไม่มีพลังวิเศษจิตเทพและไม่สามารถเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาได้ ก็ไม่ต่างอะไรกับผู้บำเพ็ญหนึ่งปราณเท่าไรแล้ว
พลังวิเศษเรื่องนี้สวี่ชิงมีพลังต้นกำเนิดเทพไปต่อกร
ด้านการสยบจากประสาทสัมผัสเทพ วิหคทองขั้นสามของเขาและพลังต้นกำเนิดเทพทำให้เขาสามารถต่อกรได้เช่นกัน
ส่วนเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา ความเร็วกายเนื้อของสวี่ชิงรวมกับปีกโลหิตวิญญาณทมิฬ ในระยะห่างสั้นๆ ก็ไม่ต่างกันเท่าไร
ดังนั้น เมื่อครู่เขาสังหารปราณก่อกำเนิดสี่แขนนั่น หมัดเดียวก็ทำลายเปลือกนอกพรสวรรค์ของอีกฝ่าย หมัดที่สองทำลายกายเนื้อและผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดคนหนึ่ง ภายใต้ฝ่ามือที่ซัดลงมาฝ่ามือหนึ่งผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดคนสุดท้ายก็ตัวระเบิด
แต่ว่าระดับปราณก่อกำเนิดกับระดับปราณก่อกำเนิดด้วยกันนั้นต่างออกไป
ก็เหมือนระดับแก่นลมปราณวังสวรรค์ บางคนระดับบริบูรณ์สูงสุดแล้วก็เพิ่งจะเป็นระดับหกวังสวรรค์ ส่วนบางคนกลับเป็นแปดวังสวรรค์ หากมีตะเกียงแห่งชีวิตขีดจำกัดสูงสุดสามารถไปได้ถึงสิบสามวังสวรรค์
สำหรับผู้บำเพ็ญปราณก่อกำเนิดทั่วไป หนึ่งปราณก็คือช่วงต้น สามปราณคือช่วงกลาง ห้าปราณคือช่วงปลาย สุดท้ายหกปราณคือบริบูรณ์
ผู้บำเพ็ญสี่แขนตนนั้นสามารถสะกดไว้ในกรมราชทัณฑ์ได้ ขีดจำกัดสูงสุดของพลังบำเพ็ญในอนาคตที่จะไปถึงได้คงไม่ใช่แค่หกปราณ แต่ไม่มีประโยชน์ เขาไม่มีเวลาให้ได้พัฒนาต่อแล้ว
ดังนั้น สังหารผู้บำเพ็ญต่างเผ่าหกแขนที่มีกำลังรบสองปราณ สวี่ชิงดูเหมือนสู้ข้ามระดับ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่แบบนั้น พลังแท้จริงของเขาสามารถสะกดได้โดยสิ้นเชิง
ส่วนผู้บำเพ็ญช่วงกลางทั่วๆ ไป หากสวี่ชิงคิดจะฆ่าให้ตาย ในอดีตนั้นยากลำบาก
เหมือนในตอนที่เผชิญหน้ากับฉู่เทียนฉวินที่เมื่อได้รับบาดเจ็บแล้วพอจะนับได้ว่าเหลือเพียงสามปราณ สวี่ชิงเสี่ยงอันตรายเกือบตาย แม้จะชนะแต่ตัวเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ความรุนแรงของบาดแผลอยู่ในระดับที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หากไม่ใช่หลิงเอ๋อร์ หากไม่ใช่ผลึกวารีสีม่วง เขาคงตายไปแล้ว
แต่ตอนนี้ร่างกายที่ถูกนิ้วเทพเจ้าเปลี่ยนแปลง ได้ชดเชยข้อบกพร่องนี้
ต่อให้เขาไม่สามารถสำแดงร่างเทพที่แท้จริงได้ พลังและความเร็วยกระดับขึ้นมาจากระดับกายเนื้อแต่เดิมเพียงสามเท่า แต่จะอย่างไรก็ทำให้เขาได้รับกำลังรบระดับหนึ่งปราณ นี่คือกายเนื้อระดับปราณก่อกำเนิด
และสิ่งที่เขาแข็งแกร่งที่สุดคือการป้องกัน!
ในกายเนื้อร่างนี้เนื่องจากมีเส้นสีทองนับไม่ถ้วน ดังนั้นพลังการป้องกันของร่างสวี่ชิงตอนนี้น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
ภายใต้การใช้ร่วมกัน เขาไม่ใช้วิชาเทพก็สามารถสู้กับผู้บำเพ็ญที่มีกำลังรบช่วงกลางสามปราณได้ สำแดงวิชาเทพสวี่ชิงสามารถสังหารผู้บำเพ็ญที่มีกำลังรบช่วงกลางสี่ปราณได้ อีกทั้งตัวเองยังปลอดภัยไร้บาดแผลอีกด้วย
หากเป็นห้าปราณ สวี่ชิงปะทุกำลังรบทั้งหมดก็สามารถสู้ได้ แพ้ชนะไม่รู้ แต่มีอัตราสูงมากว่าเขาทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ และอีกฝ่ายก็ทำลายกายเนื้อของเขาไม่ได้เช่นกัน
‘ตอนนี้การโจมตีสังหารกายเนื้อของข้าเทียบได้กับหนึ่งปราณ วิหคทองหนึ่งปราณ เก้าวังสววรค์ของตัวเองรวมกับเคล็ดวิชาผสานเงาก็เป็นหนึ่งปราณ ซึ่งก็จะเป็นกำลังรบสามปราณ รวมกับวิชาเทพเจ้าของข้า สามารถสู้กับระดับสี่ปราณได้!
“และสิ่งที่ข้าแข็งแกร่งที่สุดคือการป้องกันกายเนื้อ ร่างนี้ในระดับขั้นปราณก่อกำเนิดไม่มีทางถูกสั่นคลอนได้’
ผ่านการลงมือก่อนหน้านี้ ในใจสวี่ชิงวิเคราะห์ขีดจำกัดสูงสุดของตัวเองอย่างรวดเร็ว ประกายเย็นเยือกในดวงตาค่อยๆ เข้มข้นขึ้น เขาสามารถสัมผัสได้ว่าเงาร่างสีดำบนท้องฟ้า น่าจะมีกำลังรบประมาณห้าปราณ
และหญิงกลางคนคนนั้นตอนนี้ก็ลอยขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็วเช่นกัน มาถึงข้างกายต่างเผ่าปีกดำตนนั้น สีหน้าฉายแววเคารพยำเกรง เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“พี่ใหญ่ พลทหารคนนี้มีปัญหา เผ่าต่างๆ ที่สนับสนุนผลักดันเรื่องนี้จะลงมือเมื่อใด”
ขณะพูดนางก็กระอักเลือดสดๆ สีดำออกมา เห็นได้อย่างชัดเจนว่าร่างมีหลายส่วนที่เกิดการเน่าเปื่อย แม้นางจะสะกดเอาไว้สุดกำลัง แต่ก็ไม่อาจควบคุมได้มากนัก
และจุดจบน่าสมเพชเวทนาของคนที่โดนพิษเหล่านั้นก็ทำให้ใจของนางหวาดกลัว เกิดความรู้สึกอยากถอย
“น่าสนใจ” ต่างเผ่าปีกดำที่อยู่กลางอากาศ มองสวี่ชิงอย่างเยือกเย็นผาดหนึ่ง
เขาสังเกตได้ถึงการจับเป้าหมายของของวิเศษเวทเขาประกายอรุณ และมองเป็นผู้บำเพ็ญไร้สังกัดทั้งหลายกระเจิดกระเจิง ก็รู้ว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว
นอกจากนี้ทางสวี่ชิงทางนั้นก็ทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง เขาสัมผัสได้ว่ากายเนื้อของสวี่ชิงไม่ธรรมดา อีกทั้งผู้บำเพ็ญที่เหมือนอาวุธคนนั้นในมือของอีกฝ่ายก็ทำให้เขารู้สึกไม่ชอบมาพากลเช่นกัน
แล้วยังมีภูเขารูปร่างมนุษย์ที่อยู่บนท้องฟ้า พลังอำนาจสยบของภูเขาลูกนี้แข็งแกร่งมาก ทำให้ในใจของเขาเกิดความขยาด
ส่วนอสูรสมุทรบรรพกาลที่จ้องตนเขม็งมาจากในเมฆหมอกก็ทำให้เขารับมือได้ค่อนข้างยาก สุดท้ายเขากวาดตามองไปยังหมอกพิษที่ตลบอวลอยู่ข้างล่าง รูม่านตาหดเล็กลงเล็กน้อย
“วิชาแปลกประหลาดเช่นนี้…อีกทั้งแสงประกายอรุณของคนผู้นี้ก็จัดการยากเช่นกัน นอกจากนี้ ต่างเผ่าที่ซ่อนตัวเหล่านั้น ก่อนที่จะมั่นใจว่าสนามรบตะวันตกและเหนือแตกพ่าย พวกเขาก็แค่ซ่อนอยู่ในที่ลับคอยให้การสนับสนุนเท่านั้น พวกหนูสกปรกไม่กล้าเผยตัวในที่แจ้ง ตอนนี้…”
ทุกอย่างทำให้ความขยาดในใจของต่างเผ่าปีกดำตนนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นหลังจากมองสวี่ชิงอย่างเคร่งขรึมผาดหนึ่ง เขาก็ยกมือคว้าหญิงวัยกลางคนที่พิษกำเริบใกล้จะร่วงลงไปเต็มทีเอาไว้ ร่างพลันถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว บินไปในท้องฟ้าอย่างเร็วรี่ แปรเปลี่ยนเป็นจุดดำ เคลื่อนย้ายชั่วพริบตาจากไปไกลทันที
การจากไปของเขาก็เป็นจุดสิ้นสุดของการล้อมโจมตีเขาประกายอรุณครั้งนี้
สวี่ชิงไม่ได้ไล่โจมตีต่างเผ่าปีกดำไปจนสุดขอบฟ้า ร่างเขาเพียงไหววูบก็หิ้วหนิงเหยียนสังหารผู้บำเพ็ญไร้สังกัดที่หนีกระจัดกระจายรอบๆ เขารวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ลงมืออย่างโหดเหี้ยม เลือดค่อยๆ ไหลกลายเป็นแม่น้ำ เสียงโหยหวนน่าสังเวชน้อยลงเรื่อยๆ
บรรพจารย์สำนักวัชระกับเจ้าเงาก็แผ่ขยายไล่โจมตีไปเช่นกัน อสูรสมุทรบรรพกาลดำดิ่งลงไป กลืนกินทั้งแปดทิศ
จวบจนเมื่อผู้บำเพ็ญที่สามารถมองเห็นได้ถูกสวี่ชิงฆ่าไปหมด เขาถึงได้เก็บทุกอย่าง เก็บหมอกพิษที่ตลบอวลอยู่ที่นี่กลับมา แล้วจึงสลายแสงประกายอรุณที่ปกป้องผู้ครองกระบี่หลายสิบคนไป
ผู้ครองกระบี่เหล่านี้อาการบาดเจ็บของทุกคนไม่เบาเลย แต่ในดวงตาตอนนี้ล้วนแฝงด้วยความตื่นตะลึงฮึกเหิมและความยากจะเชื่อ สายตาที่มองมาทางสวี่ชิงต่างเต็มไปด้วยความยำเกรงและความคลั่งไคล้ ต่างพากันก้าวขึ้นไปโค้งคารวะ
“คารวะอาลักษณ์สวี่!”
ซุนไห่ ชายชราที่อยู่ในนั้นรีบก้าวขึ้นไป โค้งคารวะสวี่ชิงอย่างเคร่งขรึม
“ข้าน้อยซุนไห่คารวะอาลักษณ์สวี่!”
จากเสียงแตกตื่นฮือฮาของนักโทษพวกนั้นก่อนหน้านี้ เขาก็มั่นใจในฐานะของสวี่ชิง โดยเฉพาะก่อนหน้านี้สวี่ชิงทำตามคำสั่งของเจ้าวัง ประกาศโองการหลายฉบับทั่วทั้งเขตปกครองผนึกสมุทร
ในเสี้ยวขณะนั้น ชื่อของเขาก็เลื่องลือไปทั่วทั้งโถงครองกระบี่เขตปกครองผนึกสมุทรแล้ว
และตำแหน่งอาลักษณ์ย่อมสูงกว่าผู้ครองกระบี่ทั่วไป ดังนั้นซุนไห่เรียกตัวเองว่าข้าน้อยนั้นไม่ผิด
ตอนนี้ขณะที่ทำความเคารพ ในใจของซุนไห่ก็เกิดคลื่นยักษ์ซัดอยู่ตลอดเวลา เขาในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดที่เพิ่งทะลวงขั้นได้ ย่อมรู้ดีถึงความแข็งแกร่งของศัตรูที่มารุกรานครั้งนี้ ลำพังเพียงระดับปราณก่อกำเนิดต่างเผ่าสามตนนั้นที่ปรากฏให้เห็นซึ่งหน้า ก็ทำให้พวกเขาไม่อาจต้านทานได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้แข็งแกร่งห้าปราณตนนั้นที่ปรากกฏขึ้นในตอนท้าย
พลังบำเพ็ญระดับห้าปราณ ในผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดทั่วไปก็นับว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่ใกล้เคียงกับระดับสูงสุดแล้ว กระทั่งว่าหากอยู่ในขั้วอำนาจสำนักใดก็ตาม ล้วนเป็นกำลังสำคัญอย่างแน่นอน
อย่างไรเสียเทียบกับอัจฉริยะโดดเด่นแล้ว ผู้บำเพ็ญทั่วไปที่เป็นระดับไฟชีวิตสามดวงหกวังสวรรค์ทะลวงขอบเขตถึงจะมีจำนวนมากที่สุด พวกเขาเมื่อทะลวงขั้นแล้วขีดจำกัดสูงสุดคือหกปราณ ดังนั้นห้าปราณทุกคนล้วนจะดูถูกไม่ได้
แต่สวี่ชิงทางนี้ไม่ใช่แค่สังหารช่วงกลางสองตน ยิ่งทำให้ผู้บำเพ็ญห้าปราณตนนั้นเลือกที่จะถอยหนี กำลังรบเช่นนี้แสดงออกมาจากระดับแก่นลมปราณคนใดก็ตามยิ่งเป็นที่น่าตื่นตะลึงทั้งนั้น
เรื่องจริงก็เป็นเช่นนั้น ครั้งนี้หากไม่ใช่สวี่ชิงมาเขาประกายอรุณเพื่อตรวจสอบ เกรงว่าเขาประกายอรุณตอนนี้คงถล่มไปแล้ว และเรื่องนี้ดูเหมือนบังเอิญ แต่ความจริงแล้ว ทั่วทั้งเขตปกครองผนึกสมุทร จำนวนครั้งของเรื่องประเภทนี้ที่เกิดขึ้นก็มากขึ้น
“ข่าวสารข้อมูลของข้าทางนี้ไม่ได้แม่นยำรวดเร็วขนาดนั้น รู้เพียงโถงครองกระบี่สามมณฑลที่เหลือ หลังจากที่สนามศึกทางตะวันตกและเหนือเพลี้ยงพล้ำ ก็ถูกเผ่าที่มีใจวางแผนคิดเป็นอื่นบางเผ่าแอบให้การสนับสนุนทำลายอาวุธ ผลักดันผู้บำเพ็ญไร้สังกัดโจมตียึดครอง แต่ดีที่สำนักเผ่ามนุษย์ไปออกรบ จึงไม่ได้รับผลกระทบ”
ซุนไห่เอ่ยอย่างขมขื่น
“จำนวนที่แท้จริงเกรงว่าคงจะสาหัสมากกว่านี้ แต่ว่าพวกมันก็กล้าแค่ซ่อนอยู่ในที่ลับเท่านั้น สนามศึกทางตะวันตกและทางเหนือเหนือพวกเราเผ่ามนุษย์ยืนหยัดรักษาเอาไว้ไม่แตกได้หนึ่งวัน พวกมันก็ไม่กล้าโจมตีโถงครองกระบี่ซึ่งหน้าหนึ่งวัน อีกทั้งเป้าหมายของต่างเผ่าพวกนี้ก็เดาไม่ยาก นี่ก็เพื่อเตรียมสิ่งแสดงความจงรักภักดีเอาไว้หลังจากที่สนามศึกแตกพ่าย เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์รุกรานเข้ามา
“หวังเพียงหลังจากที่เผ่ามนุษย์เราผ่านพ้นเคราะห์ภัยครั้งนี้ไปได้ ก็สังหารต่างเผ่าที่จิตใจชั่วช้าพวกนี้ให้สิ้นซาก!”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง ตอนนี้เป็นเวลารุ่งสาง ความมืดถูกอาทิตย์รุ่งอรุณขับไล่จากที่ไกลๆ แสงอาทิตย์หมื่นจั้งสาดส่องมาบนเขาประกายอรุณ ทำให้แสงพรายรุ้งยามเช้าของภูเขาลูกนี้สาดทอ ระยิบระยับพราวพร่าง
จ้องมองเขาประกายอรุณหลังการต่อสู้ แม้ที่นี่จะเละเทะระเนระนาดไปหมด แต่สภาพความเสียหายไม่อาจบดบังความงดงาม ภายใต้แสงรุ้งพราย ทุกอย่างยังคงสวยงาม
“ทุกอย่างจะดีขึ้น” สวี่ชิงที่ถูกแสงพรายรุ้งส่องสะท้อน ในแสงอาทิตย์นั่น เอ่ยขึ้นมาอย่างแผ่วเบา
สามวันหลังจากนั้น หลังจากที่ซ่อมค่ายกลทำให้เปิดมันขึ้นใหม่อีกครั้ง สวี่ชิงก็ไปจากเขาประกายอรุณ ตอนมาเขามาคนเดียว ตอนกลับมีหนิงเหยียนอยู่ข้างกาย
เหตุที่จากไปเร็วแบบนี้ นอกจากจะเพราะสวี่ชิงตรวจสอบเบาะแสที่ต้องการได้แล้ว สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ…ในวันที่สามเขาได้รับโองการจากเจ้าวัง
“สวี่ชิง การตรวจสอบจะได้ผลหรือไม่เจ้าวางเอาไว้ก่อน มีเรื่องเกี่ยวกับทางสนามศึก เจ้ารีบกลับเขตปกครองโดยเร็ว!
“แนวรบตะวันตกและเหนือทั้งสองที่ต้องการกำลังทหาร ต้องการทรัพยากร ข้าอยู่แนวหน้าไม่อาจกลับไปได้มอบอำนาจให้เจ้าถืออำนาจแทนข้า ร่วมกับปลัดเขตปกครอง จัดการเรื่องนี้ที่เขตปกครองหลวง
“ป้ายคำสั่งของเขา ตอนนี้เจ้ามีอำนาจเต็ม!”
เสียงของเจ้าวังฉายความเหนื่อยล้าอยู่ลึกๆ ในเสี้ยวขณะที่ดังออกมา แสงสีทองทางหนึ่งก็พุ่งลงมาจากตาข่ายบนท้องฟ้า ตรงดิ่งมาที่ป้ายของเจ้าวังที่อยู่บนตัวสวี่ชิง ท่ามกลางเสียงกร๊อบๆ เป็นระลอกๆ ที่ดังสะท้อน ป้ายคำสั่งป้ายนี้ก็เปิดความสามารถออกทั้งหมด
“น้อมรับคำบัญชา!”