ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 496 เผ่านี้ต้องดับสูญ
บทที่ 496 เผ่านี้ต้องดับสูญ
หนิงเหยียนสมองอื้ออึง ใจโหมกระพือคลื่นใหญ่ แปรเป็นระลอกคลื่นน่าตื่นตะลึง อื้ออึงไปทั่วร่างไม่หยุด
เขารู้ดีว่าหัวทั้งสามของชิงฉินสูงส่งเหลือคนา สำหรับมันที่หยิ่งทะนง ไม่ว่าจะหัวใดก็มีความหมายอย่างมหาศาล
ในนี้ตรงกลางมีดวงชีพของมันอยู่ ส่วนซ้ายและขวาก็มีความหมายแฝงที่แตกต่างกัน ที่สามารถใช้หัวขวายกตัวสวี่ชิง จากสิ่งที่หนิงเหยียนรู้ ถือเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย
นี่ไม่เกี่ยวข้องกับพลังบำเพ็ญ แต่เกี่ยวข้องกับการยอมรับของชิงฉิน หัวหลักตรงกลางจะแบกเพียงนายของมันเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะชิงฉินในปัจจุบัน หรือว่าปฐมบรรพจารย์ในอดีตก็ตาม ล้วนไม่เคยมีนิสัยยอมรับเป็นเจ้านายมาก่อน
ส่วนหัวซ้ายที่มาปรากฏตรงนั้นได้มีเพียงทายาทของมันเท่านั้น หากต่างเผ่ามาเหยียบย่ำ ก็เท่ากับเป็นความอัปยศมหาศาล ถ้าไม่ตายจะไม่มีวันเลิกรา
ส่วนหัวขวา เป็นตัวแทนว่าชิงฉินยอมรับในระดับเดียวกัน เหมือนกับเป็นสหายของเผ่ามนุษย์ เจ้าเขตปกครองคนก่อนก็ยืนอยู่ตรงนั้น
‘ชิงฉินยอมรับสวี่ชิงเป็นเพื่อนของมันหรือ’
หนิงเหยียนสูดลมหายใจลึก มองสวี่ชิงที่ยืนอยู่บนหัวขวาราวกับจ้องมองเทพเจ้า
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามองสวี่ชิงเช่นนี้ ก่อนหน้านี้หลังจากที่รู้ว่าสวี่ชิงคือบุตรเทวะฟ้าทมิฬ ในใจเขาก็เกิดคลื่นยักษ์กระหน่ำซัด
และตอนนี้ ก็เป็นเช่นเดียวกัน
เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้ ดังนั้นความคิดแรกในสมองก็คือชิงฉินศรัทธาพระจันทร์สีชาด และมองสวี่ชิงเป็นบุตรเทวะ
‘แต่ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ควรเป็นหัวขวาสิ’
หนิงเหยียนงุนงง
สวี่ชิงก็งุนงง เขาก่อนหน้านี้เตรียมจะเอาพระจันทร์สีชาดออกมาข่มแล้ว แต่กลับราบรื่นเกินกว่าที่คิดไว้ เขายังไม่ทันจะคุกคามข่มขู่ มหาวิหคชิงฉินก็แสดงความเป็นมิตรออกมาแล้ว
ตอนนี้ แม้ว่าสวี่ชิงจะไม่รู้ว่าหัวของชิงฉินทั้งสามหมายถึงอะไร แต่อีกฝ่ายก็แบกเขาขึ้นมาเอง ความหมายของภาพนี้ ย่อมชัดเจนแจ่มแจ้ง
“ไยจึงเป็นเช่นนี้…”
สวี่ชิงสับสนเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันที่เขาจะคิดถึงต้นสายปลายเหตุ มหาวิหคชิงฉินก็ส่งเสียงร้องแกว๊ก ฟ้าดินอื้ออึง ร่างกายที่ใหญ่โตของมันพุ่งทะยานออกมาจากชั้นหมอก
เมฆดำบนท้องฟ้าแตกซ่านจนสิ้น ในขอบฟ้าสายอัสนีแผ่ซ่านราวกับบ่อสายฟ้า ก็เผยร่างทั้งหมดของชิงฉินออกมา
หัวยาวพันจั้ง ช่วงลำตัวหมื่นจั้ง ร่างกายสีม่วงแดง แต่ปีกกลับเล็กมาก
ขนบนตัวก็ให้ความรู้สึกรกรุงรัง แต่กลับมีคลื่นพลังความเป็นเทพที่น่าตกตะลึง แผ่ซ่านไปทั้งฟ้าดินรอบๆ ตัวมัน
เวลานี้หลังจากพุ่งออกจากชั้นหมอก มันก็บินวนบนท้องฟ้า ทุกจุดที่แล่นผ่านฟ้าดินเปลี่ยนสี หลั่งทะลักไปทั่วทิศ และมีเสียงคำรามบาดหูดังก้องไปทั้งท้องฟ้า
สวี่ชิงยืนอยู่บนหัวขวาของมัน จ้องมองลงมายังแผ่นดินใหญ่ ความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อนก็ฉายขึ้นมาในใจ จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจลึก คารวะอย่างลึกซึ้งไปทางศีรษะทั้งสอง
“ขอบคุณผู้อาวุโส!”
หัวตรงกลางของมหาวิหคชิงฉินยกเงยขึ้น พยักหน้าเล็กน้อยให้สวี่ชิง ส่งเสียงร้องแกว๊กออกมา ไม่ได้แฝงจิตสังหาร แต่กลับฉายความยินดีออกมาแทน
เห็นทั้งหมดนี้ จู่ๆ ในสมองหนิงเหยียนก็ปรากฏความคิดที่ไม่อยากเชื่อขึ้นมา
‘สาเหตุที่ชิงฉินปรากฏตัวที่นี่ แต่ไม่ได้อยู่ที่รังเก่า หรือว่า…เป็นเพราะสวี่ชิง?
‘มันคงไม่ได้ซ่อนตัวอยู่ในหมอกเมฆบนท้องฟ้าตั้งแต่แรกหรอกกระมัง เมื่อสวี่ชิงมาถึงเมืองหลวงเขตปกครอง มันก็แอบตามมา…ฮ่าๆ เป็นไปได้อย่างไร” หนิงเหยียนถูกความคิดของตนทำให้ตกใจไปแล้ว
แต่ไม่นาน เขาก็รู้สึกเหมือนว่าคำตอบนี้ไขปัญหาทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์
ไม่เช่นนั้นจะบังเอิญขนาดนี้ได้อย่างไร ห่างจากสถานที่รังเก่าของมันตั้งไกล แต่สวี่ชิงเมื่อตะโกน อีกฝ่ายก็ปรากฏตัว เมื่อสวี่ชิงเอื้อนเอ่ย อีกฝ่ายก็เห็นด้วย
‘พวกเขารู้จักกันหรือ ไม่สิ พวกเขาไม่รู้จักกัน แต่ไม่รู้จักกันแล้วทำไมจึงเป็นเช่นนี้!!’ ตอนที่หนิงเหยียนสับสนอย่างที่สุด สวี่ชิงก็สะกดความสงสัยต่างๆ ในใจลง
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาครุ่นคิด ถึงแม้เขาจะคาดเดาว่าเจ้าวังจะต้องมีวิธีจัดการปัญหาต่างๆ ที่แนวหน้าแน่นอน แต่สวี่ชิงก็รู้ดีว่าต้องรีบทำภารกิจของตนให้สำเร็จ
“ผู้อาวุโสชิงฉิน ได้โปรดกลับไปยังเมืองหลวงเขตปกครองกับข้าด้วย” สวี่ชิงประสานหมัดเอ่ยขึ้น
ชิงฉินผงกหัว เมื่อจะบินไป สวี่ชิงก็นึกถึงหนิงเหยียนขึ้นมา จึงรีบแจ้งกับมหาวิหคชิงฉิน
ชิงฉินเหลือบมองมา ในดวงตาเผยความชิงชัง แต่ก็ยังคว้ามา ขณะที่หนิงเหยียนกรีดร้อง ก็จับเขาเอาไว้ในกรงเล็บ กระพือปีก บินออกไปราวสายฟ้า
ด้วยความเร็ว ทำให้สวี่ชิงสัมผัสได้ว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่า “ร่นขอบฟ้า”
ที่นี่ห่างไกลจากเมืองหลวงเขตปกครองมาก แต่จากการโผบินของชิงฉิน มิติก็เลือนราง ฟ้าดินบิดเบี้ยว ภายใต้การปะทุของสายอัสนีติดต่อกัน เพียงชั่วก้านธูป เมืองหลวงเขตปกครองก็อยู่ในสายตาแล้ว
สวี่ชิงไม่เคยสัมผัสความเร็วเช่นนี้มาก่อน ขณะที่ระลอกคลื่นในใจซัดกระหน่ำ การปรากฏตัวของชิงฉินก็ก่อให้เกิดการจับตามองจากเมืองหลวงเขตปกครอง
ร่างของปลัดเขตปกครองก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศในพริบตาจากการระเบิดของค่ายกลเมืองหลวงเขตปกครอง ขณะที่มองไปทางชิงฉินสีหน้าก็เปลี่ยนไป หลังจากสังเกตเห็นสวี่ชิงบนหัวด้านขวา เขาก็ตกตะลึง จากนั้นก็ถอนหายใจยาวออกมา
“สวี่ชิง เรื่องเกี่ยวกับการป้องกันเมืองหลวงเขตปกครอง ดังนั้น…” ปลัดเขตปกครองพูดยังไม่ทันจบ และไม่ถามว่าสวี่ชิงอยู่กับชิงฉินได้อย่างไร เขาเข้าใจว่าทุกคนมีความลับกันทั้งสิ้น ซักไซ้ไล่เลียงมากเกินไปไม่สำคัญ
แต่เขาก็แสดงเจตนาออกมาแล้วว่าเขาไม่อนุญาตให้ชิงฉินเข้าไปในเมืองหลวงเขตปกครอง นี่คือความรับผิดชอบของเขา
เรื่องนี้เข้าใจได้ สวี่ชิงพยักหน้า หลังจากอธิบายกับชิงฉินอย่างนอบน้อมแล้ว ชิงฉินก็แผดเสียง บินขึ้นไปพักผ่อนในชั้นเมฆ ส่วนสวี่ชิงก็ร่อนลงมาเพียงลำพัง หลังจากประสานหมัดให้ปลัดเขตปกครองแล้ว ก็รีบตรงไปยังวังครองกระบี่
พอมาถึงกรมอาลักษณ์ ดวงตาสวี่ชิงก็เปล่งประกาย ตอนนี้เขาได้การช่วยเหลือจากชิงฉินแล้ว สิ่งนี้ทำให้เขามีพลังในการคลี่คลายอุปสรรคทั้งหมด ดังนั้นสิ่งแรกที่ทำหลังจากกลับมา ก็สอบถามเรื่องการรวบรวมเสบียงของต่างเผ่าในเขตปกครองผนึกสมุทรก่อนหน้านี้
ไม่นาน ข้อมูลมากมายก็มารวมกัน ส่วนชิงชิวที่ไม่ได้ถูกส่งไปสนามรบแต่ให้คอยดูแลวังครองกระบี่ก็เข้ามารายงานกับสวี่ชิงด้วยตนเอง
“ต่างเผ่าในเขตปกครองผนึกสมุทรจำนวนห้าหมื่นเจ็ดพันแปดร้อยสี่สิบเอ็ดเผ่า ในบรรดานี้มีเจ็ดส่วนที่ตอบกลับมา สามส่วนไม่มีการตอบกลับ
“ในบรรดาต่างเผ่าที่ตอบกลับมา มีชนเผ่าครึ่งหนึ่ง ยินยอมมอบทรัพยากรให้ในราคาที่ยุติธรรม
“แต่อีกครึ่งกลับคิดราคาสูง มากกว่าราคาปกติสามถึงสิบเท่า โดยเฉพาะ…”
พูดถึงจุดนี้ ชิงชิวก็ลังเล มองไปทางสวี่ชิง
สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ เอ่ยราบเรียบ
“รายงานต่อ”
“โดยเฉพาะชนเผ่าที่พึ่งพาเผ่าเคียงเซียน ยิ่งราคาสูงลิบลิ่ว ยกตัวอย่างลูกกลอนรักษาบาดแผล ลูกกลอนที่เดิมราคายี่สิบหินวิญญาณ พวกเขาต้องการหนึ่งพัน! ส่วนอาวุธเวทที่เดิมราคาหลักแสนหินวิญณาณก็ราคาอยู่ที่สิบล้านหินวิญญาณเป็นราคาเริ่มต้น
“อาวุธเวทสงครามยิ่งไปกันใหญ่
”ส่วนผู้ครองกระบี่ที่ส่งไปยังเผ่าเคียงเซียนถูกปฏิเสธอยู่ด้านนอกประตู เผ่าเคียงเซียนแจ้งมาว่า พวกเขาทำตามคำสั่งของเจ้าวัง เลือกที่จะปิดเผ่า ไม่ให้พวกเราเข้าไปรบกวน”
ชิงชิวพูดจบ ก็ยืนอยู่นิ่งๆ ด้านข้าง สำหรับต่างเผ่าเหล่านี้ นางไม่เคยชิงชังเท่าตอนนี้มาก่อน
เมื่อฟังรายงานจากชิงชิว ดวงตาสวี่ชิงก็เย็นชา ความคิดของเขาก็เป็นเช่นเดียวกับเจ้าวัง อันที่จริงพวกต่างเผ่าที่อยู่ในเขตปกครองผนึกสมุทรไม่ต้องมีมากถึงเพียงนี้
แต่ว่าเขาก็เข้าใจ ความเสื่อมถอยของเผ่ามนุษย์ ยากจะแข็งแกร่งเท่าเดิมในยุคสมัยนี้
หลายปีมานี้ เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อยากเห็นเขตปกครองผนึกสมุทรเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นมีเพียงวิธีการทำให้สมดุลเช่นนี้ ถึงจะลดความขัดแย้งของสงครามได้บ้าง
แต่มองจากผลลัพธ์ เหมือนว่ามีเรื่องบางเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เหมือนกัน
ดังนั้นหลังจากสวี่ชิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก็เอ่ยราบเรียบ
“ส่งข้อมูลเผ่าที่ตั้งราคาสูงเกินธรรมดาให้ข้า นอกจากนี้เอาเอกสารทั้งหมดเกี่ยวกับเผ่านี้มาด้วย หาความผิดที่เผ่านี้ฝ่าฝืนมาในช่วงหลายปี พวกสาเหตุต่างๆ นานาเหล่านั้นที่วังครองกระบี่แค่บันทึกไว้แต่ยังไม่จัดการ”
สวี่ชิงพูดจบก็หลับตาลง
ตอนนี้ท้องฟ้ามืดมิดด้านนอก กำลังอยู่ในช่วงก่อนรุ่งสาง
ความมืดใดด้านนอกรุกเข้ามาในกรมอาลักษณ์ สวี่ชิงที่นั่งอยู่ด้านในก็ดูเหมือนจะกลมกลืนกับความมืด
มองสวี่ชิง ชิงชิวสัมผัสได้ถึงจิตสังหารวูบหนึ่ง กำลังคุกรุ่นอยู่ที่ร่างของอีกฝ่าย จึงก้มหน้ารับคำ หลังจากออกมาก็ไปหาข้อมูลทั้งหมดที่สวี่ชิงต้องการ
ผ่านไปครึ่งก้านธูป ตอนที่รุ่งสางมาเยือน ชิงชิวกลับมาถึงกรมอาลักษณ์ ส่งแผ่นหยกชิ้นหนึ่งให้สวี่ชิง
“เผ่ากระจายวิญญาณตั้งอยู่ที่บนภูเขาที่ชื่อเดียวกับมณฑลชี้แจ้งวิญญาณทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหลวงเขตปกครอง เผ่านี้ไม่ใหญ่นัก ไม่แบ่งสำนัก อาศัยอยู่เป็นชนเผ่า ทั้งหมดแบ่งออกเป็นสี่แขนง เรียกตนเองว่าสี่สายเลือด
“เชี่ยวชาญในการหลอมยาลูกกลอน พึ่งพาตระกูลเสียงสวรรค์ซึ่งเป็นหนึ่งในแปดชนเผ่าใหญ่ใต่อาณัติสามตระกูลใหญ่ของเผ่าเคียงเซียน เสวยสุขกับสัญญาบางอย่างของพันธมิตรเผ่ามนุษย์กับเผ่าเคียงเซียน ในแต่ละปีไม่ต้องส่งของบรรณาการ และได้ปกครองตนเองในอาณาเขตเขาชี้แจ้งวิญญาณบริเวณแสนลี้รอบๆ”
“สี่สายเลือดของเผ่าในช่วงแปดร้อยปีนี้ ความผิดที่เผ่ามนุษย์บันทึกไว้มีจำนวนหนึ่งหมื่นแปดพันเก้าร้อยสามสิบเอ็ดครั้ง นอกจากพันสามร้อยคดีของคดีขั้นแรกหนึ่งถูกจัดการแล้ว ที่เหลือยังไม่มีการดำเนินการ
“นอกจากนี้ เผ่านี้ยังอาศัยเผ่าเคียงเซียน ไม่ทำตามคำสั่งของเจ้าวังที่ให้ระดับสมบัติวิญญาณและหวนสู่อนัตตาเข้าร่วมสงครามอีกด้วย” ชิงชิวมองสวี่ชิงผาดหนึ่ง เอ่ยเสียงแผ่ว
สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ ลุกขึ้นยืน เดินออกไปด้านนอก
“สวี่ชิง เรื่องนี้ต้องรายงานปลัดเขตปกครอง ยื่นเรื่องให้ศาลาว่าการเขตปกครองส่งคนมาหรือไม่” ชิงชิวนึกถึงภาพแต่ละฉากที่ต้นสิบลำไส้ อดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้
สวี่ชิงส่ายหน้า
ตอนที่เขาเดินออกจากกรมอาลักษณ์ ตะวันแรกแย้มบนท้องฟ้า ส่องแสงสว่างเจิดจ้า ขับไล่ความมืดออกไปอย่างรวดเร็ว
“เรื่องนี้ ข้าจะจัดการเอง”
ท่ามกลางแสงตะวัน สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ ส่งเสียงเย็นเยียบออกมา กระโดดออกไป
ท้องฟ้าครืนครัน แรงกดดันมาเยือน ขณะที่ใจผู้คนนับไม่ถ้วนในเมืองหลวงเขตปกครองสั่นสะเทือน ร่างกายใหญ่โตของมหาวิหคชิงฉินก็ปรากฏตัวบนท้องฟ้า
บดบังท้องฟ้าและดวงตะวัน
ร่างเงาขนาดมหึมาบดบังตะวันแรกแย้ม ขณะที่ปกคลุมเมืองหลวงเขตปกครอง สวี่ชิงที่ยืนอยู่บนหัวด้านขวาของมหาวิหคชิงฉินก็ย่อตัวลง ยกมือขวาลูบเบาๆ ที่ผิวหนังสีม่วงแดง เอ่ยเสียงแผ่ว
“ผู้อาวุโส หากท่านมีเวลา พวกเราไปยังดินแดนเขาชี้แจ้งวิญญาณแล้วทำลายเผ่าทิ้งเสียเผ่าหนึ่ง เป็นอย่างไรขอรับ”
เมื่อชิงฉินได้ยินคำพูดของสวี่ชิง ก็ราวกับลิงโลด ยกหัวทั้งสามขึ้นพร้อมกัน เงยหน้าแผดเสียง
เสียงของมันดังลั่นสั่นสะเทือนเมฆา ฟ้าสะท้านดินสะเทือน!
ตอนนี้กางปีกที่ไม่ค่อยจะมีขนออกฉับพลัน เกิดลมพายุคลั่งขนาดยักษ์เชื่อมฟ้าดิน ขณะที่ครืนครันไปรอบทิศ ก็แผ่ความโหดเหี้ยมอำมหิตออกมาด้วย
เมื่อร่างกายมโหฬารไหววูบ ก็พุ่งทะยานออกไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ด้วยความเร็วนี้ เกิดเสียงแหวกอากาศหวีดแหลม เพียงพริบตาก็ไม่เห็นแม้แต่เงา