ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 497 เมฆดำสะกดเซียนเซียนเดือดดาล (1)
บทที่ 497 เมฆดำสะกดเซียนเซียนเดือดดาล (1)
……….
ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหลวงเขตปกครอง มีมณฑลอยู่ทั้งหมดสี่แห่ง
ที่อยู่สุดตะวันตกคือมณฑลเผชิญคลื่น หรือก็คือตำแหน่งสนามรบฝั่งตะวันตกในปัจจุบันนั่นเอง ส่วนทางเหนือคือมณฑลสงบสุข ซึ่งเป็นแนวหน้าของเขตสงครามเช่นกัน
ในช่องแคบของสองมณฑลนี้ จุดที่ถูกล้อมอยู่มีชื่อว่ามณฑลสวนพิรุณ
ที่ราบน้ำแข็งที่มาจากทางเหนือละลายตลอดทั้งปี ทำให้สภาพพื้นดินมณฑลสวนพิรุณเปียกชื้น และใต้ดินยังมีแนวภูเขาไฟอยู่ด้วย ตลอดปีจึงมีหมอกฝนระเหย กลายเป็นสายฝนร่วงหล่นลงมา จึงตั้งชื่อเช่นนี้
ในทิศที่มณฑลสวนพิรุณติดกับเมืองหลวงเขตปกครอง เป็นมณฑลที่สี่ของทั้งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีชื่อว่าชี้แจ้งวิญญาณ
ชื่อนี้มาจากภูเขาที่เลื่องชื่อแห่งหนึ่งในมณฑลนี้
ภูเขาและเทือกเขานั้นแตกต่างกัน
ฝ่ายหลังจะมีการทอดยาวไปยังทิศทางหนึ่งแน่นอน ประกอบด้วยสันเขาและหุบเขาใหญ่อีกหลายแห่งจึงถูกเรียกว่าเทือกเขาเพราะคล้ายกับสายโลหิต มีรอยคดเคี้ยวชัดเจน ทอดยาวต่อเนื่องไม่หยุด ด้วยเหตุนี้จึงแตกต่างจากภูเขา
ส่วนภูเขารอยคดเคี้ยวไม่ชัดเจน มักกระจายรอบๆ แนวภูเขาไฟ มันคล้ายรูปทรงพื้นฐานของยอดเขาและพื้นดินขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่อาณาบริเวณกว้าง ภูเขาเหล่านี้สลับทับซ้อนกัน มีเผ่าอาศัยอยู่ร่วมกันจนเป็นชนเผ่าใหญ่ในภูเขา
เผ่ากระจายวิญญาณ ก็อาศัยอยู่ในพื้นที่เขาชี้แจ้งวิญญาณที่มีอาณาบริเวณนับแสนลี้ผืนนี้
คนของชนเผ่านี้มีรูปร่างสูงใหญ่ เฉลี่ยความสูงคนในเผ่าอยู่ที่ห้าจั้ง วิชาฝึกบำเพ็ญก็เน้นไปทางกายเนื้อ ยิ่งหลังจากที่เข้าไปพึ่งพาเผ่าเคียงเซียน จากประเพณีของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ พวกเขาก็ได้รับมอบสายเลือดของเผ่าเคียงเซียน ทำให้สภาพร่างกายเปลี่ยนแปลง มีปีกงอกออก
เพียงแต่เนื่องจากความใหญ่โตของร่างกายเผ่ากระจายวิญญาณ จึงยากที่ปีกจะสนับสนุนพลังความเร็วในการโผบินให้พวกเขา อย่างมากก็เป็นแค่สัญลักษณ์อย่างหนึ่งเท่านั้น
สาเหตุที่เผ่าเคียงเซียนให้ความสำคัญถึงเพียงนี้ เป็นเพราะเผ่ากระจายวิญญาณนี้มีจุดที่เป็นเอกลักษณ์ในด้านหลอมศัสตราและหลอมยา
หากมองไปทั่วทั้งดินแดนเขาชี้แจ้งวิญญาณจะมีโรงหลอมศัสตราและหลอมยาอยู่มากมายนับไม่ถ้วน มีทั้งแบบทำคนเดียวและแบบที่ร่วมกันทำหลายคน
มีจำนวนมากมายอย่างน้อยก็มากกว่าแสน
เสียงเคร้งๆ รวมถึงกลิ่นยาที่ฟุ้งออกมาจากการหลอมลูกกลอนในภูเขาตลอดทั้งปี ยิ่งมีไฟพิภพที่ถูกดึงออกมาจากพื้นที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่องด้วย ดังนั้นสภาพอากาศของเขตภูเขานี้จึงร้อนเป็นหลัก
พูดได้ว่าทุกวินาที ล้วนมียาลูกกลอนและอาวุธเวทจำนวนมหาศาลที่พวกเขาสร้างออกมา หลั่งไหลเข้าสู่ตลาด
และมีเขตที่มีผนึกต้องห้ามอีกหลายแห่งเป็นคลังที่พวกเขาทำไว้ตากยาลูกกลอนให้แห้งจำนวนมากมายมหาศาล ทำให้รู้สึกต้องเดาะลิ้นด้วยความอิจฉา
และการใช้พลังไฟพิภพมาใช้กับพรสวรรค์การสร้างสรรค์ของเผ่าพวกเขา ทำให้ยาลูกกลอนและอาวุธเวทที่ออกมาเป็นของชั้นหนึ่งในตลาด ราคาไม่ธรรมดา
แต่จะสูงเพียงใด ก็เป็นไปไม่ได้ที่ในยามปกติราคายี่สิบหินวิญญาณ พุ่งไปถึงหนึ่งพันหินวิญญาณ
เรื่องเหลวไหลเช่นนี้ ถ้าเป็นช่วงก่อนเกิดสงคราม ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้ ไม่ต้องพูดเรื่องซื้อขายเลย ถ้าแค่วังกระบี่ต้องการ ประกาศโองการมาอย่างเดียวก็พอ
แม้จะพึ่งพาเผ่าเคียงเซียน แต่เผ่ากระจายวิญญาณก็เข้าใจวิถีความสมดุลเป็นอย่างดี ไม่ผิดใจกับเผ่ามนุษย์เพราะเรื่องเล็กๆ แค่นี้ ต่อให้ตอนนี้เผชิญหน้ากับคำร้องขอของวังครองกระบี่ แต่อันที่จริงพวกเขาก็มีการตัดสินใจของตนกันภายใน
ตอนนี้ ในตำหนักเทพเขาบรรพชนของเผ่ากระจายวิญญาณ หัวหน้าเผ่าของทั้งสี่สายโลหิตใหญ่ของเผ่านี้นั่งอยู่ด้านใน กำลังดำเนินการหารือลับ
“ราคาสูงถึงเพียงนี้ คือเพื่อแสดงจุดยืนของพวกเราให้เผ่าเคียงเซียน!”
“ช่วงนี้เป็นช่วงสงคราม แผ่นดินเผ่ามนุษย์น่าจะคงอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว”
หัวหน้าเผ่าทั้งสี่สายโลหิตในตำหนักเทพล้วนสวมชุดราคาแพง บนตัวมีเครื่องประดับและอาวุธเวทหรูหราอยู่ไม่น้อย
ส่วนศาลเจ้าเทพที่พวกเขาอยู่ก็บูชารูปสลักสององค์ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าและหลัง รูปสลักด้านหน้ามีหน้าตาคล้ายคลึงกับพวกเขา ส่วนด้านหลังอีกองค์ คือเซียนที่โบยบินอยู่บนฟากฟ้า
เป็นปฐมบรรพจารย์แห่งเผ่าเคียงเซียนเช่นกัน
เบื้องหน้ารูปสลักทั้งสองนี้วางผลไม้วิญญาณล้ำค่ารวมถึงยาลูกกลอนชั้นดีไว้มากมาย แผ่ระลอกคลื่นพลังปราณวิญญาณที่เข้มข้นออกมา มีจำนวนนับหมื่น
นี่คือความเคารพศาลเจ้าเทพของพวกเขา
แต่ผลไม้วิญญาณหรือยาลูกกลอนทุกชิ้น ในแนวหน้าสนามรบเวลานี้ถือเป็นของที่ขาดแคลนอย่างหนัก
สงครามที่ปกป้องเขตปกครองผนึกสมุทรดำเนินการมาถึงตอนนี้ คนที่บาดเจ็บมีอยู่มากมายมหาศาล
ดังนั้นยาลูกกลอนกับผลไม้วิญญาณเหล่านี้ หากกล่าวว่าหนึ่งชิ้นสามารถช่วยได้หนึ่งชีวิตก็เกินจริง แต่สิบชิ้นช่วยได้หนึ่งชีวิตนี่ก็ถือว่าใกล้เคียง
ทว่าเวลานี้หัวหน้าเผ่าทั้งสี่ ไม่มีใครสนใจความเป็นตายของเผ่ามนุษย์ในนสนามรบ ในมุมมองพวกเขา พวกเขาสนใจแต่ผลกระทบในอนาคตที่จะส่งผลกับเผ่าของตนเท่านั้น
“แต่ว่าพวกเราก็ยังต้องไว้หน้าโหวเหยาอยู่ ถึงอย่างไรหลายร้อยปีมานี้ โหวเหยาก็มอบความสะดวกสบายให้กับพวกเราไม่น้อย เพื่อสร้างภาพลักษณ์กับชนเผ่าอื่นว่าชนเผ่ากระจายวิญญาณของพวกเราเป็นประเภทมีบุญคุณต้องทดแทน ยังต้องส่งยาลูกกลอนไปส่วนหนึ่ง”
“ก็ดี พวกเราก็เรียกราคาสูงเป็นส่วนใหญ่ ใช้สิ่งนี้แสดงจุดยืนต่อเผ่าเคียงเซียน จากนั้นค่อยมอบส่วนน้อยไปเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้กับพวกเรา และสุดท้ายก็ขายส่วนน้อยในราคาปกติ เพื่อเป็นการแสดงท่าทีของพวกเรา”
“อันที่จริงนี่ก็เป็นความคิดของคนในเผ่าทั้งหมด ก่อนที่ข้ามาที่นี่ก็สำรวจในเผ่าเรียบร้อย ล้วนยอมรับการขายราคาสูงในช่วงนี้ ถึงอย่างไร…เผ่ามนุษย์ก็ร่ำรวยกันอยู่แล้ว”
“สายโลหิตของข้าก็เช่นกัน มีคนไม่น้อยเสนอว่าให้ล้างคลังพวกยาลูกกลอนที่คุณภาพรองลงมาที่เดิมทีจะเป็นขยะเหล่านั้น แต่ว่าเรื่องนี้ก็อาจจะทำให้เกิดข้อพิพาทขึ้นมาได้ง่าย น่าเสียดาย”
“ในเมื่อความคิดทุกคนตรงกัน เช่นนั้นก็ทำตามวิธีการเดิม หนึ่งสายโลหิตสนับสนุนกำลังคน หนึ่งสายโลหิตตอบแทนบุญคุณให้เป็นที่ประจักษ์ หนึ่งสายโลหิตคอยเฝ้าสังเกตการณ์และลอบติดต่ออย่างเงียบๆ กับเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ต่อไป และอีกหนึ่งสายโลหิตก็ไปแสดงจุดยืนกับเผ่าเคียงเซียนต่อ!”
“เพื่อให้เรื่องนี้สมจริง พวกเรายังต้องโต้เถียงแสดงละครกันต่อไปอีกสองสามวัน…”
หัวหน้าเผ่ากระจายวิญญาณสี่คนนี้ยิ้มให้กัน พากันลุกขึ้น ขณะที่กำลังจะจบการหารือลับครั้งนี้ ตอนนี้เอง พลังน่าครั่นคร้ามทำให้คนพรั่นพรึงถึงขีดสุด แรงกดดันที่น่ากลัวกระทั่งหัวใจยังต้องหยุดเต้นไปขณะหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันจากฟากฟ้า
พริบตาที่สีหน้าหัวหน้าเผ่าทั้งสี่เปลี่ยนไป พื้นสะเทือนเขาสั่นไหว เสียงครืนครันพลันดังสนั่นดังก้องไปทั้งภูเขาชี้แจ้งวิญญาณในตอนนี้
มองไกลๆ ท้องฟ้าของภูเขาบรรพชนเผ่ากระจายวิญญาณที่ตำหนักเทพตั้งอยู่ แสงสีม่วงแดงเจิดจ้า วิหคสามหัวขนาดหมื่นจั้งตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากเมฆหมอกในพริบตา กรงเล็บขนาดยักษ์สองข้าง คว้ายอดของตำหนักเทพบนยอดเขา
เมินการป้องกันของเขาลูกนี้ ไม่สนใจผนึกต้องห้ามของตำหนักเทพ ไม่สนใจทุกสิ่งอย่าง พุ่งทะลวงเข้ามาท่ามกลางเสียงครืนครันดังลั่น ทั่วทั้งตำหนักเทพรวมถึงเทวรูปด้านในแตกเป็นเสี่ยงๆ ทันที
ยิ่งขณะที่มันทะลวงเข้ามา กรงเล็บของมหาวิหคจับที่ภูเขาไว้แน่น เมื่อกระพือปีกภูเขาบรรพชนแห่งเผ่ากระจายวิญญาณลูกนี้ก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ถูกยกขึ้นมา!
หินภูเขามหาศาลร่วงหล่น ฝุ่นธุลีราวหมอกฟุ้งกระจายไปทั่ว เศษต้นไม้ใบหญ้านับไม่ถ้วนร่วงหล่นลงมา เขาบรรพชนลอยเอียงขึ้นไป
คนเผ่ากระจายวิญญาณที่เห็นภาพนี้ทั้งหมดตาโตอ้าปากค้าง หัวสมองร้องกู่ก้องรุนแรง
โดยเฉพาะเหนือศีรษะของนกประหลาดตัวนั้น มีร่างเงายืนอยู่ เวลานี้ก็ยิ่งดูสะดุดตามากขึ้น
ร่างหนึ่งในชุดนักพรตผู้ครองกระบี่สีขาว ผมยาวสีเหมือนดำคล้ายม่วง ใบหน้าหล่อเหลาแต่กลับเย็นชาเต็มเปี่ยม ทั้งหมดทั้งมวล สั่นสะเทือนไปทั่วสารทิศในแค่สิบกว่าอึดใจ
จนกระทั่งชิงฉินยกเขาบรรพชนเผ่ากระจายวิญญาณลอยขึ้นมากลางอากาศ ขณะที่แผดเสียงคำรามดังก้องชั้นเมฆ กรงเล็บก็ออกแรงจิก ทันใดนั้นทั้งเขาบรรพชนก็เกิดรอยร้าวนับไม่ถ้วน แผ่ลามออกไปอย่างรวดเร็ว และแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกลางอากาศ ระเบิดแตกในที่สุด
หัวหน้าเผ่าทั้งสี่ของเผ่ากระจายวิญญาณกระอักเลือด สีหน้าพรั่นพรึงและโกรธแค้น ฝืนหนีออกไปคนละทิศคนละทาง
มองเขาบรรพชนที่พังทลาย มองนกประหลาดที่น่ากลัวนั่น มองสวี่ชิงที่อยู่บนนั้น เสียงคำรามจนปอดแทบฉีก ดังออกมาจากปากของพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง
“ชิงฉิน!?”
“ผู้ครองกระบี่!!”
“ผู้อาวุโสชิงฉิน ท่านมาทำลายตำหนักเทพเขาบรรพชนเผ่าข้าด้วยเหตุอันใด!!”
พลังบำเพ็ญของหัวหน้าเผ่าทั้งสี่นี้อยู่ในระดับสมบัติวิญญาณ ทว่ายังไม่สำเร็จสมบัติลับ แต่อยู่ในช่วงบ่มเพาะสมบัติลับที่หนึ่งขั้นต้น
ระดับสมบัติวิญญาณ การบ่มเพาะสมบัติลับเชื่องช้าและยากลำบากมาก ดังนั้นสมบัติวิญญาณส่วนใหญ่จึงอยู่ที่ขั้นตอนบ่มเพาะมรรคา มีเพียงการก่อร่างสร่างโลกในสมบัติลับให้สำเร็จเท่านั้น จึงจะมีวิถีสวรรค์ ถึงจะกลายเป็นสมบัติลับที่สมบูรณ์ชิ้นหนึ่ง
แต่ต่อใหเป็นแค่ช่วงบ่มเพาะ พลังบำเพ็ญของพวกเขาก็เพียงพอจะสะกดปราณก่อกำเนิดทั้งหมดได้
ตอนนี้ขณะที่ทั้งสี่คนคำราม ยอดเขากระบี่นับสิบที่ห่างออกไปก็สั่นสะเทือนพร้อมกัน ภูเขาที่อยู่ริมสุดสองฝั่ง ทะเลสาบที่เดิมทีมีอยู่บัดนี้กลับโหมคลื่นยักษ์ขึ้นมา
น้ำทะเลสาบนับไม่ถ้วนตีเกลียวจนไปรวมอยู่ด้านหนึ่ง ดวงตาคู่หนึ่งที่ขนาดเท่ากับทะเลสาบก็ลืมขึ้นมาในทะเลสาบ
จ้องชิงฉินบนฟากฟ้าเขม็ง
“สหายชิงฉิน มาที่นี่ด้วยเหตุอันใด!”
หลังจากที่ดวงตาขนาดยักษ์นี้ลืมตื่น เสียงเหมือนระฆังก็ดังก้องไปทั้งแผ่นดินใหญ่ ถัดมาก็มีร่างขนาดยักษ์แปดพันจั้ง ลุกขึ้นยืนช้าๆ
ยอดเขากระบี่นับสิบที่อยู่บนตัวมันแต่เดิมเวลานี้ก็ลุกขึ้นมาด้วย กลายเป็นหนามแหลมบนตัวมันทันที
ส่วนหัวก็เช่นกัน
ท่านนี้คือปฐมบรรพจารย์หวนสู่อนัตตาเพียงหนึ่งเดียวในเผ่ากระจายวิญญาณ
ในดวงตาเขามีริ้วมรรคาไหลเวียน ด้านนอกมีเงานับไม่ถ้วนซ้อนทับ และเหมือนจะยังมีโลกใบเล็กก่อตัว แต่ยังทำได้ไม่ถึงระดับให้ปรากฏตัวขึ้น อยู่ในระดับหวนสู่อนัตตาขั้นสองระดับสมบูรณ์ ขั้นสามครึ่งก้าว
เวลานี้เขาดูเหมือนจะสงบ แต่ในใจกลับพรั่นพรึงมหาศาล
“แกว๊ก!” กลางอากาศ ชิงฉินส่งเสียงหยามหมิ่นออกมา สวี่ชิงที่ยืนอยู่บนหัวขวาของเขา มองทั้งหมดนี้อย่างเย็นชา เอ่ยเสียงเย็นเยียบ
“สี่สายโลหิตของเผ่ากระจายวิญญาณ แปดร้อยปีมานี้ ฝ่าฝืนกฎระเบียบเผ่ามนุษย์หนึ่งหมื่นแปดพันเก้าร้อยสามสิบเอ็ดครั้ง ยังไม่ได้ดำเนินการ
“และครั้งล่าสุด คือการไม่ยอมดำเนินการตามโองการของเจ้าวังครองกระบี่ในการให้สมบัติวิญญาณและหวนสู่อนัตตาเข้าร่วมสงคราม
“วันนี้ที่ข้าสกุลสวี่มาที่นี่ ก็เพื่อจับกุมอาชญากรทั้งหมดในช่วงแปดร้อยปีนี้!”
เมื่อสวี่ชิงเอื้อนเอ่ย ทั่วทั้งเขาชี้แจ้งวิญญาณก็สั่นสะเทือน คนจำนวนนับแสนในเผ่าพากันเดินออกมาจากทั่วสารทิศ มองมหาวิหคบนท้องฟ้าด้วยสายตาโกรธแค้น
มองไป บนพื้นดินล้วนเป็นยักษ์ พลังเลือดลมที่แผ่ออกมาจากร่างพวกเขาน่าตกตะลึงยิ่งกว่า
“เผ่าของข้าพึ่งพาเผ่าเคียงเซียน ไม่ได้ละเมิดพันธสัญญาพันธมิตรเผ่ามนุษย์ วันนี้มีผู้ครองกระบี่ทำลายภูเขาแห่งนี้ ก็เท่ากับทำลายสัญญาพันธมิตร!” เงาร่างยักษ์บนพื้น ส่งสายตามาที่สวี่ชิงเป็นลำดับแรก
“เจ้าคิดจะก่อความวุ่นวายภายในใหญ่โตในเขตปกครองผนึกสมุทร ขณะที่แนวหน้ากำลังวิกฤตอยู่ในตอนนี้อย่างนั้นหรือ”
สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ หันไปคารวะศีรษะตรงกลางของชิงฉิน
“ผู้อาวุโสชิงฉิน โปรดท่านลงมือทำลายเผ่านี้ทิ้งด้วยขอรับ”
ชิงฉินดวงตาเผยประกาย ร่างสั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างตื่นเต้น มันไม่ได้ลงมือทำลายล้างเผ่ามานานแล้ว หลายครั้งหลังจากที่มันตื่นขึ้นมาก็รู้สึกทอดถอนใจ รู้สึกว่าในฐานะที่เป็นตัวตนดุร้าย ถ้าไม่ทำลายเผ่า จะคู่ควรกับสายเลือดนี้ได้อย่างไร
นอกจากนี้นานแล้วที่มันไม่ได้กินเลือดเนื้อ ทั้งวันเอาแต่กลืนกินลมฟ้าเมฆหมอกจนลิ้นมันด้านชาไม่รู้รสไปนานแล้ว
แต่ก่อนหน้านี้มันเลือกข่มเอาไว้ ถึงอย่างไรเผ่ามนุษย์ในเขตปกครองผนึกสมุทรนี้ก็ยังรักษาสมดุลอยู่ ถึงแม้มันจะไม่สนใจ แต่ก็ขี้เกียจไปทำลาย
ส่วนพี่ใหญ่ที่มันนับถือที่สุดในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณก็เตือนให้มันลงความโหดเหี้ยม อย่างสังหารเผ่าต่างๆ โดยเฉพาะเผ่ามนุษย์ จะได้ไม่เดินซ้ำรอยปฐมบรรพจารย์
ให้มันมีเพื่อนมากๆ นี่ถึงจะเป็นวิถีที่ยืนยาว
ทว่าตอนนี้ ในเมื่อพี่น้องที่พี่ใหญ่ให้ตนคอยดูแลเอ่ยร้องขอขึ้นเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นผู้ครองกระบี่ มันก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องดี ตนไม่มีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธ
ส่วนทำไมเผ่ามนุษย์คนนี้จึงเป็นพี่น้องกับพี่ใหญ่ เรื่องนี้มันไม่สนใจ มันรู้แค่ว่าพี่ใหญ่ดีกับตน ชีวิตนี้ยากจะทดแทนได้ ดังนั้นคำขอร้องของพี่ใหญ่ ตนจะไม่ทำให้พี่ใหญ่ต้องขายหน้า
ดังนั้น หลังจากที่ส่งเสียงร้องแกว๊ ชิงฉินก็ระเบิดจิตสังหาร ร่างไหววูบ พุ่งไปทางเผ่ากระจายวิญญาณฉับพลัน
“ช้าก่อน!!” บนพื้นดิน ปฐมบรรพจารย์เผ่ากระจายวิญญาณใจสั่นสะท้าน รีบร้อนเอ่ย
ทว่า ไม่มีประโยชน์
ด้วยความเร็วของชิงฉิน เพียงพริบตาก็พุ่งลงมา
พื้นดินสะเทือนสั่นไหวอย่างรุนแรง ภูเขานับไม่ถ้วนภายใต้การพุ่งลงมาของร่างขนาดหมื่นจั้ง บ้างก็สั่นไหวอย่างรุนแรง บ้างก็ถล่มทลาย
ลมพายุที่ชิงฉินโหมขึ้นพัดกวาดไปรอบด้านครืนครัน กลิ่นอายที่มาจากหวนสู่อนัตตาขั้นสามบริบูรณ์ก็ปะทุขึ้น
ทุกจุดที่พัดผ่าน เผ่ากระจายวิญญาณส่วนใหญ่ที่อยู่ในรัศมีหมื่นลี้ ไม่มีคุณสมบัติกระทั่งจะต้านทาน เมื่อร่างกายสั่นไหว ก็ระเบิดแหลกเละ เลือดเนื้อซ่านกระเซ็นไปทั่ว