ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 498 การหารืออย่างเป็นมิตรของสวี่ชิง
บทที่ 498 การหารืออย่างเป็นมิตรของสวี่ชิง
……….
คำพูดของสวี่ชิงดังก้องไปทั่ว
เสียงของเขาสงบนิ่งมาก ความบ้าคลั่งในดวงตาก็ไม่ได้เข้มข้น เป็นเพียงแค่กลุ่มบางๆ เท่านั้น
ผ่านเรื่องราวมามากมายเช่นนี้ โดยเฉพาะหลังจากที่ทำการหารืออย่างเป็นมิตรไม่ใช่แค่ครั้งเดียว สำหรับจะทำอย่างไรให้การหารือยิ่งเป็นมิตรมากขึ้นสวี่ชิงเชี่ยวชาญแล้ว
ยกตัวอย่างเช่นจักรพรรดิโบราณกับนิ้วเทพเจ้า ภายใต้การหารืออย่างอ่อนโยนของเขาก็ได้ข้อตกลงร่วมกัน และตัวอย่างที่สำเร็จเช่นนี้ ทำให้สวี่ชิงไม่มีความกดดันทางด้านจิตใจใดๆ ทั้งสิ้นกับเผ่าเคียงเซียนที่อยู่ข้างหน้านี้
เขารู้ดีว่าการหารือจะต้องใช้ความจริงใจมาเป็นอาวุธถึงจะได้ผลที่สุด
จะต้องมีความจริงใจถึงจะโน้มน้าวอีกฝ่ายได้
ยิ่งเรียบง่าย ยิ่งตรงไปตรงมา ผลที่ได้ก็ยิ่งดี
ดังนั้นคำพูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องจริง
หากเขตปกครองผนึกสมุทรแตกพ่าย เช่นนั้นวังครองกระบี่จะผนึกเทพเจ้าเพื่อเผ่าพันธุ์อื่นๆ ไปทำไม
ตอนนี้ปล่อยเทพเจ้าออกมา ไม่สนความเป็นตายทุกอย่างถึงจะเป็นการกระทำที่ถูกต้องตามตรรกะเหตุผล
ถูกต้องตามตรรกะเหตุผล อีกทั้งผลได้ผลเสียชัดเจน เช่นนั้นการหารืออย่างเป็นมิตรครั้งนี้ก็จะมีผลลัพธ์ที่ควรจะเป็น
ดังนั้นหลังจากที่สวี่ชิงพูดจบ ผู้บำเพ็ญเผ่าเคียงเซียนทั้งสามบนท้องฟ้าสีหน้าต่างย่ำแย่
ตำแหน่งของพวกเขาในเผ่าเคียงเซียนสูงมาก ล้วนเป็นบรรพจารย์กันทั้งนั้น แต่ต่อให้เป็นพวกเขาก็จำต้องยอมรับ ทันทีที่สวี่ชิงปลดผนึกเทพเจ้าจริงๆ เช่นนั้น…เผ่าเคียงเซียนที่อยู่ในเมืองหลวงเขตปกครองเหมือนกันก็จะต้องเป็นเป้าหมายที่ถูกกัดกินเป้าหมายแรกแน่นอน
เพราะคนธรรมดาในเมืองหลวงเขตปกครองเผ่ามนุษย์มีมากมายจริงๆ อีกทั้งยังมีตาข่ายป้องกันที่แปลงมาจากของวิเศษเวทต้องห้ามมากมาย ดังนั้นใช้แรงเยอะไปกินของกินเล่นอันน้อยนิด กับลงแรงน้อยๆ กินอาหารมื้อใหญ่อันอุดมสมบูรณ์มื้อหนึ่ง ระหว่างทั้งสองตัวเลือกนี้ควรจะเลือกอย่างไร ไม่ต้องพูดก็รู้
แม้ว่าค่าตอบแทนจะเป็นการล่มสลายโดยสมบูรณ์ของเขตปกครองผนึกสมุทรอย่างแท้จริงก็ตาม
แต่ความจริงในตอนนี้คือหากไม่มีทรัพยากรที่มากเพียงพอ การแตกพ่ายของแนวหน้าก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ผลลัพธ์ก็เหมือนกัน
เช่นนั้นแล้ว ประโยคที่สวี่ชิงย้อนถามประโยคนั้นว่าพวกเจ้ากล้าหรือไม่ก็กลายเป็นเสียงหลงเหลืออยู่ในฟ้าดินแห่งนี้ อยู่ในจิตใจของบรรพจารย์เผ่าเคียงเซียนทั้งสาม ดังก้องไม่หยุด
นานหลังจากนั้น ผู้หญิงเผ่าเคียงเซียนที่อยู่ตรงกลางก็พลันเอ่ยขึ้น
“เจ้าเป็นเผ่ามนุษย์ที่มีพลังบำเพ็ญเท่านี้ก็กล้ามาข่มขู่พวกข้าคนแรกที่ข้าเคยเจอ ดังนั้นเจ้ามาเผ่ากระจายวิญญาณก่อน เป้าหมายที่แท้จริงคือล่อให้พวกข้าออกมา วางแผนดีนัก เจ้าเล่ห์นัก
“และเขตปกครองผนึกสมุทรรักษาสถานการณ์แบบเดิมเอาไว้ แน่นอนว่ายิ่งเป็นการดีกับพวกข้า
“เช่นนี้เจ้ามีข้อเรียกร้องอะไร”
“นี่คือการเจรจาหารือ” สวี่ชิงสีหน้าจริงจัง เอ่ยแก้
เขาไม่แปลกใจกับการประนีประนอมของอีกฝ่าย เรื่องแบบนี้ขอเพียงเป็นคนมีเหตุผลล้วนจัดการแบบนี้กันทั้งนั้น และเขารู้ดีว่าความจริงเรื่องยังไม่จบ
ในฟ้าดินนี้ทุกอย่างต้องดูว่าคุ้มค่าหรือไม่ เรื่องนี้ตอนที่อยู่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตเขาก็เข้าใจแล้ว หากข้อเสนอที่เขาเสนอไปทำให้คนรู้สึกว่าไม่คุ้มค่า เช่นนั้นความวุ่นวายทุกอย่างก็จะเกิดขึ้นทันที
“ทรัพยากรทุกอย่างที่ทางสนามรบต้องการซื้อขายด้วยราคายุติธรรม อนุญาตให้ยืดเวลาชำระ!” สวี่ชิงมองไปยังสามคนที่อยู่บนท้องฟ้า เอ่ยเนิบนาบ
“เจ้าทำให้ข้าได้รู้ว่าอะไรเรียกว่าเจรจาหารือแล้ว สำหรับเงื่อนไขของเจ้า…เผ่าบริวารของเผ่าเคียงเซียนข้าทั้งหมด ได้!” ผู้หญิงเผ่าเคียงเซียนปรายตามองสวี่ชิงด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ผาดหนึ่ง
“สัญญาพันธมิตรดำเนินต่อ อีกทั้งเงื่อนไขการปิดเผ่าของเจ้าวังยังดำเนินต่อไป” สวี่ชิงเอ่ยอีกครั้ง เงื่อนไขนี้ไม่เป็นการกระทำเกินไป เผ่าเคียงเซียนทั้งสามที่อยู่บนท้องฟ้าเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง พยักหน้า
“แต่เจ้าห้ามสังหารเผ่ากระจายวิญญาณต่อ!”
ความจริงนี่ก็มีประโยชน์ต่อพวกเขา พวกเขาไม่อยากเข้าร่วมสงคราม นี่ก็เป็นเหตุผลตกลงในตอนนั้นที่เจ้าวังมาเจรจา เพียงแต่ตอนนี้มีความกังวลที่สวี่ชิงจะปลดผนึกเทพเจ้าเพิ่มมา
แต่ไม่เป็นไร ให้เวลาพวกเขาไปเตรียมรับมือกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ ก็ยังสามารถหลีกเลี่ยงได้ในระดับหนึ่ง เพียงแต่ต้องใช้เวลานานหน่อยก็เท่านั้น
ตอนนี้ทิศทางเจรจาเสร็จสิ้น สำหรับรายละเอียด ในช่วงสงครามทุกอย่างดำเนินการเรียบง่าย ต่างฝ่ายต่างล้วนไม่ได้พูดคุยสื่อสาร สวี่ชิงก็ไม่กลัวอีกฝ่ายจะกลับคำพูด
ต่างเผ่าเผ่าอื่นๆ ก็คงจะรู้เรื่องที่เผ่าเคียงเซียนประนีประนอมและเผ่ากระจายวิญญาณถูกสังหารไปกว่าครึ่ง ย่อมไม่กล้าบุ่มบ่าม
ตอนนี้การเจรจาเสร็จสิ้น รอยแตกข้างหลังเผ่าเคียงเซียนทั้งสามแยกออกอีกครั้ง ผู้หญิงที่อยู่ตรงกลางคนนั้นพลันเอ่ยขึ้นมา
“เจ้าชื่ออะไร”
สวี่ชิงคิดๆ เรื่องนี้ความจริงไม่จำเป็นต้องปกปิด อีกฝ่ายอยากรู้ก็ง่ายดายนัก เขาจึงตอบไปอย่างสงบนิ่ง
“จางซืออวิ้น!”
สวี่ชิงมีนิสัยระมัดระวังรอบคอบ ต่อให้เป็นข้อมูลที่อีกฝ่ายรู้ได้ง่ายๆ เช่นนี้ เขาก็ไม่อยากพูดออกไปด้วยตัวเอง โดยเฉพาะตอนนี้ทุกอย่างล้วนเจรจาเสร็จสิ้นแล้ว ในตอนที่ดูเหมือนราบรื่น จะประมาทเลินเล่อได้ง่าย
เพราะเขาไม่แน่ใจว่าเคล็ดวิชาของระดับหวนสู่อนัตตาจะมีวิชาที่หลังจากถามชื่อก็ตอบไปทันทีจะมีการโจมตีอันถึงแก่ชีวิตอะไรหรือไม่
และหลังจากที่สวี่ชิงพูดไป ท้องฟ้าที่ไกลๆ ก็มีเสียงครืนครันดังมา เงาร่างหนึ่งพุ่งมาจากทางเมืองหลวงเขตปกครองอย่างรวดเร็ว น่าตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งว่าท้องฟ้าเกิดเป็นเงาทับซ้อน เพียงพริบตา คนคนนี้ก็มาถึง
เป็นปลัดเขตปกครองนั่นเอง
เขาสีหน้าย่ำแย่ ยิ่งแฝงไว้ด้วยความร้อนรน หลังจากที่ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ สายตาก็กวาดไปยังเผ่าเคียงเซียนทั้งสามตนนั้น แล้วมองไปทางสวี่ชิง สังเกตเห็นว่าสวี่ชิงไม่เป็นอะไร สีหน้าของเขาก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย ตำหนิเสียงต่ำทุ้ม
“จางซืออวิ้น เจ้าบังอาจนัก เรื่องนี้ข้าจะรายงานเจ้าวังในภายหลังอย่างแน่นอน”
พูดจบก็ประสานหมัดไปทางเผ่าเคียงเซียนทั้งสาม ใบหน้าฉายแววขอโทษ
“ท่านทั้งสาม เรื่องนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน ทางสนามรบวิกฤตจริงๆ จางซืออวิ้นคนนี้ก็ใจร้อนรน จึงได้ทำเรื่องหายนะเช่นนี้ เรื่องนี้หลังจากสงครามแล้วข้าจะต้องให้คำตอบที่สมบูรณ์แบบกับพวกท่านแน่นอน!”
เผ่าเคียงเซียนทั้งสามที่อยู่กลางอากาศต่างแค่นเสียงขึ้นจมูก
“ปลัดเขตปกครอง เผ่ามนุษย์ท่านปลูกต้นกล้าได้ดีนัก กล้าข่มขู่พวกข้า”
“จางซืออวิ้น เจ้ายังไม่ขอโทษบรรพจารย์เผ่าเคียงเซียนทั้งสามอีก!” ปลัดเขตปกครองสีหน้าเคร่งขรึม ดุใส่สวี่ชิง
สวี่ชิงกะพริบตาปริบๆ รีบก้มศีรษะ ประสานหมัดไปทางเผ่าเคียงเซียนทั้งสาม เอ่ยอย่างจริงใจ
“ผู้เยาว์กระวนกระวานร้อนรุ่มเขตสงคราม หากมีสิ่งใดล่วงเกิน ขอบรรพจารย์ทั้งสามโปรดอภัย”
เผ่าเคียงเซียนทั้งสามไม่พูดอะไรอีก ในใจต่างเกิดความคิดแตกต่างกันไป หมุนตัวเดินไปทางรอยแยก
ในตอนนี้เอง ผู้หญิงที่อยู่ตรงกลางคนนั้นจู่ๆ หน้าเปลี่ยนสี แล้วกระอักเลือดสีม่วงออกมา นางหันไปมองสวี่ชิงทันที แล้วกวาดสายตามองปลัดเขตปกครอง สีหน้าเคร่งขรึม ในดวงตาฉายความล้ำลึก
สวี่ชิงสีหน้าเป็นปกติ เขามองออกว่าอีกฝ่ายคงจะสำแดงเคล็ดวิชาอะไร แต่เห็นได้ชัดว่า…ล้มเหลว
ปลัดเขตปกครองดวงตาเบิกกว้าง ฉายแววลังเล
“นี่เป็นอะไรไปหรือ”
ผู้หญิงเผ่าเคียงเซียนตนนั้นกัดฟัน ไม่ได้พูดอะไร เรื่องนี้พูดไปไม่ดี นางในฐานะที่เป็นบรรพจารย์ของเผ่าหนึ่ง แต่กลับใช้เคล็ดวิชาชื่อเสียงเรียงนามลอบวางแผน สำเร็จก็ช่างเถิด ตอนนี้กลับยังล้มเหลว…
และสำหรับนางแล้ว การลอบวางแผนแบบนี้เดิมก็เป็นหมากที่ไม่ได้หวังผลเดิมก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าจะสำเร็จหรือไม่ แต่สิ่งที่ทำให้นางคาดไม่ถึงคือล้มเหลวก็ช่างเถิด แต่นี่กลับยังเกิดการสะท้อนกลับด้วย
โดยเฉพาะเมื่อครู่นี้นางกระทั่งว่ามีความรู้สึกว่าถูกตัวตนในความรางเลือนจับจ้องมอง
ดังนั้นสีหน้าจึงย่ำแย่ เดินเข้าไปในรอยแยกอย่างรวดเร็วแล้วหายลับไป
จวบจนพวกเขาจากไป บรรพจารย์เผ่ากระจายวิญญาณที่อยู่ไกลๆ ถอยไปสามสี่ก้าว มองทุกอย่างอย่างขมขื่น ส่วนปลัดเขตปกครองยืนอยู่กลางอากาศ มองไปทางสวี่ชิงแล้วถอนหายใจ
“ครั้งนี้เจ้าเสี่ยงเกินไปแล้ว”
“แกว๊ก!” หัวทั้งสามของชิงฉินจับเป้าหมายปลัดเขตปกครอง คล้ายว่าไม่ค่อยพอใจที่เขาตำหนิสหายของพี่ใหญ่ตนคนนี้ โดยเฉพาะสหายน้อยคนนี้ยังให้ตนได้กินอิ่มมื้อหนึ่งด้วย อีกทั้งตัวมันกับพี่ใหญ่เหมือนกัน ล้วนได้แสงไปด้วย
เห็นเป็นเช่นนี้ ปลัดเขตปกครองยิ้มขื่น ประสานหมัดไปทางชิงฉิน
ชิงฉินถึงได้เก็บสายตากลับมา
“ขอบคุณปลัดเขตปกครองที่มานะขอรับ สร้างเรื่องยุ่งยากให้ท่านเสียแล้ว” สวี่ชิงในใจรู้สึกผิดเช่นกัน เขารู้ว่าตัวเองครั้งนี้บ้าคลั่งมากจริงๆ จึงประสานหมัดโค้งคารวะ
การร่วมมือของปลัดเขตปกครองเมื่อครู่ทำให้ในใจเขาเกิดความสนิทสนมขึ้นมาเล็กน้อย
“ไม่มีอะไรยุ่งยาก ล้วนเพื่อเขตปกครองผนึกสมุทรทั้งนั้น เพียงแต่ครั้งหน้าเจ้า…บอกกับข้าล่วงหน้าก่อนได้” ความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของปลัดเขตปกครองมากขึ้นกว่าเมื่อหลายวันก่อนเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าวังให้เจ้ามาร่วมมือจัดการเรื่องนี้คือเชื่อใจเจ้า และเชื่อใจข้า ไปเถอะ พวกเรากลับเมืองหลวงเขตปกครองกัน”
ปลัดเขตปกครองพูดพลางกวักมือเรียกสวี่ชิง
สวี่ชิงพยักหน้า ชิงฉินปีกพลันกระพือลอยขึ้นฟ้า มองเผ่ากระจายวิญญาณที่ราบเป็นหน้ากลองข้างล่างอย่างอาลัยอาวรณ์นิดๆ
เผ่ากระจายวิญญาณตอนนี้ตายไปเกือบสี่ส่วนของคนในเผ่าทั้งหมด สำหรับเผ่าหนึ่งแล้วเป็นการโจมตีที่หนักหน่วงมาก โดยเฉพาะหัวหน้าเผ่าสองสายโลหิตล้วนถูกชิงฉินกินไปแล้ว
สวี่ชิงกวาดสายตาเช่นกัน ไม่ได้พูดอะไร ท่ามกลางความเงียบงันและขมขื่นของเผ่าหนึ่ง จากไปพร้อมกับชิงฉินที่อาลัยอาวรณ์
ระหว่างทางกลับเขตปกครองผนึกสมุทร สวี่ชิงถ่ายทอดเสียงออกคำสั่งให้กรมอาลักษณ์ไปบอกทุกเผ่าอีกครั้งว่าให้เริ่มการแลกเปลี่ยนทรัพยากรทันที ขณะเดียวกันก็ส่งคนมาเผ่ากระจายวิญญาณเพื่อรับทรัพยากร
หลังจากกลับมายังวังครองกระบี่เมืองหลวงเขตปกครองเวลาก็ผ่านไปสามวันเช่นนี้เอง
ในสามวันนี้ ต่างเผ่าของทั้งเขตปกครองผนึกสมุทร ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ล้วนแตกตื่นฮือฮารุนแรง พวกเขาได้ยินเรื่องของเผ่ากระจายวิญญาณ และรับรู้ถึงการประนีประนอมของเผ่าเคียงเซียน
ในขณะที่เรื่องนี้สร้างระลอกคลื่นลูกมหึมาให้กับทุกเผ่า ชื่อของสวี่ชิงย่อมถูกตรวจสอบออกมา ทุกอย่างที่เกี่ยวกับอดีตของเขา ล้วนปรากฏขึ้นต่อหน้าผู้นำระดับสูงของทุกเผ่า
“รายละเอียดชาติกำเนิดไม่แน่ชัด รู้เพียงคนคนนี้ในยามวัยเยาว์ได้ฝากตัวเป็นศิษย์กับสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ทำงานอยู่ที่กรมปราบพิฆาต เมื่อได้รับตำแหน่งก็สังหารคนร้ายนับไม่ถ้วน ฝีมือเหี้ยมโหด เชี่ยวชาญการใช้พิษ
“ฉวยโอกาสในยามที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตกับเผ่าสิงซากสมุทรทำสงคราม ร่วมกับศิษย์พี่ของเขากำเริบเสิบสานแฝงตัวเข้าไปในเผ่าสิงซากสมุทรด้วยพลังบำเพ็ญระดับสร้างฐาน ไปขโมยจมูกของเทวรูป ยิ่งใช้ฐานะศิษย์สำนักห่างไกลกันดารสังหารเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่อง ผู้เป็นผู้สืบมรรคาคนก่อนของพันธมิตรแปดสำนัก ใช้กำลังสยบอัจฉริยะรุ่นเดียวกันของแปดสำนักทั้งหมด เป็นผู้สืบมรรคาคนใหม่ของพันธมิตรแปดสำนักอย่างแข็งแกร่ง!
“เข้าร่วมการทดสอบผู้ครองกระบี่มณฑลรับเสด็จราชัน สยบผู้สืบทอดมรรคาสำนักเซียนล้ำบารมีและผู้โดดเด่นอัจฉริยะทั้งหลาย อยู่ในอันดับที่หนึ่งอย่างไม่มีใครเทียบได้ จากการหยั่งใจของมหาจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ยิ่งได้ประกายแสงหมื่นจั้ง เป็นคนแรกของเขตปกครองผนึกสมุทร!
“หลังจากเข้ามาในเมืองหลวงเขตปกครองก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นอาลักษณ์เพียงคนเดียวของเจ้าวังครองกระบี่ ทั้งยังรับตำแหน่งควบเป็นพลทหารเขตปิ่งของกรมราชทัณฑ์ด้วยพลังบำเพ็ญระดับแก่นลมปราณ!
“ก่อนช่วงสงคราม คนคนนี้ร่วมกับเจ้าวังไปจัดการภารกิจ ก่อตั้งกรมอาลักษณ์ ชื่อเสียงเพิ่มขึ้นมหาศาล หลายๆ คนมองว่าเป็นผู้มีชื่อเสนอคัดเลือกเป็นเจ้าวังรุ่นต่อไป
“ที่เขาประกายอรุณคนคนนี้ประดุจขุนพลเทพลงมาเยือนจากสวรรค์ ช่วยแก้วิกฤตเขาประกายอรุณ สังหารผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดช่วงต้นสองตน ทำให้ผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดช่วงกลางคนหนึ่งและช่วงปลายคนหนึ่งต่างเลือกที่จะถอยหนี ศึกนั้นใช้พิษสังหารผู้บำเพ็ญไร้สังกัดหลายร้อย ฝีมือเหี้ยมโหดเป็นอย่างยิ่ง ขอเพียงแต่โดนพิษล้วนแต่กลายเป็นน้ำสีดำ วิญญาณและร่างดับสลายกันไปทุกคน!
“คนคนนี้เชี่ยวชาญการกลืนกินวังสวรรค์ของคนอื่น จินตนาการได้ว่าเมื่อยกระดับเป็นปราณก่อกำเนิดก็จะต้องกินผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดเป็นอาหารแน่ๆ เป็นปีศาจตัวเป็นๆ ชัดๆ!
“เช่นนี้แล้ว คนคนนี้ร่วมกับชิงฉินกลืนกินเผ่ากระจายวิญญาณ ข่มขู่บรรพจารย์ทั้งสามของเผ่าเคียงเซียนก็เป็นเรื่องที่น่าจะเคยเกิดขึ้นจริง ประสบการณ์ในอดีตของคนคนนี้ล้วนบ้าคลั่งมาโดยตลอด!”
ข้อมูลต่างๆ นานาลือไปในเขตปกครองผนึกสมุทรไม่หยุด ชื่อของสวี่ชิงสะท้านไปทั้งเขตปกครองโดยสมบูรณ์
หนิงเหยียนเมื่อได้รู้เรื่องพวกนี้ก็อดสะท้อนใจไม่ได้
“พวกเจ้ายังไม่รู้ว่าเรื่องบ้าคลั่งที่คนคนนี้ทำยังรวมไปถึงปลอมเป็นบุตรเทวะฟ้าทมิฬ ทำลายต้นสิบลำไส้ กลายเป็นบิดาของวิถีสวรรค์ ทั้งยังเกือบ…เดินไปถึงระดับสูงสุดในเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์แล้ว”
ส่วนทางชิงชิวทางนั้นหลังจากที่ได้ยินข่าวลือพวกนี้ ในใจก็สับสนเล็กน้อย นางพลันตระหนักได้ถึงเรื่องหนึ่ง สวี่ชิงมาจากทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ
หลังจากนึกย้อนถึงสายตาที่อีกฝ่ายมองตนในการเดินทางไปต้นสิบลำไส้ การคาดเดาที่ทำให้นางไม่ค่อยกล้าจะเชื่อเพิ่งผุดขึ้นมาในหัว ก็ถูกนางลบทิ้งไป
“เป็นไปไม่ได้ คนคนนี้ชั่วร้ายเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด!”
ชิงชิวสูดลมหายใจลึก ในเสี้ยวพริบตาที่สะกดความคิดในหัวลงไป นางที่อยู่ในกรมอาลักษณ์ก็ถูกสวี่ชิงที่นั่งอยู่ข้างหน้ามองอย่างสงสัยผาดหนึ่ง
“เป็นอะไรไป ทำไมไม่รายงานสถานการณ์การมอบทรัพยากรจากเผ่าต่างๆ ต่อเล่า!”
ชิงชิวขานรับเหมือนตอนที่ปลอมตัวเป็นหญิงรับใช้ในตอนที่อยู่ที่ต้นสิบลำไส้ตอนนั้น รายงานต่ออย่างว่าง่ายเชื่อฟังไปตามสัญชาตญาณ แต่หลังจากพูดไปประโยคหนึ่ง นางก็พลันตั้งสติกลับมาได้ แค่นเสียงหึในใจ ใบหน้าใต้หน้ากากแสดงความหยิ่งทะนงเย็นชาออกมาอีกครั้ง