ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 500 ข้า กลับมาแล้ว! (1)
บทที่ 500 ข้า กลับมาแล้ว! (1)
……….
หนึ่งก้านธูป ชิงชิวก็นำข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับมณฑลบังคับจำนนกับมณฑลรับเสด็จราชันที่เรียบเรียงอย่างสุดความสามารถไปให้สวี่ชิง อีกทั้งแบ่งเป็นแผ่นหยกสองชิ้นอย่างรู้ใจ
นำไปให้สวี่ชิงที่กำลังหลับตาทำสมาธิในกรมอาลักษณ์
งานนี้นางไม่ได้ทำเพียงคนเดียว ยังมีผู้ครองกระบี่คนอื่นให้ความร่วมมือในการตรวจสอบด้วย หลังจากยืนยันว่าไม่มีข้อผิดพลาด ก็ลงตราประทับของตนลงไป
สิ่งนี้ทำเพื่อป้องกันการรั่วไหล และกำหนดวิธีรับผิดชอบได้จากจุดนี้ด้วย
สวี่ชิงลืมตา รับแผ่นหยกไปตรวจสอบ
เขตปกครองผนึกสมุทรตอนนี้ หากอยากได้พวกต่างเผ่ามากำลังทหารนั้นเป็นไปไม่ได้ สวี่ชิงจึงคิดออกแค่สองที่เท่านั้น คือมณฑลบังคับจำนนและมณฑลรับเสด็จราชัน
สองมณฑลนี้เพราะการปะทุของแดนต้องห้ามอาภรณ์และแดนต้องห้ามมรณะ ตอนแรกเจ้าวังจึงสั่งว่าไม่ต้องไปยังแนวหน้า แต่ให้ทุ่มกำลังทั้งหมดสะกดแดนต้องห้ามทั้งสองไว้ อย่าให้แดนต้องห้ามทั้งสองวุ่นวายขึ้นมาในช่วงสงคราม
เขตปกครองผนึกสมุทรมีทั้งหมดสิบสามมณฑล
กำลังของสองมณฑลนี้ หากปลดปล่อยออกมาได้ ก็เท่ากับเพิ่มพลังให้กับแนวหน้าเกือบจะสองส่วนในเวลานี้
สิ่งนี้สำหรับแนวหน้าแล้ว ถือว่าเป็นกำลังเสริมที่ยอดเยี่ยมมาก
ทว่าเรื่องนี้ยากเกินไป แม้สวี่ชิงจะเชิญชิงฉินมาได้ แต่ความยากก็ยังไม่น้อยลง
เวลานี้เขาจึงเริ่มค้นคว้าหาข้อมูลของสองมณฑลนี้
‘ภัยพิบัติจากแดนต้องห้ามอาภรณ์ถูกสะกดเอาไว้แล้ว แต่นี่เป็นช่วงสำคัญ ขณะที่ทั้งมณฑลบังคับจำนนกำลังวางแผนให้ครอบคลุมที่โถงครองกระบี่ ทุ่มกำลังทั้งหมดปิดผนึกขั้นสุดท้าย ในช่วงนี้เพื่อป้องกันแดนต้องห้ามอาภรณ์ปะทุขึ้นอีกครั้ง จะขาดกำลังต่อสู้ไม่ได้ เวลาที่ต้องการคือหนึ่งเดือน’
สวี่ชิงขมวดคิ้ว ลอบถอนหายใจ
ถ้าหนึ่งเดือนนานเกินไป สำหรับแนวหน้าเขตปกครองผนึกสมุทรตอนนี้แล้วไม่ทันการ
แต่หากไม่ปิดผนึก แดนต้องห้ามจะทำให้วุ่นวายไปทั้งมณฑล คนทั้งหมดในสำนักเผ่ามนุษย์ของมณฑลจะถูกบดขยี้ เผ่ามนุษย์นับไม่ถ้วนจะกลายเป็นอาหารของแดนต้องห้าม ถูกทำให้กลายพันธุ์ในที่สุด
ภายใต้การลุกลาม ภายในเขตปกครองผนึกสมุทรจะต้องวุ่นวายแน่นอน
อีกทั้งต่างเผ่าทั้งสองมณฑลก็เข้าร่วมปิดผนึก ถึงอย่างไรก็มีสถานการณ์ที่แตกต่างกับมณฑลอื่น อันตรายหน้าประตูบ้าน สิ่งนี้ทำให้ต่างเผ่าทั้งสองมณฑลต้องลงมือ
ดังนั้น หากยกเลิกการปิดผนึกแล้วตรงไปที่แนวหน้า สวี่ชิงสั่งการความประสงค์นี้ได้ยาก
โดยเฉพาะมณฑลรับเสด็จราชัน ที่ตั้งฐานที่มั่นหลักของสวี่ชิงก็เป็นเช่นนี้ ต่อให้มีเผ่าพันธุ์จำนวนเก้าสิบกว่าเผ่าพันธุ์ในทะเลต้องห้ามทำงานร่วมกันเพื่อทานรับแดนต้องห้ามมรณะ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อรวมกับกำลังกว่าครึ่งของมณฑลรับเสด็จราชัน ก็ยังสะกดความวุ่นวายของแดนต้องห้ามมรณะได้ชั่วคราวเท่านั้น
ตอนนี้ก็เป็นช่วงที่คุมเชิงกันอยู่
สวี่ชิงเงียบนิ่ง ตรวจสอบแผ่นหยกอย่างละเอียด ผ่านไปครู่ใหญ่ตอนที่เขากำลังอ่านข้อมูลของมณฑลรับเสด็จราชัน จู่ๆ ดวงตาก็แข็งค้าง สังเกตเห็นว่าด้านในมีข้อความหนึ่งถูกบันทึกไว้ในหนังสือกิจวัตรของโถงครองกระบี่
‘ต่างเผ่ากับขั้วอำนาจกว่าครึ่งในมณฑลรับเสด็จราชันร่วมต่อต้านแดนต้องห้ามมรณะ แต่ยังมีส่วนหนึ่งที่ไม่เข้าร่วม นำกลุ่มโดยเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคารวมถึงเขาจักรพรรดิภูต
‘แต่จากการติดต่อ ขั้วอำนาจสองฝั่งนี้ ยินยอมที่จะไม่ออกจากอาณาเขตในช่วงนี้
‘เขาไตรวิญญาณสะกดมรรคารวมถึงเจ็ดวิญญาณเขาจักรพรรดิภูตล้วนเป็นสิ่งที่แปรมาจากวิญญาณจักรพรรดิภูตคีรี และเขาจักรพรรดิภูตที่มีตราประทับไม่สมบูรณ์จึงยังไม่ใช่เตรียมสู่เทวะที่ไม่อาจทำลายทิ้ง จึงทำให้พวกมันมีร่างกายเป็นอมตะ บังคับให้ออกศึกจะต้องขัดแย้งกันแน่ และหากไม่จริงใจ ไม่มีประโยชน์อันใดในการปิดผนึกแดนต้องห้ามมรณะ ก็ยิ่งไม่ใส่ใจ
‘ยิ่งทำให้เกิดปัญหาที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีก เสียเวลา โถงครองกระบี่มณฑลข้าจึงตัดสินใจอนุญาตให้พวกมันไม่ต้องออกศึก’
สวี่ชิงจ้องที่ข้อมูลนี้ เงียบนิ่งอยู่นาน เขาลุกขึ้นยืน เดินออกจากกรมอาลักษณ์
สายตามีแววเด็ดขาด แต่ประเดี๋ยวก็ลังเล เหมือนกำลังชั่งน้ำหนัก
ชิงชิวกับหนิงเหยียนที่อยู่ข้างๆ ไม่ค่อยจะได้เห็นสวี่ชิงลังเลเช่นนี้ ต่อให้เป็นตอนที่เป็นบุตรเทวะเผ่าฟ้าทมิฬตอนนั้น ก็ยังไม่เห็นสวี่ชิงเป็นเช่นนี้ ดังนั้นหลังจากที่เห็นแล้วก็ไม่กล้าหายใจเสียงดังตามสัญชาตญาณ
หลังจากสวี่ชิงเดินขมวดคิ้วไปสิบกว่าก้าวเช่นนี้ เขาก็สัมผัสวังเขาจักรพรรดิภูติในร่างกาย เท้าหยุดชะงัก เงยหน้ามองท้องฟ้าห่างไกล สีหน้าฉายแววเด็ดขาด
“ชิงชิว หนิงเหยียน พวกเจ้าสองคนคอยดูแลกรมอาลักษณ์ สรุปข้อมูลจากแนวหน้า ดูแลกระบวนการการขนส่ง จะมอบอำนาจไว้ให้กับชิงชิว หากมีเรื่อง ก็ใช้ค่ายกลวังครองกระบี่ส่งสื่อเสียงให้กับกระบี่อาญาสิทธิ์ของข้า”
ชิงชิวรีบยืดอก กำลังจะตอบรับเสียงดัง แต่เมื่อคิดถึงความหยิ่งทะนงของตน จึงสะกดสัญชาตญาณ พยักหน้าให้อย่างเงียบสงบ
หนิงเหยียนเองก็ไม่คิดอะไรมาก ขานรับเสียงดัง จากนั้นก็ถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ศิษย์พี่สวี่จะออกไปข้างนอกหรือขอรับ”
สวี่ชิงมองหนิงเหยียนผาดหนึ่ง ไม่ตอบคำถามนี้ เขาไม่อยากจะบอกเส้นทางของตนกับคนอื่นก่อนที่จะเดินทาง จึงเอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า
“ข้าจะไปแดนต้องห้ามอาภรณ์เสียหน่อย”
พูดจบ สวี่ชิงก็สาวเท้าเดินออกจากรมอาลักษณ์ ยกเท้าขึ้นเหาะเหินเดินอากาศโดยไม่ลังเล แค่ไม่กี่ก้าวก็มาถึงท้องฟ้า
มหาวิหคชิงฉินร้องแกว๊กขึ้นเสียงหนึ่ง โผล่หัวขนาดยักษ์ทั้งสามออกมาจากในเมฆหมอก มองมาทางสวี่ชิงอย่างร่าเริง ทำท่ากลืนน้ำลายเหมือนอยากจะออกไปกวาดล้างเผ่าพันธุ์อีก
หัวขวาของมันยื่นมาที่ช้อนตัวสวี่ชิงให้อยู่บนหัวของมันอย่างรวดเร็ว
ดวงตาชิงฉินก็เผยประกายร้อนแรงออกมาจากการส่งจิตเทพของสวี่ชิง สยายปีกฉับพลัน ทันใดนั้นท้องฟ้าของเมืองหลวงเขตปกครองก็ส่งเสียงครืนครันกัมปนาท ชิงฉินพาสวี่ชิงหายไปจากอาณาเขตผืนนี้
ความเร็วของชิงฉิน ในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ได้ช้ากว่าค่ายกลส่งข้ามสักเท่าไร แต่ในด้านความยั่งยืนก็ไม่สะดวกเท่าค่ายกลส่งข้าม ทว่าสวี่ชิงไม่อยากจะเผยทิศทางที่ตนจะไป แม้เขาจะเข้าใจว่าความเป็นไปได้นี้มีไม่มาก แต่ก็ยังจำเป็นต้องระมัดระวัง
ดังนั้นหลังจากที่ออกจากอาณาเขตของเมืองหลวงเขตปกครอง เขาจึงหาค่ายกลส่งข้ามของวังครองกระบี่แห่งหนึ่ง เดินเข้าไปพร้อมกับชิงฉินที่หดตัวเล็กลงมาก หายไปด้านใน
จากการส่งข้ามหลายครั้งผ่านไปสามวัน สวี่ชิงกับชิงฉินก็ปรากฏตัวที่ชายแดนมณฑลรับเสด็จราชันเช่นนี้ ด้านนอกของที่ราบแดนเหนือ
แม้เวลานี้จะเป็นช่วงกลางวัน แต่แสงอาทิตย์ก็ยังเหมือนจะเหลือแค่แสงสว่าง ไร้ซึ่งความอบอุ่น เมื่อสายลมน้ำเย็นเยียบพัดผ่าน โหมทะเลที่กลายเป็นเกล็ดหิมขึ้นมา หมุนวนไปทั้งฟ้าดิน
สายลมหนาวเสียดแทงกระดูก แผ่นดินใหญ่เป็นสีเงินไปทั่ว มีเพียงเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะที่ตั้งตระหง่านไกลๆ ทางนั้น สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ทำให้รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่แก่คนที่พบเห็น
เพียงแต่ในความทรงจำของสวี่ชิง กระโจมนับไม่ถ้วนที่อยู่รอบๆเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ ทำให้ที่นี่กลายเป็นศูนย์รวมของเผ่ามนุษย์ดั่งเมืองแห่งหนึ่ง
ทว่าตอนนี้ กระโจมของที่นี่ส่วนใหญ่ว่างเปล่า ลมหนาวพัดผ่าน ทำให้ตัวกระโจมนับไม่ถ้วนสั่นไหว ส่งเสียงพึบพั่บดังขึ้น
มีเพียงร่างชราประปราย บางครั้งก็ห่อหุ้มเนื้อตัวมิดชิดปรากฏในสายลมหนาว
คนเหล่านี้ ไม่ใช่ผู้ครองกระบี่ แต่เป็นประชาชนที่อาศัยอยู่ที่นี่
เห็นได้ชัดว่าโถงครองกระบี่ทิ้งไว้ ไม่ให้คนแก่อย่างพวกเขาเข้าไปร่วมรบ
สวี่ชิงที่อยู่บนท้องฟ้า มองตำหนักสีดำบนยอดเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ เขาสัมผัสได้ว่าที่นี่มีผู้ครองกระบี่อยู่จำนวนไม่มากนัก
‘เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ…’ สวี่ชิงส่งสัญญาณให้ชิงฉินบินอยู่บนท้องฟ้าของที่นี่
ในเมฆหมอกที่รวมกันเพราะการมาของชิงฉิน สวี่ชิงในปราณหมอกก็จ้องเสาที่สั่นสะเทือนฟ้าดินต้นนี้เขม็ง ครั้งนี้เป้าหมายที่เขาต้องทำให้ได้ คือใช้เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะช่วยพิสูจน์เสียหน่อย
สวี่ชิงจึงยกมือขวาขึ้นพลัน วาดผ่านอากาศเบาๆ
ขณะเดียวกันวังเขาจักรพรรดิภูตในร่างกายก็โคจร เงาจักรพรรดิภูตคีรีที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านในก็ลืมตาขึ้นทันที
เพียงพริบตา เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ภาพนี้ดึงดูความสนใจของผู้บำเพ็ญไร้สังกัดรวมถึงโถงครองกระบี่ของมณฑลรับเสด็จราชันทันที
“ผู้มาเยือนคือใคร!”
หลังจากมาถึงมณฑลรับเสด็จราชัน ปิดบังตัวตนต่อไปก็ไม่มีความหมาย สวี่ชิงที่ยืนอยู่บนร่างชิงฉิน หยิบกระบี่อาญาสิทธ์ออกมา เอ่ยเสียงราบเรียบ
“สวี่ชิง”
จากการที่สวี่ชิงพูดออกไป ภายใต้การกระพือปีกของชิงฉิน หมอกเมฆที่อยู่รอบๆ ตัวพวกเขาฟุ้งกระจาย ผู้ครองกระบี่ที่โถงครองกระบี่เหลือไว้เฝ้าคุ้มกันสังเกตเห็นร่างของเขาทันที
ในมณฑลอื่น บางทีผู้ครองกระบี่จะต้องยืนยันชื่อเสียก่อน แล้วค่อยยืนยันหน้าตาของสวี่ชิง รู้ฐานะเบื้องต้นได้จากสิ่งนี้ จากนั้นใช้ควบคู่กับกระบี่อาญาสิทธิ์ เป็นการยืนยันขั้นสุดท้าย
แต่ในมณฑลรับเสด็จราชัน หน้าตาของสวี่ชิง ชัดเจนอย่างยิ่งในความทรงจำของผู้ครองกระบี่
ถึงอย่างไรการเลื่อนขั้นของเขาตอนนั้นรวมถึงแสงหมื่นจั้ง เป็นการปรากฏตัวภายใต้ประจักษ์พยานผู้ครองกระบี่ในมณฑลรับเสด็จราชันทั้งหมด ดังนั้นค่ายกลโถงครองกระบี่จึงสลายหายไป หลังจากยืนยันกระบี่อาญาสิทธิ์ของสวี่ชิงแล้ว ร่างของผู้ครองกระบี่หลายคนก็เหินออกมาอย่างรวดเร็ว
“สวี่ชิง!”
“อาลักษณ์สวี่!”
ผู้ครองกระบี่เหล่านี้ ส่วนใหญ่สวี่ชิงคุ้นหน้าคุ้นตาดี หลังจากพวกเขาเห็นสวี่ชิง สีหน้าก็สนิทชิดเชื้อ คารวะให้ทันที ผู้ครองกระบี่ที่รับผิดชอบคุ้มกันที่นี่คนหนึ่ง ก้าวหน้าขึ้นมาหนึ่งก้าว เอ่ยอย่างเคารพ
“อาลักษณ์สวี่ จะเปิดเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ ต้องการให้พวกเราช่วยหรือไม่ขอรับ”
สวี่ชิงส่ายหน้า เขารู้ว่าใต้เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะสะกดอุโมงค์ภูตไว้ จะเปิดสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ แต่เขาก็แค่มาทดสอบดูเท่านั้น จึงวาบมือขวาลงทันควัน ฉับพลันการเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะก็ยิ่งสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้น
แต่เขาเข้าใจว่าตนทำได้เท่านี้ หากคิดจะดึงมันออกมาจริงๆ ด้วยพลังบำเพ็ญของตนเองตอนนี้เป็นเรื่องที่ไม่อาจทำได้
ทว่า เป้าหมายของสวี่ชิงไม่ใช่การดึงเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะออกมา แต่เป็น…
“วิญญาณศัสตรา!” สวี่ชิงพลันเอ่ยขึ้น น้ำเสียงดังก้องประดุจทัณฑ์สวรรค์ เขากำลังอัญเชิญวิญญาณศัสตราในเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธุนี้ นี่คือเป้าหมายของเขา
ครู่ใหญ่ จากการสั่นสะเทือนของเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ เสียงครวญครางเสียงหนึ่งก็ดังก้องไปทั้งฟ้าดิน ลั่นออกมาจากเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะต้นนี้
เสียงทะลวงเก้าชั้นฟ้า ขณะที่สั่นสะเทือนไปทั่วสารทิศ ดวงตามหึมาคู่หนึ่งก็ปรากฏอยู่เหนือเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ เจตจำนงที่ผ่านกาลเวลามานักต่อนักแผ่กระจาย ขณะที่มองมาที่สวี่ชิง ในดวงตาคู่นี้ก็เผยความสงสัยออกมาอย่างชัดเจน
ภาพนี้ ทำให้ผู้ครองกระบี่ที่นี่สั่นสะท้าน พวกเขารู้อยู่แล้วว่าเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะมีวิญญาณศัสตราอยู่ แต่ปกติวิญญาณศัสตรานี้อยู่ในห้วงนิทรา ทั้งโถงครองกระบี่มีเพียงผู้อาวุโสใหญ่เท่านั้นที่จะติดต่อกับมันได้
แต่ตอนนี้ ด้วยการเอ่ยปากของสวี่ชิง อีกฝ่ายกลับตื่นขึ้นมา
สวี่ชิงจ้องตาทั้งสองของวิญญาณศัสตราเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะเขม็ง วังจักรพรรดิภูตในร่างกายยิ่งสั่นสะเทือน เงาจักรพรรดิภูตที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านใน ดวงตาก็เผยประกายออกมา
สวี่ชิงครุ่นคิด เขารู้สึกว่ายังไม่พอ จึงโบกมือยืมพลังจากยันต์ปีศาจ เบื้องหลังของเขาฟ้าดินเปลี่ยนสี เมฆปั่นป่วนทะลักทะลวงไปทั่วสารทิศ เขาจักรพรรดิภูตที่เลือนลางปรากฏขึ้นมา
“เขาจักรพรรดิภูต!”
“นี่…นี่มัน…”
มณฑลด้านนอกไม่ได้คุ้นเคยกับเขาจักรพรรดิภูตเท่าไรนัก และจะไม่เข้าใจตัวตนและความหมายของมันในทันที แต่สำหรับผู้บำเพ็ญมณฑลรับเสด็จราชัน ตัวตนของเขาจักรพรรดิภูตชัดเจนเสียยิ่งกว่ากระไร หลังจากที่เห็นก็รู้ทันที แต่ละคนหน้าเปลี่ยนสี พรั่นพรึงถึงขีดสุด
ส่วนเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะก็สั่นสะเทือนถึงขีดสุดในตอนนี้เช่นกัน ความสงสัยในสองตาของวิญญาณศัสตราก็กลายเป็นความมึนงงทันที และเหมือนจะตื่นเต้นเลาๆ ด้วย
เห็นเช่นนี้ ในใจสวี่ชิงก็โล่งอก การกลับมามณฑลรับเสด็จราชันครั้งนี้ สิ่งที่ทำทั้งหมดล้วนพึ่งพาวังจักรพรรดิภูต ดังนั้นเขาต้องยืนยันเสียก่อนว่าสิ่งที่ตนคิดจะทำจะสำเร็จหรือไม่
“วิญญาณศัสตรา เจ้าจำข้าได้หรือไม่?” สวี่ชิงเอ่ยทันที
“จักรพรรดิฟื้นคืนชีพ!” วิญญาณศัสตราเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ หลังจากที่หอบหายใจเงียบๆ ไปหลายครั้งก็สื่อจิตเทพที่ยิ่งใหญ่ออกมา มันไม่ได้ตอบคำถามของสวี่ชิง แต่พูดคำกำกวมออกมา
นี่ไม่ค่อยสอดคล้องกับที่สิ่งที่สวี่ชิงคิดไว้ตอนที่มาถึง จากการวิเคราะห์ของเขา ควรจะเป็นประเภทสืบทอดเทือกๆ นั้นถึงจะถูก
แต่ไม่เป็นไร การตื่นขึ้นของวิญญาณศัสตราสอดคล้องกับแผนการขั้นแรกของสวี่ชิง เขาจึงเอ่ยเสียงแผ่ว
“เช่นนั้น เจ้านำเรื่องนี้ไปบอกกับสามจิตเจ็ดวิญญาณได้หรือไม่ บอกพวกมันว่า…ข้า มาแล้ว”