ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 500-2 ข้า กลับมาแล้ว! (2)
บทที่ 500 ข้า กลับมาแล้ว! (2)
หากพ่อค้าคนหนึ่งจะพิสูจน์สินค้าของตนว่าเป็นของดี มีประสิทธิภาพหรือไม่ เช่นนั้นก็ต้องยอมรับและเชื่อมั่นกับผู้ซื้อ
หากพ่อค้าเดินไปแล้วบอกกับผู้ซื้อตรงๆ ผลลัพธ์จะแย่มาก แม้จะหยิบหลักฐานบาอย่างออกมา แต่ก็ใช่ว่าจะควบคุมผลลัพธ์ได้
แต่หากมีหนังสือรับรองที่ค่อนข้างมีน้ำหนัก การแนะนำที่มาจากปากต่อปากเช่นนี้ย่อมแตกต่างออกไป
นี่คือเหตุผลที่สวี่ชิงมาที่เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ และเป็นขั้นแรกของแผนการ
สำคัญมาก
ทว่าหากไม่สำเร็จจริงๆ สวี่ชิงก็ยังมีวิธีอื่น เพียงแต่ต้องอ้อมมากพอสมควร
และเป้าหมายสุดท้ายของเขาก็คือการเป็นพ่อค้า ซื้อขายแลกเปลี่ยนกับสามจิตเจ็ดวิญญาณเขาจักรพรรดิภูต
วิญญาณศัสตราเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะคือหนังสือรับรองของเขา
ดังนั้นหนึ่งก้านธูปต่อมา ตอนที่วิญญาณศัสตราเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะนำเรื่องนี้แจ้งสามจิตเจ็ดวิญญาณด้วยวิธีพิเศษ สวี่ชิงก็ออกจากที่นี่
บนท้องฟ้า เขายืนอยู่บนหัวขวาของชิงฉิน พุ่งทะยานไปยังเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคา
จากการลงใต้ ลมหิมะค่อยๆ หายไป สีขาวบนแผ่นดินใหญ่ค่อยๆ จงหายไปกลายเป็นเขียวมรกต จนกระทั่งแม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเทพที่ยิ่งใหญ่สายหนึ่งสะท้อนในดวงตาสวี่ชิง ในใจเขาก็มีความทรงจำเก่าผุดขึ้นมา
สวี่ชิงคิดไม่ถึงว่าตนจากไปหลายปีแล้วจะกลับมาด้วยวิธีเช่นนี้ ขณะที่เงียบนิ่ง ชิงฉินก็ส่งเสียงแกว๊ก ดึงสวี่ชิงออกมาจากความทรงจำ
“ผู้อาวุโส ตอนนี้กวาดล้างเผ่าพันธุ์ลำบากนัก แต่ข้าจะหาโอกาสให้นะขอรับ” สวี่ชิงรีบร้อนเอ่ยขึ้น
ชิงฉินค่อนข้างผิดหวัง กระพือปีก จากการชี้นำของสวี่ชิง ก็พุ่งไปทางเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคาอย่างรวดเร็ว ด้วยความเร็วสูงสุดของมัน ไม่นานก็มองเห็นเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคาอยู่ไกลๆ
ที่นี่กะโหลกดุจดั่งเขาคีรี โครงกระดูกดุจดั่งพนาลี หนังมนุษย์เชื่อมกับเป็นผืน เส้นผมแปรเปลี่ยนเป็นพรม สายลมพัดผมที่หยาบกร้าน ทำให้แผ่นดินใหญ่ปูด้วยสีดำ
มองจากบนท้องฟ้ายิ่งชัดเจน แต่ละภูเขาศพแต่ละทะเลเลือด นรกบนโลกมนุษย์ที่มีกลิ่นเหม็นคาวน่าสะอิดสะเอียน
แต่ก่อนนี้สวี่ชิงไม่เข้าใจ ขั้วอำนาจเช่นนี้ ทำไมโถงครองกระบี่ถึงอนุญาตพวกมันคงอยู่ได้ ทว่าตอนนี้เขาทราบดี จักรพรรดิภูตยังไม่ได้ตายไปอย่างแท้จริง ความสูงส่งของกายทิพย์ทำให้สามจิตเจ็ดวิญญาณเป็นอมตะ
สิ่งนี้ก็ทำให้พวกมันพิเศษอย่างมาก กลิ่นอายเทพจักรพรรดิภูตคงอยู่ พวกมันก็จะไม่ดับสูญ
ดังนั้นใช่ว่าไม่ทำลายทิ้ง แต่ไม่สามารถทำลายได้ต่างหาก
กระทั่งหากบีบคั้นเกินไปจนพวกมันปล่อยวางและเป็นอิสระ จักรพรรดิภูต…ก็จะตื่นขึ้นมา
ตอนนั้น ความเป็นความตายของเขตปกครองผนึกสมุทร ก็จะอยู่แค่ในชั่วความคิดของจักรพรรดิภูตหลังจากฟื้นกลับมาคนนั้น
เรื่องนี้ จะเดิมพันไม่ได้
และจากการพิจารณาเตรียมสู่เทวะโบราณคนหนึ่งของวังครองกระบี่ ในตอนที่ตื่นขึ้นพวกเขาจะต้องหิวโหยอย่างมาก การจะกลืนกินสักมณฑลหรือสักเขตปกครองก็ใช่จะเป็นไปไม่ได้
ดังนั้นเจ้าเขตปกครองในประวัติศาสตร์จึงยอมทำเช่นนี้กับจักรพรรดิภูต เช่นเดียวกับแดนต้องห้าม
ท้ายที่สุดแล้ว ยังเป็นเผ่ามนุษย์ที่ตกต่ำ หากเป็นยุคสมัยจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว เมื่อกล่าวว่าจะสะกดสามจิตเจ็ดวิญญาณก็สะกด จักรพรรดิภูตฟื้นขึ้นมาก็คงจะหนีการสะกดไม่พ้นเช่นกัน
ส่วนสามจิตเจ็ดวิญญาณ พวกเขาก็รู้ว่าไม่ควรทำเกินสมควรทุกเรื่อง จึงไม่ได้ขยายขั้วอำนาจของตนมากเกินไป มีคนจากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ในรัฐเล็กๆ ถูกชิงตัวมาจากในดินแดน
สวี่ชิงไม่ได้รู้สึกดีกับไตรวิญญาณ แต่ตอนนี้แนวหน้ากำลังวิกฤต แม้จะไม่ชอบใจในบางเรื่อง แต่ก็ยังต้องทำ
ตอนนี้จากการมาถึง เขาสะกดไตรวิญญาณสายลมพัดเมฆหลั่งทะลัก บนท้องฟ้าปรากฏรอยแยก เดิมทีที่นี่มียอดเขาขนาดยักษ์สามยอด บัดนี้เหลืออยู่เพียงสอง
ภูเขาที่โยวจิงเคยอยู่ถล่มไปแล้ว เวลานี้เหลือเพียงแค่เขาเตี้ยๆ
ส่วนสองยอดเขาที่เหลือที่กลายเป็นเก้าอี้ยักษ์ยังคงอยู่เช่นเคย
ภูเขาฝั่งขวา รอบๆ เก้าอี้ที่สร้างขึ้นจากกระดูกอสูรขนาดยักษ์ คละคลุ้งไปด้วยวิญญาณความตายนับไม่ถ้วน ร่างขนาดยักษ์แต่กลับผอมแห้งเหมือนฟืนร่างหนึ่งกำลังนั่งอยู่ตรงนั้น
ร่างผอมกะหร่อง เนื้องอกขนาดยักษ์ที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดงเขียวกลางหลังก็กำลังขยุกขยิกเป็นจังหวะ ส่งเสียงครืนครันราวกับกลองศึก ดังก้องไปทั้งฟ้าดิน สั่นสะเทือนจิตใจ
ร่างเงานี้คือวิญญาณปฐพี หนึ่งในสามไตรวิญญาณ เทพวิญญาณเจวี๋ยหยาง!
ตอนนี้เขาเงยหน้าขึ้น มองชิงฉินที่พุ่งมาอย่างรวดเร็วบนท้องฟ้าอย่างเย็นชา
ส่วนยอดเขาสูงสุดข้างๆ ถูกหมอกสีดำเข้มข้นปกคลุมไว้ มองร่างเงาด้านในไม่ชัด มีเพียงเสียงหอบหายใจ ที่ดังก้องจากด้านใน
นั่นคือที่ที่เทพวิญญาณไถกวง วิญญาณสวรรค์ที่แข็งแกร่งสุดของเขาจักรพรรดิภูตอาศัยอยู่!
ส่วนรอบๆ ภูเขา ผู้บำเพ็ญของเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคานับไม่ถ้วนเวลานี้ก็สัมผัสถึงแรงกดดันที่มาจากท้องฟ้าได้ พากันสั่นสะท้าน เทพวิญญาณเจวี๋ยหยางเอ่ยขึ้นทันควัน
“หยุดก่อน!”
“แกว๊ก!”
ด้วยนิสัยดุร้ายของชิงฉิน มีหรือจะหยุดเพราะคำพูดของเทพวิญญาณเจวี๋ยหยาง ดังนั้นหลังจากที่แผดเสียงดุร้ายออกมา ชิงฉินก็บินวนรอบๆ เขาไตรวิญญาณสะกดมรรคาไม่หยุด
กระทั่งหัวด้านซ้ายก็ยิ่งยืดมา บินขนานพื้นดินอย่างรวดเร็ว อ้าปากกว้าง กลืนกินผู้บำเพ็ญในที่นี่คนแล้วคนเล่า
เสียงเคี้ยวดังออกมา ขณะที่เสียงกรีดร้องดังก้อง ราวกับรู้สึกว่ารสชาติไม่เลว ชิงฉินก็ร่อนลงมาบนพื้นเสียงดัง
ร่างกายใหญ่โตของมันยังสูงยิ่งกว่าเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคาเสียอีก ยืนอยู่ตรงนั้นคอยจิกกินของว่างที่ร้องโหยหวนแตกฮือหนีตายอยู่รอบๆ ไม่หยุด มองไปทางวิญญาณพสุธาอย่างยั่วยุ
ทว่ามันก็รู้เป้าหมายหลักครั้งนี้ของสวี่ชิง หลังจากกวาดตามองก็ยื่นหัวขวาไปเบื้องหน้าเขาวิญญาณสะกดมรรคา จ้องมองลงมาจากเบื้องบน
เทพวิญญาณเจวี๋ยหยางเงียบนิ่ง ไม่สนใจลูกน้องที่หนีตายรอบๆ แต่มองงสวี่ชิงที่ยืนอยู่บนหัวขวาของชิงฉิน
“ข้าจำเจ้าได้ แมลงคลานตัวจ้อยอย่างเจ้ายังกล้ากลับมาที่นี่อีก!!” เจวี๋ยหยางเอ่ยอย่างเย็นชา
สวี่ชิงที่อยู่ในแสงคุ้มกันที่ชิงฉินแผ่ออกมา มองเทพวิญญาณเจวี๋ยหยางร่างยักษ์ สีหน้าเรียบสงบ เอ่ยแช่มช้า
“หากข้าเป็นแมลงคลาน เช่นนั้นเจ้าล่ะเป็นอะไรเล่า” สวี่ชิงไม่พูดไร้สาระ วังจักรพรรดิภูตในร่างสั่นคลอน ยิ่งกระตุ้นยันต์ปีศาจด้วย ด้านหลังก็มีร่างเขาจักรพรรดิภูตปรากฏขึ้นพลัน
ร่างใหญ่โตมโหฬาร แรงกดดันมหาศาล พริบตาที่ปรากฏขึ้น ดวงตาทั้งสองที่ปิดก็ลืมตื่น ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ทั้งเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคาก็สั่นสะเทือน
“แค่ตระหนักร่างเงาเท่านั้น ซ้ำยังผสานเข้าไปในวังสวรรค์ ใช้พลังยันต์ปีศาจมายามาจำแลง แม้ต้องใช้สิ่งต่างๆ ถึงจะทำสำเร็จ แต่ก็ไม่ได้มีแต่เจ้าที่ทำได้ พวกเราสามจิตเจ็ดวิญญาณยังอยู่ เจ้าอยากจะเอ่ยอะไร บอกว่าเจ้าเป็นจักรพรรดิภูตกลับชาติมาเกิดหรือ เป็นผู้สืบทอดจักรพรรดิภูตหรือ”
เทพวิญญาณเจวี๋ยหยางมองสวี่ชิง
“น่าขันเสียจริง! สุดท้ายแล้ววิญญาณศัสตราก็ไม่ใช่พวกข้า เป็นแค่ทาสเท่านั้น สัมผัสของมันไม่ได้เรื่องเสียแล้ว ยิ่งก้มหัวให้เผ่ามนุษย์อีก ข้อมูลที่เจ้าให้มันส่งมาไม่มีประโยชน์เอาเสียเลย
“ศึกนี้ เป็นสงครามเผ่ามนุษย์ของเจ้ากับเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ พวกข้าลงมือไม่ได้ ที่ยอมให้โยวจิงถูกพวกเจ้าบีบบังคับไปร่วมรบ ถือว่าเป็นขีดจำกัดสูงสุดของพวกข้าแล้ว”
พูดจบ เจวี๋ยหยางก็หลับตาลง
สวี่ชิงสีหน้าเรียบนิ่ง เขารู้สึกว่าเจรจาที่นี่ครั้งนี้คงไม่ได้ง่ายนัก ด้วยระดับขั้นของอีกฝ่าย เห็นเป้าหมายในการมาครั้งนี้ของตนได้ชัดเจนถือเป็นเรื่องปกติ จึงเอ่ยราบเรียบว่า
“ถ้าหากข้าใช้วังจักรพรรดิภูตยกระดับเป็นปราณก่อกำเนิดล่ะ
“หลังจากปราณก่อกำเนิด เงาของจักรพรรดิภูตก็จะกลายเป็นปราณมรรคาของข้า และถ้าหากเลื่อนขึ้นไปอีกขั้น ข้ายกระดับไปจนถึงสมบัติวิญญาณ ใช้จักรพรรดิภูตเป็นขุมพลังสมบัติลับ ผสานกับวิถีสวรรค์
“ถึงตอนนั้น ข้าจะแปรเปลี่ยนมันออกมาเป็นอย่างไร ยังไม่สำคัญอีกหรือ” สวี่ชิงเสียงสะท้อนก้อง
แต่เจวี๋ยหยางยังคงหลับตา เพียงแค่เอ่ยเรียบๆ
“จักรพรรดิภูตกลายเป็นขุมพลังของเจ้าหรือ ระดับสมบัติวิญญาณต้องช่วงชิงวิถีสวรรค์จากโลกใบเล็ก หลอมเอาไว้ภายในจึงจะใช้การได้ ส่วนวิถีสวรรค์ก็สูงส่งมาก ต่อให้ถูกหลอมก็บีบบังคับไม่ได้ อีกทั้งจักรพรรดิภูตก็ไม่ได้เป็นร่างเดียวกัน จะมาพูดเรื่องผสานรวมได้อย่างไร!”
“ถ้าหากวิถีสวรรค์เป็นดวงชีพของข้า แล้วยังฟังคำสั่งข้าเล่า” สวี่ชิงโบกมือ ท้องฟ้าเปลี่ยนสี อสูรสมุทรบรรพกาลจำแลงอยู่ด้านใน ขณะที่แผ่แรงกดดันวิถีสวรรค์ ก็แฝงความสัมพันธ์กับดวงชีพไว้ด้วย ยิ่งมีเสียงคำรามของทัณฑ์สวรรค์เป็นระยะ ระเบิดก้องไปทั่วทิศ
เทพวิญญาณเจวี๋ยหยางลืมขึ้นฉับพลัน เริ่มแสดงความรู้สึกออกมาเป็นครั้งแรก
ภูเขาที่วิญญาณสวรรค์อยู่ข้างๆ หมอกดำตอนนี้ก็ไม่พัดม้วนตีเกลียวอีกแล้ว หยุดหายใจฉับพลัน
สวี่ชิงพูดต่อ
“ถ้าหาก พลังบำเพ็ญของข้ายังยกระดับได้ กลายเป็นหวนสู่อนัตตา ใช้พลังหวนสู่อนัตตาของข้าจำแลงโลก จากนั้นก็ย้ายเขาจักรพรรดิภูตไปอยู่ในโลก ควบคู่กับเงาจักรพรรดิภูตที่ผสานกับวิถีสวรรค์ในสมบัติลับก่อนหน้า ซ้อนทับกัน…
“ตอนนั้นข้าคิดว่า ข้าคงได้รับการสืบทอดจักรพรรดิภูตแล้ว เจ้ายังรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้อีกหรือไม่”
สวี่ชิงน้ำเสียงเรียบนิ่ง ดังก้องไปรอบทิศ
“นานเกินไป เจ้าจะทำได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้!” เทพวิญญาณเจวี๋ยหยางเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ สายตาที่มองสวี่ชิงก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นเล็กน้อย
สวี่ชิงส่ายหน้า
“ข้าไม่รู้ว่าทำไมพวกเจ้าถึงไม่ทำเช่นนี้ บางทีคงเป็นเพราะฐานะของพวกเจ้าทำให้พวกเจ้าทำถึงจุดนี้ไม่ได้ หรืออาจจะถ่วงดุลกันและกัน ทำให้พวกเจ้าทำไม่ได้
“สิ่งนี้ไม่สำคัญ ส่วนที่เจ้าพูดว่านานเกินไปก็ไม่สำคัญเช่นกัน
“ที่สำคัญก็คือ ข้ามอบความเป็นไปได้อย่างหนึ่งแล้ว!
“ความเป็นไปได้อย่างหนึ่งที่ถ้าข้าเติบโตขึ้นมา จะสามารถทำให้สำเร็จได้
“และขอแค่ข้าสืบทอดสำเร็จ ต่อให้ข้าควบคุมเขาจักรพรรดิภูตไม่ได้ แต่ทำให้พวกเจ้าหลุดพ้นจากพันธนาการเขาจักรพรรดิภูต ขณะที่รักษาความเป็นอมตะ ก็ยังเป็นอิสระอย่างแท้จริง เรื่องนี้ก็ทำได้
“นี่เป็นการเจรจา สำหรับพวกเจ้าก็เป็นแค่การเดินหมากยามว่าง วิญญาณศัสตราอยู่ที่นั่น คงจะรู้จุดนี้เช่นกัน”
สวี่ชิงเอ่ยอย่างตั้งใจ นี่เป็นความเข้าใจในอดีตของเขา ผนวกกับข้อมูลของวังครองกระบี่ จึงวิเคราะห์ความปรารถนาของสามจิตเจ็ดวิญญาณของจักรพรรดิภูตออก
พวกมันปรารถนาอิสระ และไม่อยากจะสูญเสียกายทิพย์อมตะไป
เจวี๋ยหยางเงียบนิ่ง เขาอดยอมรับไม่ได้ว่าสมมติฐานที่ผู้ครองกระบี่ตรงหน้าคนนี้กล่าวมานั้นสอดคล้องและน่าจะทำได้ เป็นดังที่อีกฝ่ายว่าไว้ เป็นแค่หมากยามว่าง สำเร็จก็ดี แต่ถ้าล้มเหลว พวกเขาก็ไม่ได้เสียอะไร
จึงมองไปทางหมอกดำข้างๆ ที่วิญญาณสวรรค์อยู่
“แม้จะเป็นการเดินหมากยามว่าง ออกศึกกับเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่คุ้ม” จู่ๆ ในหมอกดำก็มีเสียงแหลมลอดออกมา ราวกับกระดูกกำลังเสียดสี แสบหูอย่างมาก
สวี่ชิงผ่อนลมหายใจโล่งอก การเจรจามาถึงจุดนี้ได้ แสดงมูลค่าสินค้าของเขาออกมาแล้ว
อันที่จริงเขาก็รู้ว่านี่คือการเล่านิทาน ทุกคนไม่ได้โง่ แต่ขอแค่นิทานของตนดีพอ และมีความเป็นไปได้ สอดคล้องกับตรรกะ เช่นนั้นก็จะดึงดูดให้มาลงทุนได้ แน่นอนว่าเงื่อนไขคือคุ้มหรือไม่รวมถึงจะลงทุนเท่าไร
เช่นนั้นถัดจากนี้ก็ต้องดูราคาแล้ว
“ข้าไม่ต้องการให้พวกเจ้าไปแนวหน้าออกรบกับเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ ข้าแค่ต้องการให้พวกเจ้าลงมือสักครั้งหนึ่งในแดนต้องห้ามมรณะ!
“ใช้การลงมือหนึ่งครั้ง แลกกับเดินหมากยามว่าง เพื่ออิสระในอนาคต เพิ่มฟางขึ้นมาหนึ่งเส้น เพิ่มความเป็นไปได้อีกหนึ่งอย่าง”
สวี่ชิงเอ่ยเสียงแผ่ว
ครั้งนี้ เขาไม่ได้คุกคาม อันที่จริงสิ่งที่พูดออกมาเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับความเป็นจริง แน่นอนว่าข้อกำหนดเบื้องต้นคือเขาสามารถเติบโตขึ้นไปได้ทีละขั้น
ดังนั้นท้ายที่สุด ก็ยังเป็นนิทานอยู่ดี
แต่นิทานนี้สมบูรณ์แบบ อีกทั้งแทบไม่มีค่าใช้จ่าย
สำหรับคนโง่แล้ว บางทีอาจจะถูกบงการความรู้สึกจนทำให้คิดเป็นอื่น
แต่เห็นได้ชัดว่าสองจิตนี้ไม่ใช่ ดังนั้น…เว้นเสียแต่จะมีเสนอราคาที่ดีกว่า ไม่เช่นนั้นความเป็นไปได้ที่จะไม่ยอมรับก็จะน้อยมาก
เขาไตรวิญญาณสะกดมรรคา ตกอยู่ในความเงียบสงบ