ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 501 ครึ่งก้าวเตรียมสู่เทวะ! (1)
บทที่ 501 ครึ่งก้าวเตรียมสู่เทวะ! (1)
……….
สวี่ชิงไม่ได้เร่งรัด หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อไม่เห็นวิญญาณสวรรค์กับวิญญาณปฐพีตอบกลับ เขาก็ไม่พูดอะไรมาก ทิ้งไว้แค่ประโยคเดียว
“เทพวิญญาณทั้งสองไตร่ตรองอีกสักพักเถิด ช่วงสายัณห์คืนนี้ บนเขาชมสมุทรนอกพันธมิตรแปดสำนัก ข้าสวี่ชิงจะรออยู่ที่นั่น”
สวี่ชิงพูดจบ ก็สื่อจิตเทพไปหาชิงฉิน ชิงฉินเรอออกมา เงยหน้าร้องแกว๊ก กระพือปีกรุนแรง ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
หมอกเมฆบนท้องฟ้าเคลื่อนตัวมาปกคลุมรอบตัวชิงฉิน ขณะที่เคลื่อนคล้อยก็กลายเป็นเมฆดำ ก่อสายอัสนีนับไม่ถ้วน ไม่นานท่ามกลางเสียงครืนครัน ชิงฉินก็พุ่งออกไป หมอกเมฆแตกซ่าน ร่างใหญ่โตของชิงฉินก็พุ่งหวีดหวิวไปทางเขาจักรพรรดิภูต
หลังผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ก็เห็นเขาจักรพรรดิภูตไกลๆ
เขาที่แปรมาจากจักรพรรดิภูตคีรีนั่งขัดสมาธิ พลานุภาพไม่ธรรมดา แม้ว่าร่างกายจะเต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าที่แห้งเหี่ยว ปกคลุมด้วยเสื้อผ้าผืนพสุธาไว้ชั้นหนึ่ง แต่ยังคงยากจะปิดบังชุดเกราะที่โหดเหี้ยมรวมถึงดาบสองเล่มนั้นที่แผ่ปราณพิฆาตเข้มข้นออกมาได้
มันนั่งอยู่ตรงนั้น หันหน้าไปทางทะเลต้องห้าม ก้มหน้าลงเล็กน้อย ราวกับกำลังเฝ้ารอ…
จ้องมองร่างภูเขาที่ใหญ่โต ในใจสวี่ชิงก็เกิดระลอกคลื่นโหมกระหน่ำ
ตอนแรกที่เขามาสัมผัสรับรู้ที่นี่พร้อมกับนายท่านเจ็ด ก็ยังไม่เห็นเจ็ดวิญญาณของเขาจักรพรรดิภูตเลย แค่ไปพักในหมู่บ้านตรงตีนเขาเท่านั้น
ตอนนี้เมื่อได้กลับมาอีกครั้ง จ้องมองเขาจักรพรรดิภูต วังจักรพรรดิภูตในร่างกายสวี่ชิงก็สั่นไหวเล็กน้อย
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ดวงตาเผยประกาย บีบเมล็ดยันต์ปีศาจจนแตกละเอียด เงาจักรพรรดิภูตด้านหลังเขาก็จำแลงออกมาจากการที่ชิงฉินพุ่งหวีดหวิวเข้าใกล้
ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมโหมเมฆทะลัก
มองไกลๆ จักรพรรดิภูตคีรีสององค์ หนึ่งใหญ่หนึ่งเล็ก หนึ่งแท้จริงอีกหนึ่งมายา ราวกับกำลังจดจ้องกัน
เสียงคำรามดังออกมาจากในเขาจักรพรรดิภูตที่แท้จริงในตอนนี้ ขณะที่แฝงพลานุภาพเอาไว้ ควันดำเจ็ดสายก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจากโลกใบใหญ่สองใบที่อยู่บนบ่าของจักรพรรดิภูตคีรี
ทุกสายหนาขนาดร้อยจั้ง ขณะที่น่าตื่นตะลึงก็แผ่ระลอกคลื่นน่ากลัวออกมา แปลงเป็นใบหน้าที่ก่อขึ้นจากหมอกควันขนาดยักษ์เจ็ดดวงบนท้องฟ้า จ้องมองลงมายังพื้นดิน
หน้าตาแตกต่างกัน มีทั้งคนทั้งสัตว์ มีทั้งชายทั้งหญิง มีทั้งแก่ชราทั้งหนุ่มสาว โดยเฉพาะใบหน้าตรงกลางที่คล้ายคลึงกับจักรพรรดิภูตคีรีมาก
การปรากฏตัวของพวกมัน บิดม้วนมิติรอบๆ ท้องฟ้าที่สดใสในตอนนี้แปรเปลี่ยนไปเป็นมืดมิด ความรู้สึกกดดันประทับลงมาเป็นระลอก
เจตจำนงโหดเหี้ยมอำมหิตบนใบหน้าของพวกมันยิ่งเข้มข้นขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงของสีท้องฟ้า มองมาทางสวี่ชิงอย่างไม่เป็นมิตร
ขณะเดียวกัน ยังมีเงาภูตอีกหลายร่าง ที่ลอยออกมาจากโลกใบใหญ่ทั้งสองที่จักรพรรดิภูตคีรีแบกไว้ กระจายไปทั่วทิศ ในบรรดานี้ไม่เพียงแต่เต็มไปด้วยผีร้าย แต่ยังมีสิ่งประหลาดอยู่อีกมากมาย
พวกมันเป็นตัวตนชั่วร้ายที่ถือกำเนิดหลังจากโลกใบใหญ่จักรพรรดิภูตคีรีล่มสลาย
เวลานี้ปกคลุมฟ้าดิน คล้ายกับเปิดประตูภูต ผีร้ายนับไม่ถ้วนมาเยือน
แต่สิ่งเหล่านี้สำหรับชิงฉินแล้วไม่นับว่าเป็นอะไรเลย กระทั่งหลังจากมันมอง หัวทั้งสามก็ทำท่าทีสนใจ เหมือนอยากจะลองชิมรสชาติของผีร้ายดู
สวี่ชิงยืนอยู่บนหัวด้านขวาของชิงฉิน มองใบหน้าหมอกควันขนาดยักษ์ทั้งเจ็ดนั้นอยู่ห่างๆ สีหน้าเรียบสงบ เอ่ยว่า
“ข้าเจรจากับศัสตราวิญญาณรวมถึงวิญญาณปฐพีและวิญญาณสวรรค์แล้ว จะไม่เอ่ยถึงรายละเอียดอีก เจ้าก็น่าจะรู้อยู่แล้ว
“วันนี้ช่วงสายัณห์ บนเขาชมสมุทรนอกพันธมิตรแปดสำนัก ข้าสวี่ชิงจะรออยู่ที่นั่น”
สวี่ชิงพูดจบก็ประสานหมัดคารวะ จากนั้นก็จากไป
อันที่จริงเขาไม่ต้องมาที่นี่ก็ได้ ถึงอย่างไรสามจิตเจ็ดวิญญาณก็เป็นขั้วอำนาจสองฝ่าย ทว่าที่สุดแล้วก็ยังมาจากต้นกำเนิดเดียวกัน สวี่ชิงไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่สังเกตเห็นตอนที่ตนอยู่ที่เขาไตรวิญญาณสะกดมรรคา
ทว่าบางครั้ง ต่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจสิ่งที่ตนต้องการ แต่ก็ยังต้องแสดงท่าทีอยู่
และขณะที่สวี่ชิงหันหลังจะจากไป ในบรรดาใบหน้าทั้งเจ็ดของเขาจักรพรรดิภูต จู่ๆ วิญญาณตนที่หนึ่งที่หน้าตาเหมือนกับจักรพรรดิภูตคีรีก็เอ่ยขึ้น ส่งเสียงทัณฑ์สวรรค์ดังกึกก้อง
“ข้าขอดูวิถีสวรรค์ของเจ้าหน่อย!”
สวี่ชิงชะงัก
เขาหันหน้าไปมองวิญญาณตนที่หนึ่ง ยกมือขวาขึ้นโบกกลางท้องฟ้า ฉับพลันม่านฟ้าดำทมึนก็มีเสียงคำรามดังมาเป็นระลอก
เมฆหมอกราวกับกลายเป็นมหาสมุทร อสูรสมุทรบรรพกาลกระโจนออกมาจากด้านใน รยางค์สีแดงยาวลู่ลงมา ปลิวพลิ้วตามการเคลื่นไหว ขณะที่พลานุภาพน่าตกตะลึง กลิ่นอายของวิถีสวรรค์ก็แผ่ออกมาอย่างชัดเจนจากอสูรสมุทรบรรพกาล
เจ็ดวิญญาณเงียบนิ่ง
สวี่ชิงรออยู่ครู่หนึ่งก็เรียกอสูรสมุทรบรรพกาลกลับไป จากนั้นประสานหมัดไปทางหัวตรงกลางของชิงฉิน ชิงฉินเข้าใจความหมายของสวี่ชิง ร้องแกว๊กขึ้นมา พาสวี่ชิงบินวนรอบเขาจักรพรรดิภูตรอบหนึ่ง กระพือปีก แล้วทะยานไปไกล
จากการไหลผ่านของเวลา ก็ค่อยๆ พลบค่ำ
ช่วงสายัณห์ของวันนี้ ไม่มีแสงสีแดง ท้องฟ้าเป็นสีเหลืองราวกับเทียนไขทั้งผืน ราวกับเป็นคนแก่ที่โรยรา กำลังอาลัยอาวรณ์โลกมนุษย์ ไม่อยากจะตายจากไป
ดังนั้นแสงสายัณห์นี้จึงมีสีพลบค่ำแฝงอยู่ด้วย ขณะที่ทอดลงมาบนเขาชมสมุทรด้านนอกพันธมิตรแปดสำนัก ก็เปลี่ยนเป็นขมุกขมัว
สวี่ชิงยืนอยู่บนยอดเขา ด้านขวาของเขาคือพันธมิตรแปดสำนัก ที่นั่นเปิดค่ายกลคุ้มกันไว้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังประกาศใช้กฎอัยการศึกรอบด้านเพื่อป้องกันผนึกแดนต้องห้ามมรณะล้มเหลว ตอนนี้จึงอยู่ในสภาพกึ่งปิด
ของวิเศษเวทต้องห้ามของสำนักต่างๆ ก็เปิดใช้งานกลางอากาศทั้งหมดนานแล้ว สาดแสงเจิดจ้าสะเทือนฟ้าสะเทือนดินเป็นระยะ พุ่งไปทางส่วนลึกของทะเลต้องห้าม
เบื้องหน้าเขาคือทะเลต้องห้ามสีดำ
คลื่นทะเลตีเกลียว ซัดหินด้านล่างเป็นระลอกจนกลายเป็นฟองคลื่นสีน้ำตาล กองรวมกันที่ชายทะเล เมื่อสลายไปส่วนหนึ่ง ก็เกิดใหม่อีกส่วนหนึ่ง
ไอพลังประหลาดที่มาจากทะเลต้องห้ามก็แผ่เข้ามาอย่างต่อเนื่องในขณะที่ฟองคลื่นสีน้ำตาลนี้สลายไป โจมตีทุกด้าน
‘แดนต้องห้ามมรณะอยู่ที่นั่น’ สวี่ชิงเงยหน้า มองส่วนลึกของทะเลต้องห้าม พึมพำในใจ
เขากำลังรอ
สีท้องฟ้าค่อยๆ จางหายไป แสงสายัณห์ค่อยๆ เข้มขึ้น ความมืดกำลังกลืนกินแสงสว่างอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งสีดำระหว่างฟ้าดินปกคลุมทุกสรรพสิ่ง จู่ๆ ร่างเงาขนาดยักษ์ร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นกลางฟากฟ้า
ร่างกายผอมแห้ง ศีรษะที่โหดเหี้ยมอำมหิต เนื้องอกที่ปูดนูนออกมาราวกับคนหลังค่อม ผู้ที่มาเยือนคือเทพวิญญาณเจวี๋ยหยาง!
เขาไม่ได้มาคนเดียว เหนือศีรษะของเขา ยังมีคนแคระยืนอยู่ด้วย
คนแคระสวมชุดคลุมยาวสีดำ ดวงตาเรียวเล็ก กลางหน้าผากนูนออกมา คิ้วสองข้างยาวลงมาจนถึงแก้ม แต่คางกลับเว้าเข้าไปด้านใน ทำให้ส่วนปลายเคราที่แยกกันเป็นอักษร八โค้งชี้เข้าหากันราวกับเป็นเขี้ยว
ดูแล้วอัปลักษณ์ยิ่ง แต่สามารถยืนอยู่เหนือศีรษะเทพวิญญาณเจวี๋ยหยางได้ ก็ไม่ต้องกล่าวถึงฐานะของเขา
โดยเฉพาะรอบๆ ตัวเขา ยังมีหมอกดำที่แปรเป็นรูปร่างตะขาบอีกด้วย โอบล้อมเลื้อยวนรอบไม่หยุด ส่งเสียงคำรามบาดหูออกมา จ้องมองสวี่ชิงที่อยู่บนยอดเขาด้านล่าง
“จะลงมือแค่ครั้งเดียว” คนแคระเอ่ยราบเรียบ น้ำเสียงแหบพร่า เป็นเสียงของวิญญาณสวรรค์นั่นเอง
ขณะเดียวกัน บนท้องฟ้าสีดำ ก็มีเสียงคำรามต่ำออกมา เมฆหมอกตีเกลียว ใบหน้าขนาดยักษ์ทั้งเจ็ดท่ามกลางแสงสลัวปรากฏขึ้นเดี๋ยวชัดเดี๋ยวเลือน จ้องมองสวี่ชิงเช่นกัน
“จะลงมือแค่ครั้งเดียว!”
ใบหน้าทั้งเจ็ดปลงเสียงออกมาพร้อมกัน กึกก้องไปทั่วสารทิศเหนือกว่าอัสนีสวรรค์
“ได้”
สวี่ชิงพยักหน้า เดิมก็เป็นการเจรจาครั้งหนึ่ง จึงไม่จำเป็นต้องมากพิธีการ มีเพียงคำมั่นสัญญาต่อกันเท่านั้น
ส่วนเจ็ดวิญญาณนั้น ทุกตนก็เป็นหวนสู่อนัตตาขั้นหนึ่งทั้งสิ้น วิญญาณตนที่หนึ่งในบรรดานี้ เห็นได้ชัดว่าอยู่ในขั้นที่สอง
วิญญาณปฐพีทางนั้น ก็ขยายภาพซ้อนขั้นสองออกมาเช่นกัน ส่วนคนแคระวิญญาณสวรรค์ ทำให้สวี่ชิงรู้สึกว่าล้ำลึกยากคาดเดา คิดว่าอีกฝ่ายเป็นหัวหน้าของสามจิตเจ็ดวิญญาณ ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
พลังต่อสู้เช่นนี้ ต่อให้ลงมือแค่ครั้งเดียว แต่หากใช้ในช่วงเวลาสำคัญ ประโยชน์ก็จะมหาศาล
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงพวกเขาที่ยังไม่เป็นอิสระเลย สวี่ชิงยังสัมผัสได้ถึงพลังบำเพ็ญชั่วร้ายรวมถึงกลิ่นอายของผีร้ายนับไม่ถ้วนในเขาไตรวิญญาณสะกดมรรคาบริเวณนี้ด้วย
นี่แทบจะเป็นสองขั้วอำนาจใหญ่ที่สมบูรณ์แบบของมณฑลรับเสด็จราชัน ผนวกกับชิงฉิน สวี่ชิงก็มีความมั่นใจกับการเพิ่มพลังต่อสู้เร่งผนึกแดนต้องห้ามมรณะบางส่วนของมณฑลรับเสด็จราชันในครั้งนี้มากขึ้นแล้ว
คิดถึงจุดนี้ ร่างของสวี่ชิงก็เดินไปเบื้องหน้า ร่างของชิงฉินปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่า แบกร่างสวี่ชิง หลังจากดวงตาดุร้ายกวาดไปรอบๆ ก็ส่งเสียงคำรามเสียดแทงหูออกมา บินหวีดหวิวไปทางทะเลต้องห้าม
ด้านหลังชิงฉิน วิญญาณปฐพีเลียริมฝีปาก ก้าวตามไป ส่วนคนแคระวิญญาณสวรรค์บนหัวเขาก็ยืนเอามือไพล่หลังด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ด้านบนพวกเขา หมอกเมฆตีเกลียว มีใบหน้าขนาดยักษ์ทั้งเจ็ดอยู่ด้านใน ลอยไปด้วยเช่นเดียวกัน
เห็นได้ว่ามีผีร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ในหมอกเมฆด้วย อานุภาพยิ่งใหญ่เกรียงไกร ราวกับหมู่มารเริงระบำ ท้องฟ้าเปลี่ยนสี
ท้องฟ้าเป็นเช่นนี้ ทะเลต้องห้ามสีดำยามราตรีก็เช่นเดียวกัน
ในท้องทะเลคลื่นสาดซัด ไอพลังประหลาดแผ่ซ่านไปอาณาบริเวณ ใต้ท้องทะเลมีคลื่นใต้น้ำหลั่งทะลักอย่างเงียบงัน ขณะที่คลื่นทะเลกระทบชายฝั่ง บางครั้งจะมองเห็นร่องรอยของเหล่าอสูรทะเล
เพียงแต่อสูรทะเลเหล่านี้ แตกต่างจากในความทรงจำของสวี่ชิง
ร่างส่วนใหญ่ของพวกมันเน่าเปื่อยในระดับที่แตกต่างกัน กระทั่งเมื่อดมกลิ่นอย่างละเอียด ยังได้กลิ่นซากศพเน่าเปื่อยนอกเหนือจากกลิ่นคาวในท้องทะเลด้วย
เห็นได้ชัดว่าการปะทุของแดนต้องห้ามมรณะ ทำให้ทะเลต้องห้ามปนเปื้อนอย่างรุนแรง ถึงอย่างไรตำแหน่งที่แท้จริงของแดนต้องห้ามมรณะก็อยู่ที่ก้นบึ้งใต้ทะเล ภัยร้ายที่ตีเกลียวอยู่ในนั้น กินพื้นที่ไปกว่าครึ่งทะเลต้องห้าม
ดังนั้นระหว่างที่เดินทางไปเบื้องหน้า ไม่นานสวี่ชิงก็เห็นคลื่นยักษ์โถมฟ้ากระหน่ำซัดอย่างบ้าคลั่งไปทางหนึ่ง และสายลมก็รุนแรงยิ่งขึ้นด้วย
ภายใต้การร่วมมือกัน คลื่นยักษ์สูงนับสิบจั้ง ร้อยจั้งหรือกระทั่งสูงยิ่งกว่าก็โหมขึ้นมาจากท้องทะเล หลังจากสาดซัดอย่างรุนแรงก็ส่งเสียงที่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นจนหูแทบดับ
ทั้งทะเลต้องห้ามราวกับกลายเป็นยักษ์ฉุนเฉียวที่กำลังปลดปล่อยความเจ็บปวดของตนอย่างบ้าคลั่ง
ยิ่งมีคลื่นพลังวิชาเวทที่เข้มข้นกว่า ตามมาด้วยเสียงร่ายคาถา ดังมาจากแดนต้องห้ามมรณะ
จากการตรงไปเบื้องหน้า สวี่ชิงก็เห็นว่าสีของมหาสมุทรค่อยๆ เปลี่ยนไป มีสีทองผืนหนึ่งแผ่กระจายอยู่ในนั้น ราวกับอาณาเขตแดนต้องห้ามมรณะนี้กำลังกลายเป็นทะเลสีทอง
ยิ่งเข้าใกล้แดนต้องห้ามมรณะ สีทองก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เข้มขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายที่สุด ก็เจิดจ้าไร้ที่เปรียบ
เสียงร่ายคาถากับคลื่นพลังวิชาเวทก็เช่นเดียวกัน ยิ่งแผ่ความยิ่งใหญ่ออกมา ลอดเข้าไปในหูราวกับเป็นเสียงคนนับไม่ถ้วนกำลังร้องคำราม
“มนุษย์มักขาดเต๋า หาใช่เต๋าละทิ้งมนุษย์ มนุษย์ที่วายชนม์หาใช่ไร้เต๋าในชีวี
“สิ่งมหัศจรรย์เร้นลับ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สวรรค์หาได้ประทานอายุที่ยืนยาว ชีวิตที่สูญเสียก็หาใช่ผู้อื่นพรากไป”
คาถานี้แฝงไว้ด้วยอิทธิฤทธิ์สั่นคลอนจิตวิญญาณ สวี่ชิงฟังแล้วก็อดสีหน้าเปลี่ยนไปไม่ได้ รู้สึกว่าในหัวสมองครืนครัน ราวกับวิญญาณจะหลุดออกมาจากร่าง
ยังดีที่เมื่อชิงฉินผงกหัวสาดแสงสีม่วงแดงออกมา ในร่างสวี่ชิงก็เปล่งแสงเจิดจ้า จึงสะกดวิญญาณที่จะหลุดออกจากร่างไว้ได้
ส่วนสามจิตเจ็ดวิญญาณด้านหลังเขา ดวงตาก็เผยแววประหลาดเช่นกัน มองทะเลต้องห้ามไกลๆ
ทะเลต้องห้ามเวลานี้ กำลังสำแดงค่ายกลที่น่าตกตะลึงออกมา
สวี่ชิงบนท้องฟ้ากวาดสายตามองไป เขาเห็นผู้บำเพ็ญจำนวนมหาศาลในมณฑลรับเสด็จราชัน และเห็นสถานการณ์ปัจจุบันของแดนต้องห้ามมรณะด้วย
นั่นเป็นใบหน้าสีทองขนาดยักษ์หน้าหนึ่ง
ใบหน้านี้ครอบคลุมเขตทะเลทั้งหมด อาณาเขตขนาดแดนต้องห้ามมรณะ มันนูนออกมาจากผิวน้ำทะเล ดูแล้วใหญ่โตมโหฬารมาก ขณะที่น่าตื่นตะลึงก็กำลังดิ้นรนสุดกำลัง ราวกับจะพุ่งออกมาจากน้ำ
คลื่นพลังที่น่าครั่นคร้ามแผ่ซ่านออกมาจากใบหน้าที่หลับตาทั้งสองเป็นระลอกไม่หยุด กระจายไปทั่วสารทิศ
ขณะเดียวกันที่นี่ยังเป็นต้นกำเนิดของกลิ่นเน่าเหม็น โจมตีสรรพชีวิตจากการแผ่ขยายออกไป
แต่ทำให้สวี่ชิงรู้สึกว่ายังแตกต่างกับเทพเจ้ามาก ใบหน้าสีทองนี้ไม่ใช่เทพเจ้า แต่ดูคล้ายกับสิ่งที่แปรมาจากกลิ่นอายของเทพเจ้ามากกว่า
ส่วนสาเหตุที่มันไม่พุ่งออกมา เพราะตาข่ายสีเลือดที่ถักทอขึ้นจากเส้นเลือดเก้าร้อยเก้าสิบเก้าเส้นกำลังคลุมมันอยู่ สะกดมันเอาไว้อย่างหนาแน่น
เส้นเลือดเกือบพันเส้นนี้ ส่วนปลายทั้งสองด้านของทุกเส้นยึดติดอยู่บนผิวน้ำทะเล สะกดไว้โดยผู้บำเพ็ญในมณฑลรับเสด็จราชันรวมถึงต่างเผ่าด้วย
ทั้งหมดหนึ่งพันเก้าร้อยเก้าสิบแปดจุด กระจายไปทั้งแปดทิศ
แต่ละจุดล้วนเป็นศูนย์กลางของค่ายกล จึงก่อร่างเป็นค่ายกลใหญ่จำนวนหนึ่งพันเก้าร้อยเก้าสิบแปดค่ายกล
เมื่อรวมค่ายกลใหญ่นี้เข้าด้วยกันก็กลายเป็นค่ายกลขนาดยักษ์ที่สั่นสะเทือนฟ้าดิน
ขนาดของค่ายกลนี้ปกคลุมทั้งแดนต้องห้ามมรณะ สะกดควบคุมใบหน้านั้นเอาไว้ มองจากท้องฟ้าลงไป จะเห็นว่าภายในของทุกค่ายกล ล้วนมีผู้บำเพ็ญนับพันนั่งอยู่