ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 503 นรกในโลกมนุษย์ (1)
บทที่ 503 นรกในโลกมนุษย์ (1)
ได้ยินคำพูดของบรรพจารย์ นายกองซาบซึ้งขึ้นมาทันที มองไปทางเสี่ยเลี่ยนจื่อด้วยน้ำตาคลอเบ้า
เงาร่างของอีกฝ่ายในใจเขายิ่งใหญ่เหลือประมาณ สาดประกายแสงอบอุ่น
ครั้งนี้เขาตกใจกลัวกับสถานการณ์ผู้บำเพ็ญหลายล้านคนของสองมณฑลแล้วจริงๆ และการก้าวออกมาของบรรพจารย์ คำพูดที่ยุติธรรมเที่ยงตรง ทัศนคติที่ถูกต้องต่อตน ทุกอย่างทำให้ความน้อยเนื้อต่ำใจมหาศาลในใจของนายกองแปรเปลี่ยนเป็นความซาบซึ้ง
เขารู้สึกว่าในโลกนี้ยังมีความอบอุ่น ฟ้าดินยังมีความจริงใจ!
และบรรพจารย์สุดท้ายแล้วก็รักเขามากที่สุด ตัวเขายังเป็นศิษย์หลานตัวน้อยที่บรรพจารย์รักที่สุด
นายกองจึงใช้แรงสุดกำลังเบิกหนังตาขึ้น จะมองไปทางสวี่ชิง
สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ หิ้วศีรษะนายกองมองไปทางผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสองของมณฑลบังคับจำนนและรับเสด็จราชัน เอ่ยขึ้นอย่างสงบนิ่ง
“จากรายงานอักษรเจี่ยหมายเลขหนึ่งสามเจ็ดเก้าที่กรมอาลักษณ์รวบรวม เคราะห์ภัยวุ่นวายของสองมณฑลล้วนเกี่ยวกับเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ และได้รับการยืนยันจากรายงานตัวอักษรมี่หมายเลขที่สองหนึ่งสี่ว่าฝั่งเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ปลุกแดนต้องห้ามอาภรณ์
“นอกจากนี้ ผนึกมณฑลบังคับจำนนราบรื่นกว่ามณฑลรับเสด็จราชันอย่างเห็นได้ชัด สรุปจากการเปรียบเทียบข้อมูลที่ส่งมาจากทั้งสองมณฑลแล้ว ต่อให้มณฑลบังคับจำนนไม่มีกองทัพเสริม อย่างมากหนึ่งเดือนก็จะสามารถจัดการเคราะห์แดนต้องห้ามอาภรณ์ได้ ส่วนมณฑลรับเสด็จราชันต้องใช้เวลามากกว่านั้น
“เรื่องนี้ในตอนที่อยู่ที่กรมอาลักษณ์ ข้าก็สงสัยเช่นกัน เดิมคิดว่าประตูเทพเจ้าแดนต้องห้ามมรณะเป็นต้นเหตุที่ทำให้การผนึกยากลำบากกว่าเดิม แต่ตอนนี้ดูแล้ว น่าจะเกี่ยวพันกับความร่วมมือของเฉินเอ้อร์หนิวในแดนต้องห้ามอาภรณ์”
นายกองซาบซึ้งขึ้นมาอีกครั้ง
เขาขยับศีรษะอย่างรวดเร็ว ทำท่าพยักหน้า และหน้าตาโทรมๆ ของเขา หนวดเครารกครึ้ม ฉายความอเนจอนาถออกมาอย่างเข้มข้น ท่าทางแบบนี้เพิ่มความน่าเชื่อถือได้อีกเล็กน้อย
แต่เสียงที่น่าเชื่อถือที่สุดตอนนี้ดังมาจากที่ไกล
“ความวุ่นวายในแดนต้องห้ามอาภรณ์ไม่เกี่ยวกับสหายตัวน้อยเผ่ามนุษย์ผู้นี้ กลับเป็นการมาเยือนของเขาที่ช่วยเผ่าเราเอาไว้ได้อย่างมหาศาล”
คนทั้งหลายมองไปทันที เห็นเพียงเสื้อผ้าแต่ละตัวๆ บินออกมาจากบนผ้าคลุมศพที่อยู่ข้างล่าง แปรเปลี่ยนเป็นสีสันต่างๆ กลางอากาศ เป็นเผ่าอาภรณ์นั่นเอง
เพียงแต่ เทียบกับสมาชิกเผ่าที่ตายไป จำนวนของเผ่าอาภรณ์ที่เหลือรอดมีไม่มาก
ผู้ที่เป็นผู้นำพูดออกมาเป็นชุดจักรพรรดินีหญิงชุดหนึ่ง ข้างหลังมันรวมไว้ซึ่งชุดองครักษ์จำนวนมหาศาล
การปรากฏตัวขึ้นของพวกมันทำให้ผู้บำเพ็ญที่นี่ต่างประสานหมัด การผนึกแดนต้องห้ามอาภรณ์ครั้งนี้ เผ่าอาภรณ์ลงแรงมากที่สุด และคำพุดของชุดจักรพรรดิก็แน่นอนว่ามีน้ำหนักมหาศาล
เห็นเผ่าอาภรณ์ปรากฏตัวขึ้น นายกองรีบโก่งคอสองสามที แต่รู้สึกว่าไม่ค่อยง่าย จึงพูดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“อาชิงน้อยช่วยข้าหน่อย”
สวี่ชิงใบหน้าไร้อารมณ์ ยกมือล้วงเข้าไปในปากนายกอง หลังจากควานๆ ครู่หนึ่ง ก็ล้วงเอาถุงมือข้างหนึ่งออกมาจากปากนายกอง
ก็ไม่รู้ว่านายกองซ่อนได้อย่างไร ถุงมือข้างนี้ถูกขยุ้มเอาไว้ เต็มไปด้วยรอยยับย่น ตอนนี้เมื่อเอาออกมา จากการที่นายกองเป่าลมไป มันก็พองขยายอิ่มเอิบ ฟื้นคืนสภาพเดิม
เป็นนวลนางนิ้วทั้งห้านั่นเอง
นางเพิ่งฟื้นตื่น คล้ายว่ายังมึนๆ งงๆ เล็กน้อย หลังจากบินออกไปก็โซซัดโซเซวนล้อมรอบศีรษะของนายกองอยู่สองสามรอบ จากนั้นก็ฟื้นคืนสติอย่างสมบูรณ์ แผ่ระลอกคลื่นอารมณ์ดีใจ โบกมือให้นายกอง ก่อนจะบินไปทางเผ่า
สวี่ชิงสังเกตเห็นสายตาที่นายกองมองถุงมือนั่นว่าไม่ค่อยชอบมาพากลหน่อยๆ อ่อนโยนเกินไป สายตาแบบนี้สวี่ชิงก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นจากนายกอง
แต่เขารู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาซักถาม จึงไม่ได้เอ่ยปาก
และผนึกแดนต้องห้ามอาภรณ์ตอนนี้โดยพื้นฐานก็เป็นรูปร่างแล้ว ชุดสวมใส่สำหรับคนตายสีดำตัวนั้นถูกผ้าคลุมศพคลุมโดยสมบูรณ์
จึงทำตามแผน หลังจากนี้หนึ่งชั่วยาม ผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์จำนวนมหาศาลที่โถงครองกระบี่มณฑลบังคับจำนนรวบรวมมาจากในมณฑลของตัวเองเองร่วมกับมณฑลรับเสด็จราชันก็เริ่มไปช่วยเหลือแนวหน้า
กองทัพเกรียงไกรเคลื่อนพลรวดเร็ว ไปจากแดนต้องห้ามอาภรณ์
ยิ่งใหญ่เกียงไกร ทรงแสนยานุภาพ
ส่วนชิงฉิน ในยามที่กองทัพเปิดค่ายกลส่งข้ามขอบเขตกว้างที่โถงครองกระบี่มณฑลบังคับจำนน ทยอยส่งข้ามไปนั้น มันก็ส่งเสียงแกว๊กให้สวี่ชิง สายตาฉายแววอำลา
มันช่วยสวี่ชิงเพราะคำฝากฝังจากพี่ใหญ่ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีจุดยืนของตัวเอง ติดตามจนถึงที่สุดโดยไม่ลังเล
แม้มันจะไม่ได้เกลียดชังเผ่ามนุษย์ แต่ก็พูดไม่ได้ว่ามีความรู้สึกดีอะไร โดยเฉพาะสงครามใหญ่ระหว่างสองเผ่าแบบนี้ มันไม่อยากร่วมด้วย นี่ก็เป็นเหตุที่ก่อนหน้านี้เจ้าวังไปเชิญแต่มันกลับปฏิเสธ
ดังนั้น เพื่อช่วยสวี่ชิงเป็นการส่วนตัวมันยินดี แต่เพื่อเผ่าพันธุ์มันไม่ยินดี
แม้ตั้งแต่ต้นจนจบ ชิงฉินจะไม่ได้ส่งจิตเทพใดๆ ออกมา อาศัยเพียงเสียง แต่สวี่ชิงตอนนี้มองชิงฉิน เขาก็สามารถเข้าใจการตัดสินใจของอีกฝ่ายได้
“ขอบคุณผู้อาวุโสชิงฉินมากขอรับ!”
สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึม ยืนอยู่บนเรือยักษ์ประสานหมัดโค้งคารวะอย่างจริงจัง
ชิงฉินบินบนท้องฟ้า หัวทั้งสามมองสวี่ชิง สุดท้ายหลังจากที่บินวนเวียนสองสามรอบ ก็ส่งเสียงคำรามออกมาเป็นชุด
แกว๊กๆๆ!
ภายใต้เสียงคำราม มันสยายปีกกระพือ ร่างส่งเสียงดังครืนครันก็พุ่งตรงไปบนท้องฟ้า จากไปไกลจากขอบฟ้า
สวี่ชิงจ้องมองท้องฟ้า จวบจนเงาร่างของชิงฉินหายลับไปโดยสมบูรณ์ นายกองที่ส่วนสูงถึงเพียงเข่าของเขาก็ถอนหายใจ
“คิดไม่ถึงเลย ช่วงนี้จะเกิดเรื่องมากมายขนาดนี้”
ใต้ศีรษะของนายกองตอนนี้มีร่างเด็กทารกงอกขึ้นมา มือเท้าเล็กๆ อวบอ้วนเดิมควรจะน่ารักน่าเอ็นดู ทว่าเมื่อมีศีรษะของผู้ใหญ่ทำให้เขาดูแล้วแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
สวี่ชิงกวาดสายตารอบๆ พบว่าคนทั้งหลายที่นี่ทยอยเดินไปในค่ายกลส่งข้ามแล้ว จึงก้มหน้ามองไปทางนายกอง เอ่ยถามไป
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านทำเรื่องอะไรในนั้นกันแน่”
นายกองถอนหายใจ
“ข้าก็น้อยใจนะ หลังจากพวกเราแยกกันส่งข้ามที่ต้นสิบลำไส้ สถานที่ที่ข้ามาปรากฏตัวก็คือที่เผ่าอาภรณ์ ที่นี่ข้าได้เจอกับน้องสาวนวลนางนิ้วทั้งห้า ดังนั้นข้าเลยเสนอไปว่าอยากไปเที่ยวเล่นในสถานที่สนุกๆ ของเผ่าพวกเขา คิดไม่ถึงว่าเดินไปๆ แดนต้องห้ามอาภรณ์จะฟื้นตื่นขึ้นมาเสียดาย!!
“ตื่นขึ้นมาก็ช่างเถิด แต่ยังกลืนน้องสาวนวลนางทั้งห้าของข้า!”
“ต่อหน้าข้า กลืนน้องสาวนวลนางนิ้วทั้งห้าของข้า นั่นเป็นเรื่องที่ข้ายอมได้หรือ ข้าจึงไล่ตามไป เข้าไปในส่วนลึกของแดนต้องห้ามอาภรณ์ เสี่ยงตายในนั้น ในที่สุดก็ช่วยน้องสาวนวลนางนิ้วทั้งห้าออกมาได้
“แต่เจ้าก็รู้จักนิสัยข้า ข้าเป็นคนที่ยอมเสียเปรียบคนหรือ!
“ดังนั้น ด้วยความโกรธของข้า ข้าจึงตัดสินใจเดินเข้าไปลึกอีกนิด จากนั้นเห็นหัวใจดวงหนึ่งล่องลอยอยู่กลางอากาศ มันน่าจะกำลังฟื้นตื่น ทั้งร่างส่งกลิ่นหอม ดังนั้นเพื่อแก้แค้น ข้าจึงกัดกินหัวใจวิญญาณที่มันต้องการในการฟื้นตื่นไปหลายคำ”
นายกองกระแอม มือเล็กๆ ทั้งสองข้างไพล่อยู่ข้างหลัง มองไปทางสวี่ชิง
สวี่ชิงมองนายกอง เขานึกถึงเสียงก่นด่าและความโกรธเดือดดาลขั้นสุดของใบหน้าดวงนั้นเมื่อก่อนหน้านี้ คิดแล้วไม่น่าจะกลืนไปสองสามคำง่ายๆ แบบนั้น
ส่วนคำพูดของนายกองสวี่ชิงเชื่อเพียงครึ่งเดียว เนื่องจากขาดข้อมูล ดังนั้นเขารู้ว่าเคราะห์ความวุ่นวายแดนต้องห้ามอาภรณ์ นายกองไม่ได้เป็นคนก่อจริงๆ
แต่เรื่องภายหลังที่นายกองพูดเหล่านั้น สวี่ชิงไม่เชื่อเลย
เขารู้สึกว่าด้วยนิสัยของนายกองจะจ้องทำเรื่องสะท้านฟ้าสะเทือนดินอะไรในนั้นแน่ๆ คิดแล้วต่อให้เป็นเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ก็คาดไม่ถึงว่าแผนการอันรอบคอบของพวกมันจะเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดเช่นนี้ได้เหมือนกัน
แต่สรุปแล้ว ผลลัพธ์นั้นดี อีกทั้งยังทำให้ผนึกราบรื่นขึ้นอีกเล็กน้อยด้วย
สวี่ชิงจึงพยักหน้า กวาดสายตามองนายกองตัวเตี้ย เอ่ยขึ้นอย่างช้าเนิบ
“เช่นนั้นแล้ว กลับไปข้าจะบันทึกให้ศิษย์พี่ใหญ่ นับว่าเป็นคุณงามความชอบครั้งใหญ่เรื่องหนึ่งเหมือนกัน”
นายกองได้ยินคำพูดนี้ก็หน้าตาเบิกบาน หัวเราะร่า
“นี่สิถึงจะเป็นศิษย์น้องเล็กของข้า ฮ่าๆ ให้เจ้า”
นอกจากดีใจแล้ว นายกองกวาดตามองไปรอบๆ หยิบเอาผลึกวารีสีเขียวครามขนาดเท่าไข่ไก่ออกมาก้อนหนึ่ง ยัดไปในมือสวี่ชิง
ผลึกวารีนี่เห็นได้ชัดว่าถูกผนึก มองเผินๆ ไม่มีอะไร มีเพียงถือเอาไว้ในมือถึงจะสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นน่าตกใจที่แฝงอยู่ในนั้น สวี่ชิงหลังจากรับเอาไว้ วิญญาณของเขาก็แผ่ความปรารถนาออกมาตามสัญชาตญาณ
กระทั่งว่านิ้วเทพเจ้าในวังสวรรค์ติงหนึ่งสามสองก็ยังสั่นสะท้านไปเช่นกัน
สวี่ชิงหวั่นไหว
“นี่คืออะไร”
“แฮ่ม รู้หรือไม่ทำไมข้าถึงเรียกไอ้ตัวดีในแดนต้องห้ามอาภรณ์ว่าไม่มีสมอง” นายกองคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม กะพริบตาปริบๆ ให้สวี่ชิง มือเล็กๆ อ้วนป้อมยกขึ้น ชี้ไปที่ผลึกวารีสีเขียวคราม
“อยู่ที่นี่”
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก มองนายกองอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านยังกินอะไรอีก”
“ไม่มีอะไรๆ ก็แค่ร่างครึ่งเทพที่เจ้านั่นสร้างให้ตัวเองไปอีกเกือบครึ่งร่างก็เท่านั้นเอง พอถูๆ ไถๆ ได้” นายกองเรอออกมา สีหน้าหยิ่งทะนง ยิ่งกวาดสายตามองสวี่ชิงอย่างรวดเร็ว คิดอยากจะเห็นความอิจฉาของสวี่ชิง
“ครึ่งเทพหรือ” สวี่ชิงถามไปประโยคหนึ่ง
“แน่นอน เฮ้อ ก็ธรรมดาๆ แหละ ไม่ใช่ของวิเศษวิโสอะไร อาชิงน้อย เจ้ามาช้าไป ถ้าเจ้ามาเร็วกว่านี้ศิษย์พี่ก็ไม่ถึงกับต้องกินจนจุก เหลือมาให้เจ้าแค่นี้”
นายกองกระแอม คำพูดแม้จะถ่อมตัว แต่ความได้ใจบนใบหน้าเต็มไปด้วยแววโอ้อวด
“มา แสดงสีหน้าอิจฉาให้ศิษย์พี่ดูหน่อย”
สวี่ชิงพยักหน้า ทำให้แววตาของตัวเองจับจ้องเล็กน้อย จากนั้นก็อ้าปากเหมือนตกใจ หลังจากแสดงสีหน้าชุดนี้ เขาก็เก็บผลึกวารีสีเขียวครามลงไปอย่างสงบ เตรียมดูดซับเรื่อยๆ ระหว่างทาง
“เฮ้อ อาชิงน้อย สีหน้าแบบนี้ของเจ้าไม่ถูก มาๆๆ เพิ่มกัดลิ้น แล้วก็เพิ่มสูดลมหายใจด้วย” นายกองไม่พอใจ รีบแก้ไขทันที
สวี่ชิงรู้สึกว่านี่ค่อนข้างสมเหตุสมผล จึงลองดู แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ทำได้ไม่ดี
เห็นสวี่ชิงเชื่อฟังแบบนี้ นายกองในใจรู้สึกได้ใจ แต่ภายนอกกลับส่ายหน้า
“เจ้านี่นะ ยังต้องฝึกอีกมาก!”
พูดแล้วนายกองกับสวี่ชิงก็ลงจากเรือยักษ์ ในยามที่เดินไปในค่ายกลส่งข้าม เขาก็บิดขี้เกียจ ถามไปตามสบายว่า
“ใช่แล้ว อาชิงน้อย ช่วงนี้เจ้าได้ผลเก็บเกี่ยวอะไรบ้าง”
ระหว่างพูดนายกองก็ก้าวเข้าไปในค่ายกลส่งข้าม
“ก็ไม่มีอะไร ก็แค่ได้ร่างวิญญาณเทพมาร่างหนึ่งก็เท่านั้น”
สวี่ชิงตอบกลับไปอย่างเรียบเฉย ก้าวเข้าไปเช่นกัน
จากการสั่นสะเทือนของค่ายกล นายกองพลันหันมาเหมือนตะโกนอะไรบางอย่าง สวี่ชิงได้ยินไม่ชัด เห็นเพียงนายกองสีหน้าเหมือนสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นดวงตาก็เบิกโพลง เผยความคาดไม่ถึงออกมา ลิ้นยิ่งหลังจากที่สูดลมหายใจก็ถูกฟันกัดเล้กน้อยด้วย
‘อ้อ ที่แท้นี่ก็คือกัดลิ้นที่ว่าอย่างนั้นหรือ’ สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด
เสี้ยวขณะต่อมา แสงค่ายกลปกคลุมรอบๆ ท่วมจมพวกเขาสองคนและผู้บำเพ็ญจากสองมณฑลคนอื่นๆ เอาไว้ในนั้น
มณฑลสวนพิรุณ
แผนที่มณฑลนี้เรียวยาว ด้านขวาคือมณฑลเผชิญคลื่นที่เป็นสนามรบเขตตะวันตก ด้านซ้ายคือมณฑลสงบสุขที่เป็นแนวหน้าของเขตเหนือ
ภูมิอากาศร้อนชื้นเป็นหลัก เป็นเช่นนี้ทั้งสี่ฤดู
ลักษณภูมิอากาศเช่นนี้ทำให้ร่างกายของทุกเผ่าในมณฑลสวนพิรุณในด้านขนาดของร่างกายแล้วใหญ่กว่าผู้บำเพ็ญมณฑลอื่นๆ มาก ยกตัวอย่างเช่นเผ่ากระจายวิญญาณที่ชิงฉินชอบก็สูงถึงห้าจั้ง ทุกเผ่าล้วนเป็นเช่นนี้
ทั้งมณฑลเต็มไปด้วยป่าฝน จะเห็นยอดเขาได้บ้าง ภูเขาสิบลูกในนั้นมักจะมีลูกหนึ่งเป็นภูเขาไฟ แต่ว่าการระเบิดไม่ได้บ่อยนัก
นับตั้งแต่เกิดสงครามมา เนื่องจากลักษณะที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของมณฑลสวนพิรุณ จึงนำมาใช้เป็นหน่วยสนับสนุน ทรัพยากรจากเขตปกครองหลวงนอกเสียจากจะกำหนดจุดหมาย ไม่เช่นนั้นแล้วล้วนมารวมที่นี่ก่อน แล้วค่อยแบ่งไปให้เขตสงครามทางตะวันตกและเหนือทั้งสองเขต
ดังนั้นที่นี่ในระดับหนึ่งแล้วก็เป็นพื้นที่ภายในเขตสงคราม มีวังอาญารับผิดชอบดูแล
เพียงแต่แม้กองทัพเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ส่วนมากจะถูกตรึงกำลังไว้ที่ชายแดน แต่เนื่องจากพื้นที่ทางเขตเหนือก่อนที่จะเปิดศึกก็ได้สูญเสียพื้นที่ไปสามมณฑล ต่อให้กองทัพพันธมิตรของทุกเผ่าร่วมกับของวิเศษเวทต้องห้ามเขตปกครองหลวงสร้างตาข่ายยักษ์สกัดกั้น แต่สุดท้ายก็ยังคงมีขั้วอำนาจเล็กๆ ของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์บางกลุ่มเข้ามาในสามมณฑล
พวกมันเชี่ยวชาญการซ่อนอำพราง ยิ่งกว่านั้นคือมีของวิเศษเวทรับมือกับตาข่าย ทำการปิดกั้นมันได้ในระยะเวลาสั้นๆ ดังนั้นนอกเสียจากจะลงแรงมหาศาลทำการค้นหา ไม่เช่นนั้นแล้วยากสังหารได้
โดยเฉพาะพวกมันล้วนได้รับการฝึกฝนเป็นพิเศษ ในนั้นส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นองครักษ์ชุดดำ ภายใต้การกระจายกำลังกันยิ่งยากที่จะกำจัดให้สิ้นซากอย่างรวดเร็ว
ส่วนเป้าหมายหลักของพวกมันคือทำลายและขัดขวางการขนส่งในเขตพื้นที่สงคราม
อย่างไรเสีย ก็ไม่ใช่ทรัพยากรทุกอย่างจะสามารถใส่ในมิติเก็บของได้
และไม่ใช่ทรัพยากรทุกอย่างจะเหมาะกับการขนส่งด้วยค่ายกล ยังมีทรัพยากรบางอย่างที่จำเป็นต้องใช้กำลังคนส่ง
ตอนนี้ ในมณฑลสวนพิรุณแห่งนี้ ณ จุดค่ายกลส่งข้ามขนาดใหญ่ของเขตปกครองผนึกสมุทรแห่งหนึ่ง มีองครักษ์ชุดดำของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์จำนวนหลายพันคนกำลังโจมตีที่นี่
พวกมันล้วนพลังบำเพ็ญไม่ธรรมดา กำลังรบนน่าครั่นคร้าม
อย่างไรเสียสามารถเป็นองครักษ์ชุดดำได้ก็เหมือนกับผู้ครองกระบี่ ล้วนแต่เป็นผู้โดดเด่นยอดเยี่ยมในพื้นที่นั้นๆ
แม้จะไม่ใช่ทุกคนล้วนสามารถสู้ข้ามระดับได้ แต่มักจะในขอบเขตเดียวกันพวกมันจะเป็นฝ่ายได้เปรียบมากกว่า
ภารกิจของพวกมันก็คือทำลายค่ายกลส่งข้ามขนาดใหญ่แห่งนี้
ค่ายกลนี้ปกคลุมพื้นที่รัศมีรอบๆ หนึ่งร้อยลี้ มองจากท้องฟ้าลงมากว้างใหญ่เป็นอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่เปิด ตามหลักแล้วสามารถทำให้ผู้บำเพ็ญจำนวนหลายแสนคนปรากฏตัวพร้อมกันได้
ตอนนี้เสียงฆ่าล้างสังหารดังออกมาจากชายขอบค่ายกลไม่หยุด
แม้ผู้บำเพ็ญที่คุ้มกันที่นี่จะมีไม่น้อย แต่ส่วนมาล้วนเป็นลูกศิษย์วังอาญา ด้านความยอดเยี่ยมสู้วังครองกระบี่ไม่ได้ เทียบกับองครักษ์ชุดดำแล้วย่อมห่างชั้นกันมาก
แต่ดีที่เรื่องจำนวนยังได้เปรียบในระดับหนึ่ง ในมณฑลสวนพิรุณก็มีกองทัพพันธมิตรจากเผ่าต่างๆ และผู้ครองกระบี่อยู่คุ้มกันดูแลจำนวนหนึ่ง จากแสงกะพริบของค่ายกลส่งข้าม กำลังไล่ตามมา
แต่ว่าอาวุธเวทหลายร้อยอันที่ลอยอยู่กลางอากาศขององครักษ์ชุดดำ กำลังแผ่ระลอกคลื่นรบกวนอยู่ตลอดเวลา ทำให้การส่งข้ามของค่ายกลไม่ราบรื่น
ยิ่งมีพลทหารเดนตายขององครักษ์ชุดดำบางคนฝ่าการปิดล้อม เมื่อเข้าใกล้ค่ายกลส่งข้ามก็ระเบิดตัวเองทันที ระลอกคลื่นที่เกิดขึ้นทำให้ค่ายกลกระเพื่อม
แต่ว่ามองภาพรวมแล้วค่ายกลนับว่ายังสมบูรณ์ดี ทุกอย่างนับว่ายังเป็นระเบียบ
องครักษ์ชุดดำที่ฝ่าทะลวงมาพวกนั้นถูกควบคุมไว้ในบริเวณที่ไม่สำคัญ
นี่เกี่ยวพันกับเหยาอวิ๋นฮุ่ยที่ทำหน้าที่คุ้มกันค่ายกลส่งข้าม
เหยาอวิ๋นฮุ่ยในฐานะที่เป็นเจ้ากรมบัญญัติแห่งวังอาญา ภายใต้การคุ้มกันและการจัดการด้วยพลังบำเพ็ญระดับสมบัติวิญญาณของนาง ก็ได้ทำการต้านทานการโจมตีขององครักษ์ชุดดำมากมายมหาศาลที่นี่
และตอนนี้นางไม่ได้งดงามทรงเสน่ห์อย่างตอนที่อยู่เขตปกครองหลวง นางสวมเสื้อเกราะสงคราม สีหน้าแม้จะเต็มไปด้วยความอ่อนล้า แต่จิตสังหารชัดเจนมาก
ภายใต้การจัดการของนาง จากการล้อมสังหารของคนทั้งหลาย การลอบโจมตีที่มาจากองครักษ์ชุดดำครั้งนี้ก็ไม่อาจดำเนินไปได้นาน ยากจะทำการสำเร็จ
เมื่อเห็นว่าโจมตีอยู่นานแต่ก็ไม่สำเร็จ องครักษ์ชุดดำที่โจมตีที่นี่ก็มีความคิดจะถอย หัวหน้าที่อยู่ในนั้นดวงตาฉายแววเสียดาย กวาดตามองเหยาอวิ๋นฮุ่ยที่จ้องตัวเองเขม็งมาจากที่ไกลๆ อย่างเย็นชา
มันรู้ว่าไม่อาจอยู่ได้นาน ดังนั้นถึงออกคำสั่งถอย
แต่ในตอนที่องครักษ์ชุดดำหลายพันนายเตรียมจะจากไป ในยามที่ผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์และกองทัพพันธมิตรที่คุ้มกันที่นี่ต่างถอนหายใจโล่งอก ทันใดนั้น…พื้นดินก็สั่นสะเทือน
การสั่นสะเทือนนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ในขณะที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายตกใจ เม็ดทรายนับไม่ถ้วนบนพื้นก็สั่นสะเทือนลอยขึ้นมาเอง เหมือนว่ามีแรงเหนี่ยวมหาศาลกลุ่มหนึ่งมาจากฟ้า ทำให้ฝุ่นและทรายมหาศาลลอยอยู่กลางอากาศ
ไม่ใช่แค่นี้เท่านั้น ยังมีสิ่งก่อสร้างที่ผุพังบางแห่ง อีกทั้งเศษหิน โครงกระดูก เลือด ล้วนแต่ลอยขึ้นกลางอากาศอย่างไม่อาจควบคุมได้
โดยเฉพาะเลือดพวกนั้น ในยามที่ลอยขึ้นกลางอากาศก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยเลือดหมุนย้อน น่าสยดสยองพรั่นพรึงนัก
อาวุธเวทบนฟ้าที่มาจากองครักษ์ชุดดำพวกนั้น พวกมันไม่สามารถรบกวนค่ายกลส่งข้ามได้อีกต่อไป กลับกัน เมื่ออยู่ภายใต้ระลอกคลื่นนี้ต่างพากันระเบิด