ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 507-2 ขุนพลเดียวดายสิ้นชีพหลีกทางให้วีรบุรุษ (2)
บทที่ 507-2 ขุนพลเดียวดายสิ้นชีพหลีกทางให้วีรบุรุษ (2)
……….
เยวี่ยอู้ที่อยู่ข้างๆ ลงมือช่วย ทุ่มสุดพลัง แต่ก็ยากจะรักษากายเนื้อของหงหลิงไม่ให้แตกสลาย ไม่ให้พังทลายเป็นชุ่นๆ ทำได้เพียงปกป้องวิญญาณเทพของเขา ส่วนตัวเองก็ถูกฟันไปครึ่งหนึ่ง
ขณะรีบร้อน ชุดจักรพรรดิขาดวิ่น กวานจักรพรรดิหลุดร่วง มุกนับไม่ถ้วนกระจัดกระจาย น่าสังเวชเป็นอย่างยิ่ง ถูกบีบถอยไปอีกครั้ง
พลานุภาพของหนึ่งกระบี่ ถึงตอนนี้จึงสลายไป
ฟ้าได้รับการชำระล้าง แผ่นดินได้รับความสงบสุข
มีเพียงเจ้าวังที่ยืนอยู่ที่เดิม ในมือไร้กระบี่แล้ว กระอักเลือดสดๆ ออกมา แปรเปลี่ยนเป็นฝนเลือดร่วงลงสู่พื้นดิน
แต่ฝนเลือดนี้กำหนดเอาไว้แล้วว่าไม่อาจร่วงหล่นสู่พื้นดินได้ ในยามที่พลานุภาพของกระบี่หายไป ความหนาวเหน็บในคลื่นวนกลางท้องฟ้าก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ลมหนาวกระหน่ำบดขยี้ฟ้าดินปะทุมาอีกครั้ง กวาดโหมไปข้างนอก
ทุกที่ที่ผ่าน ฟ้าดินถูกแช่แข็งแตกร้าวเกิดเป็นมิติ มิติถูกบดขยี้เกิดเป็นรูโหว่
ระฆังเต๋าที่ในตอนก่อตั้งเขตปกครองผนึกสมุทร สาขาหลักผู้ครองกระบี่เมืองหลวงจักรพรรดิมอบให้ส่งเสียงระฆังครั้งสุดท้าย แปรเปลี่ยนเป็นเสียงก้องกังวานสะท้านสะเทือน
ระฆังแตกเป็นเสี่ยงๆ แหลกสลายไปในม่านฟ้า
สมบัติแดนสงครามเผ่าฟ้าทมิฬ จากในคลื่นวนกลางท้องฟ้า มาด้วยพลังบดขยี้ทุกสิ่ง ปรากฏออกมาแล้วกว่าครึ่ง
สีดำสนิท แผ่ความชั่วร้ายมหาศาล ทำให้ท้องฟ้าไร้ผืนฟ้า
ตัวทวนที่คมกริบมาพร้อมด้วยความเหี้ยมเกรียมเหลือประมาณ ทำให้ผืนดินไร้เหลี่ยมคม
ตาข่ายของวิเศษเวทต้องห้ามเขตปกครองผนึกสมุทรบิดเบี้ยวอย่างสาหัส วิญญาณศัสตราที่แปลงมาจากของวิเศษเวทต้องห้ามจากสำนักต่างๆ ในเขตปกครองผนึกสมุทรร้องโหยหวนน่าเวทนา ล้มตายเป็นจำนวนมาก
ตาข่ายของวิเศษเวทพังถล่มทันที
เห็นเป็นเช่นนี้ จักรพรรดิเยวี่ยอู้ที่ทะยานถอยไปพันจั้ง สีหน้าท่าทางสะบักสะบอม เหลือเพียงกายครึ่งท่อนบน ตอนนี้ร่างแผ่เส้นเนื้อชุ่มเลือดจำนวนมหาศาลออกมา ในยามที่ถักทอร่างกายส่วนที่หายไปไม่หยุด เขาเงยหน้ามองร่างเจ้าวังที่อยู่ข้างหน้าอย่างไร้ความหวาดกลัว
“ข่งเลี่ยงซิว เจ้ายังมีกระบี่หรือไม่!”
ดวงวิญญาณที่ลอยอยู่ข้างๆ เขา นั่นคือจักรพรรดิหงหลิงที่กายเนื้อแหลกสลายไม่อาจสร้างขึ้นใหม่ได้อีก วิญญาณเทพก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน วิญญาณของเขาต่างจากวิญญาณทั่วๆ ไป ข้างบนมีเส้นสีแดงนับไม่ถ้วนลึกเข้าไปในวิญญาณ ถักเป็นตาข่าย ขณะเดียวกับที่ปกป้องวิญญาณของเขา ก็กำลังถูกรุกรานและพันธนาการ
นั่นคือวิชาของเผ่าฟ้าทมิฬ และเป็นชะตาของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์
สามารถเพิ่มพลังให้กับวิญญาณเทพของเขา แต่ก็ควบคุมทุกอย่าง
ตอนนี้เขามองสายตาของเจ้าวัง เอ่ยขึ้นอย่างเคร่งขรึม
“พลังครองกระบี่ทำลายกายขอบเขตของข้า ทำลายโลกใบใหญ่ของข้า ทำลายรากพลังเต๋าของข้า ทำลายเยวี่ยอู้ไปครึ่งกาย สะเทือนวิญญาณเขา ข่งเลี่ยงซิว เจ้ายอดเยี่ยมมาก!”
เจ้าวังเงยหน้า สายตาเหลือความเสียดาย แย้มยิ้มเล็กน้อย
ในรอยยิ้ม บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยร้าวเป็นทางๆ แผ่ลามไปทั่วร่าง ชุดเกราะของเขาก็ยิ่งเป็นเช่นนั้น เกิดรอยร้าวถี่เป็นใยแมงมุม
เขาไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ และไม่ได้ตอบกลับคำพูดของจักรพรรดิเยวี่ยอู้ ตอนนี้หันหลังเดินไปทางตาข่ายที่แหลกละเอียด ในยามที่ฝีเท้าแต่ละก้าวๆ เหยียบย่างลงมา ร่างของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้น
ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในยามที่เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ ชุดเกราะบนตัวเขาไม่สามารถทนได้อีกต่อไป แตกร้าวเอง เหมือนถอดชุดเกราะ ร่วงลงมาไม่หยุด
เป็นชิ้นๆ
จวบจนเมื่อเดินออกไปนอกสนามรบ สุดท้ายในตอนที่เดินมาถึงตาข่ายที่เริ่มพังทลายของเขตปกครองผนึกสมุทร ร่างของเขาก็ขยายใหญ่หลายหมื่นจั้ง สายตาของเขาลอดผ่านตาข่ายน้ำแข็งขาดวิ่น มองไปทางกองทัพเผ่ามนุษย์ที่อยู่ห่างออกไปร้อยลี้
“ท่านเจ้าวัง…”
กองทัพเผ่ามนุษย์ร้องไห้อย่างโศกสลด
ข่งเสียงหลงไม่อาจยืนได้มั่นแล้ว สวี่ชิงประคองเขาเอาไว้ ตาของเขาบวมแดง ภาพแต่ละฉากข้างหน้า แม้เขาจะมองเห็นไม่ได้ชัดมาก แต่ก็มองเห็นคร่าวๆ
คนอื่นๆ ก็เช่นกัน
นอกตาข่าย เจ้าวังจ้องมองคนทั้งหลาย เอ่ยเสียงเข้มงวด
“มนุษย์ใครบ้างไม่ตาย มีอะไรน่าร้องไห้กัน ยืนให้ดีทุกคน!”
กองทัพเผ่ามนุษย์ยืนตรงด้วยความเศร้าโศก ทุกคนต่างยืนด้วยแผ่นหลังที่เหยียดตรง!
มองชายเผ่ามนุษย์กลุ่มนี้ เจ้าวังพยักหน้าเล็กน้อย สายตากวาดมองไปบนร่างของทุกคน หยุดอยู่ที่สวี่ชิงนานหน่อย มีความคาดหวัง
ที่ร่างของข่งเสียงหลง สายตาของเจ้าวังหยุดนิ่งสองอึดใจ มีความอาลัยอาวรณ์ มีความชื่นชม
ที่ร่างของรองเจ้าวัง หยุดอยู่สามอึดใจ คนนอกไม่เข้าใจ แต่รองเจ้าวังเข้าใจถึงความหมายแฝงของสายตานี้ เขาพยักหน้าแรงๆ ในใจเกิดความเศร้าโศกท่วมท้น เขารู้ นี่คือฝากฝังหลานชาย
สุดท้าย ในขณะที่ข่งเสียงหลงสั่นสะท้านแรงยิ่งขึ้น สายตาของเจ้าวังก็มองไปทางเขตปกครองหลวง จากนั้น…ชุดเกราะชิ้นสุดท้ายบนร่างของเขาก็ร่วงหล่น
ท่ามกลางสมบัติแดนสงครามในคลื่นวนนั้นแผ่การทำลายล้างที่น่ากลัวยิ่งขึ้น กองทัพเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์บนสนามรบ ขณะที่เคลื่อนหน้าไปอีกครั้ง…
เจ้าวังหันหลัง หันหลังให้กับเขตปกครองผนึกสมุทร กางแขนทั้งสองออก ผสานเป็นหนึ่งไปกับตาข่ายที่พังทลายข้างหลัง
เสี้ยวขณะต่อมา โลกใบเล็กแต่ละใบๆ ก็ปรากฏขึ้นบนตาข่าย หลังจากปรากฏขึ้นมากมายไร้ขอบเขตแล้ว ก็รวมมายังโลกใบใหญ่ที่กำลังลุกไหม้ของเจ้าวัง
และความหนาวเหน็บทั้งหมดบนตาข่ายของวิเศษเวทต้องห้าม ในเสี้ยวขณะนี้ทะลักโหมไปในโลกใบใหญ่ของเจ้าวังอย่างรวดเร็ว รวมไปบนร่างของเขา
เขาผสานกับตาข่ายของวิเศษเวทต้องห้ามโดยสมบูรณ์!
หลังจากที่เผาไหม้อายุขัยของตัวเอง เผาไหม้พลังบำเพ็ญของตัวเอง ลงมือในศึกนี้ และฟันกระบี่นั้น เขาก็น้ำมันแห้งแสงเทียนมอดดับแล้วจริงๆ แต่ก็ยังคงเลือกที่จะเผาไหม้ตัวเอง
ตัวเขาแปรเปลี่ยนเป็นส่วนหนึ่งของตาข่ายของวิเศษเวทต้องห้ามเขตปกครองหลวง ใช้ความอบอุ่นของตัวเองมายืดเวลาการพังถล่มออกไป
“ออกคำสั่งให้…ในมณฑลเผชิญคลื่น กองทัพเผ่ามนุษย์ทั้งหมดถอยไปยังเมืองหลวงเขตปกครอง”
เจ้าวังเอ่ยเคร่งขรึม ความหนาวเหน็บสุดขั้วรวมมาจากรอบๆ คำรามมาจากข้างหน้าเขา ซัดโหมมาทั้งหมด ทำให้เจ้าวังตอนนี้กลายเป็นน้ำแข็งแกะสลัก
แต่เขาก็ยังคงค้ำยันฟ้าดินได้
เขายังคงต้านทานความเย็นยะเยือกให้กับเขตปกครองผนึกสมุทร
ต่อให้จนถึงตอนนี้ น้ำเสียงของเขา สีหน้าของเขาก็ไม่ฉายความอ่อนแอแม้แต่น้อย
ตาข่ายของวิเศษเวทต้องห้ามมีสีทองกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ภายใต้การผสานของเขา ตาข่ายของวิเศษเวทต้องห้ามผืนนี้ไม่เพียงแต่สามารถยืนหยัดไปได้อีกเล็กน้อยที่นี่เท่านั้น แต่พื้นที่เขตปกครองผนึกสมุทรทั้งหมดที่มันปกคลุมล้วนได้ประโยชน์ด้วย
ไม่ว่าจะเป็นทางเหนือหรือทางตะวันตก กองทัพเขตปกครองผนึกสมุทรที่แตกพ่ายเหล่านั้น ตาข่ายสีทองข้างหลังพวกเขาปรากฏขึ้นอีกครั้ง ขัดขวางกองทัพเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ที่ไล่ตามมาให้พวกเขา
พื้นที่แต่ละแห่งที่ถูกยึดครอง ในเสี้ยวขณะที่ตาข่ายสีทองนี้ปรากฏอีกครั้ง ก็พยายามเข้าขัดขวางโศกนาฏกรรมเป็นตายในฟ้าดินที่เกิดขึ้นแต่ละฉาก
ต้นกำเนิดของทุกอย่างนี้ ร่างของเจ้าวังกำลังสลายไป
ความหนาวเหน็บที่มาจากสมบัติแดนสงคราม ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากพลังทำลายล้างของมันไม่อาจพรรณาได้
แต่สำหรับเจ้าวังเหมือนไม่นับเป็นเรื่องอะไร แขนขาของเขาสลายไปเป็นฝุ่นธุลีไปแล้ว ร่างของเขาก็กำลังสลายไปเช่นกัน ใบหน้าของเขาค่อยๆ ตกลงมาช้าๆ ดวงตาทั้งสองลืมไม่ค่อยขึ้นแล้ว
ในสนามรบ จักรพรรดิหงหลิงและจักรพรรดิเยวี่ยอู้ยกมือขึ้น ห้ามการเคลื่อนหน้าของกองทัพ พวกเขายืนอยู่ข้างหน้าตาข่ายสีทอง ไม่ว่าจะเป็นเขาทั้งสองคนหรือกองทัพมากมหาศาลข้างหลัง ตอนนี้ต่างเงียบนิ่ง
แต่เสี้ยวขณะต่อมา ทั้งสองคนนี้สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป พลันมองไปยังมิติเยื้องทางด้านขวาของเจ้าวัง
เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งตอนนี้ดังมาจากในมิติด้านขวาของเจ้าวัง
“ข่งเลี่ยงซิว เดิมข้าจะไม่ปรากฏตัวออกมาก็ได้ มองเจ้าแตกดับก็พอแล้ว แต่เจ้าได้ความเคารพจากข้าไป ดังนั้น ข้ามาที่นี่เพื่อถามเจ้า ลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเจ้ายังไม่สลายไป คือกำลังรอข้าอยู่ใช่หรือไม่”
จากเสียงที่ดังก้อง เงาดำที่แปลงมาจากหมอกทางหนึ่ง ก็ปรากฏขึ้นข้างหน้าใบหน้าของเจ้าวังจากความว่างเปล่า
การปรากฏขึ้นของเงาร่างนี้ทำให้ทุกคนในสนามรบต่างจิตใจสั่นสะท้าน
ทางเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์เป็นเช่นนี้ ทางฝ่ายเผ่ามนุษย์เขตปกครองผนึกสมุทรก็เช่นกัน
มีเพียงสายตาของจักรพรรดิทั้งสองที่เก็บลง คล้ายว่าไม่แปลกใจ
สวี่ชิงดวงตาเบิกโพลง ต้องเงาร่างนั้นไม่วางตา เขานึกถึงเรื่องที่เจ้าวังให้ตัวเองไปตรวจสอบ ลมหายใจหอบถี่ ทำทุกอย่างที่ตัวเองทำได้ พยายามจำรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่าย
แต่น่าเสียดาย เงาหมอกนั้นรางเลือนโดยสิ้นเชิง
ดวงตาทั้งสองที่เดิมหลับลงของเจ้าวัง ตอนนี้พลันลืมขึ้นมา มองไปทางเงาหมอกข้างหน้า
“เจ้าเขตปกครองเป็นเจ้าที่ฆ่าใช่หรือไม่” เสียงของเจ้าวังต่ำทุ้ม แฝงด้วยเสียงแหบแห้ง ดังก้องไปทั่วทุกทิศ
“เป็นข้าเอง” เงาดำพยักหน้า เอ่ยเสียงเบา
“เจ้าส่งคนไปตรวจสอบไม่ใช่หรือ น่าเสียดาย เจ้าตรวจสอบผิดทาง”
เจ้าวังเงียบนิ่ง
“เจ้าไม่ถามว่าข้าเป็นใครหรือ” เงาดำเอ่ยเสียงสงบนิ่ง
“เจ้าจะบอกหรือ”
เงาดำส่ายหน้า ถอนหายใจ
“เช่นนั้นก็ลาก่อน ข่งเลี่ยงซิว” เงาดำถอยไปหลายก้าว ประสานหมัดโค้งคารวะ หายไปในฟ้าดิน
แต่ในเสี้ยวพริบตาที่เงานั้นจะหายไปโดยสมบูรณ์ ดวงตาทั้งสองของเจ้าวังก็พลันฉายแสงพร่างพราย กระบี่จักรพรรดิน่าครั่นคร้ามเล่มหนึ่ง ก็หลอมขึ้นในดวงตาทั้งสองของเขา แล้วพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว ฟันไปยังเงาดำ
ความเร็วน่าตื่นตะลึง ไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้หลบหลีกแม้เพียงเล็กน้อย และโอกาสก็อยู่ในช่วงก่อนที่อีกฝ่ายจะหายไป ดังนั้นเพียงพริบตา กระบี่นี้ก็พุ่งผ่านหว่างคิ้วของเขาไปอย่างรวดเร็ว
ยิ่งสืบย้อนพลังดั้งเดิม พุุ่งตรงไปยังมิติอันไร้จุดสิ้นสุด ไล่สังหารร่างเดิมของเงานี้ จะฟาดฟันทุกอย่างที่เกี่ยวพันกับร่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบัน อนาคต ล้วนอยู่ในขอบเขตของการสังหารจากกระบี่นี้
ร่างเงาดำชะงัก หายไปโดยสมบูรณ์ แต่กลับมีเสียงพึมพำดังก้องฟ้าดิน
“เจ้ายังมีอีกกระบี่จริงๆ ด้วย
“ข้าไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต และไม่เคยมีปัจจุบัน ข่งเลี่ยงซิวคนที่ข้านับถือมีไม่มาก เจ้านับเป็นหนึ่งในนั้น ให้เจ้าฟันข้ากระบี่นี้ทิ้งไว้ในใจข้า ทำให้ข้าไม่ลืมเจ้า”
เจ้าวังจ้องเพ่ง สายตาเย็นเยียบกลายเป็นชั่วนิรันดร์ จวบจนเมื่อน้ำค้างแข็งหนาวเหน็บปกคลุมใบหน้าของเขา
กลายเป็นเถ้าธุลี ดับสลาย
“เจ้าวัง!!”
กองทัพเผ่ามนุษย์ น้ำตาเป็นสายเลือด โศกเศร้าเหลือประมาณ น้ำตาไหลรินจากดวงตาของผู้บำเพ็ญทุกคน พวกเขาดวงตาแดงก่ำ จิตใจในชั่วขณะนี้ถูกความเสียใจอย่างสุดซึ้งท่วมเต็ม
เจ้าวังครองกระบี่ แตกดับ
ฟ้าของเขตปกครองผนึกสมุทรถล่มลงมาอีกครั้งแล้ว
ท้องฟ้าในเสี้ยวขณะนี้คำรามลั่น คล้ายสัมผัสได้ถึงความเศร้าโศก แปรเปลี่ยนเป็นฝนเลือด เกิดลมพายุ ในยามที่หยาดหยดลงพื้นดินก็เปลี่ยนเป็นน้ำแข็งเลือด
ท่ามกลางน้ำแข็งเลือด ร่างสวี่ชิงสั่นสะท้าน โศกเศร้าเสียใจดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา หัวใจเหมือนมีมือใหญ่ๆ ไร้รูปร่างบีบเอาไว้ เจ็บปวดมาก เจ็บปวดเหลือเกิน
อดีตที่เคยมีร่วมกับเจ้าวังประดุจภาพวาด ปรากฏขึ้นข้างหน้าเขาไม่หยุด
เสียงร้องไห้ดังก้องรอบตัวเขา ความเจ็บปวดปกคลุมไปทั่วทุกทิศของเขา
ร่างของข่งเสียงหลงประคองไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ล้มลงคุกเข่าบนพื้น น้ำตารินไหล ความรู้สึกไร้ที่พึ่ง เศร้าโศกเสียใจ ควบคุมทุกอย่างในใจของเขา
จนตัวเขาทั้งคนงออยู่บนพื้น ร่ำไห้สะอึกสะอื้น
และในตอนนี้ เสียงครืนครันในฟ้าดินสะท้อนก้อง ตาข่ายของวิเศษเวทต้องห้ามแตกเป็นเสี่ยง แหลกละเอียดโดยสมบูรณ์
หลังจากแนวหน้าทางเหนือพังถล่ม ตอนนี้แนวหน้าทางตะวันตก พังทลายแล้ว
ภาพนี้ประกาศความพ่ายแพ้ของเขตปกครองผนึกสมุทร
ความหนาวเหน็บสะท้านจิตใจแปรเปลี่ยนเป็นลมพายุ พัดมาจากข้างบนอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกับที่หอบม้วนไปทั่วทิศ พื้นดินก็สั่นไหวรุนแรง
ในลมพายุนั่น กองทัพเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์กำลังเคลื่อนหน้ามา
ท้องฟ้าถูกความเย็นปกคลุม แยกไม่ออกว่าเป็นกลางคืนหรือกลางวัน และความจริงในตอนนี้…เป็นช่วงเวลาฟ้าสาง
แม้น้ำค้างแข็งเย็นเยือกจะปกคลุมม่านฟ้า แต่สายรุ้งจะอย่างไรก็จะปรากฏ เพียงแต่ต้องรอหลังจากลมฝน ต้องรอในยามที่อาทิตย์ยามอรุณรุ่งสาดส่อง
เลือดของเจ้าวังแปรเปลี่ยนเป็นฝน
ความสิ้นหวังและความโกรธแค้นเศร้าโศกของเขตปกครองผนึกสมุทร ทำให้พื้นดินตอนนี้เกิดลมขึ้น
ดังนั้น ในเสี้ยวพริบตาที่กองทัพเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์เหยียบมาในแนวป้องกันที่สี่ บนม่านฟ้าที่ไกล ดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณก็ขึ้น
แสงสีทองแถบหนึ่งรวมเป็นทะเล สาดส่องมาจากท้องฟ้า
นั่นไม่ใช่แค่แสงอาทิตย์เท่านั้น
ในทะเลแสงยังมีธงนับไม่ถ้วนปลิวไสว ประดุจสายรุ้ง
ยังมีเงาร่างเกราะทองนับไม่ถ้วนส่องประกายในนั้น ประดุจแสงรุ้ง
ยังมีเสียงคำรามของมังกรดำนับไม่ถ้วนกำลังสะท้อนก้อง ยังมีระลอกคลื่นค่ายกลนับไม่ถ้วนกำลังปะทุ
ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมเมฆหอบม้วน
บนท้องฟ้า มังกรทองสี่กรงเล็บตัวขนาดแสนจั้งตัวหนึ่ง ฉีกทึ้งมิติ คำรามออกมาจากในนั้น เสียงกึกก้องสนั่นหวั่นไหว ทรงพลังแข็งแกร่ง ดังเป็นระลอกมา
พื้นดินสั่นสะเทือนบ้าคลั่ง กองทัพเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ต่างหยุดชะงัก หงหลิงและเยวี่ยอู้จักรพรรดิทั้งสอง พลันเงยหน้าขึ้น
เพราะที่หลังของมังกรทองตัวนั้นยังมีบัลลังก์สีทองบัลลังก์หนึ่ง บนนั้นมีเงาร่างที่ไม่โมโหแต่รัศมีอำนาจฉายชัดนั่งอยู่
เขาสวมชุดคลุมยาวสีเหลือง ไม่ใช่ราชาไม่ใช่จักรพรรดิ
แต่มังกรทองสี่กรงเล็บบ่งบอกถึงฐานะ
“บุตรลำดับเจ็ดของจักรพรรดิมนุษย์!”