ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 525 ชิงอาหารจากปากพยัคฆ์! (1)
บทที่ 525 ชิงอาหารจากปากพยัคฆ์! (1)
ตอนนี้ นอกจากนายกองกับสวี่ชิงที่ซ่อนตัวนิ่งๆ ผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์ในพื้นที่บุกเบิกของเผ่ามนุษย์เขตตะวันออกทั้งหมดอยู่ท่ามกลางความหวาดหวั่น
พวกเขาส่วนใหญ่นั่งขัดสมาธิ เรื่องที่เกิดขึ้นในฟ้าดินนี้ไม่อาจไปสำรวจตรวจสอบ ไม่อาจไปสัมผัสได้ ทำได้แค่ใช้กำลังคนรวมถึงค่ายกลที่สร้างเสร็จนานแล้วปกป้องร่างกายตนเท่านั้น
ถึงอย่างไรก็เป็นสงครามเทพเจ้า หากกายทิพย์ของตนไม่พอ เพียงแค่มองผาดเดียวก็แตกดับทั้งกายและวิญญาณ แม้ไม่อาจมองตรงๆ แต่วิธีการคล้ายๆ นายกองก็ต้องใช้กายทิพย์สนับสนุน หรืออาจต้องมีของวิเศษโดยเฉพาะ
แต่เห็นได้ชัดว่ากองทัพใหญ่เผ่ามนุษย์ที่นี่ไม่ได้มีของวิเศษโดยเฉพาะทุกคน ดังนั้นผู้บำเพ็ญที่มองศึกนั้นได้จึงมีไม่มาก
ส่วนด้านนอกแดนต้องห้ามเซียน เหนือม่านฟ้าปากขวดขึ้นไป ด้านนอกค่ายกลส่วนลึกของกรมราชทัณฑ์ที่แตกสลายไป ตอนนี้ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งกำลังเฝ้ารอ
องค์ชายเจ็ดก็เป็นหนึ่งในนั้น
ปลัดเขตปกครองรวมถึงผู้บัญชาการวังต่างๆ และยอดผู้แข็งแกร่งจากกองทัพเมืองหลวงจักรพรรดิอีกจำนวนมาก แต่ละคนสีหน้าเคร่งขรึม กระทั่งบนท้องฟ้าโลกภายนอก มังกรทองสี่กรงเล็บตัวนั้นก็เช่นเดียวกัน เพ่งสมาธิอยู่ที่จุดเดียว
พวกเขามองลงไปยังโพรงเบื้องหน้า
ที่นั่นถูกปิดตายไปแล้ว แทนที่ด้วยม่านแสง และสิ่งที่ฉายอยู่ในม่านแสงคือชื่อหมู่กับเทพเจ้าแดนต้องห้ามเซียน
“ฝ่าบาท ทุกอย่างเป็นไปตามแผนการพะย่ะค่ะ
“เทพชั้นสูงชื่อหมู่นั่น เป็นดังที่ฝ่าบาทและราชครูคิดไว้ สิ่งแรกหลังจากตื่นขึ้นก็คือจะกลืนกินเทพเจ้าแดนต้องห้ามเซียน
“เพียงแต่ไม่ทราบว่าขั้นตอนต่อไปจะราบรื่นหรือไม่ จะอย่างไรแค่กลืนกินเทพเจ้าแดนต้องห้ามเซียนองค์เดียว ชื่อหมู่ก็คงสูดรับไม่นานนัก… หากจุติที่โลกภายนอก เกรงว่าทั่วทั้งเขตปกครองผนึกสมุทรคง…”
คนในชุดนักพรตสีดำคนหนึ่งยืนข้างกายองค์ชายเจ็ดเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ น้ำเสียงเผยความเฉียบคม แฝงความมืดหม่นเอาไว้
เมื่อเขาเอ่ยออกมา ผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทรรอบๆ ก็ก้มหน้า สีหน้าซับซ้อน
องค์ชายเจ็ดจ้องม่านแสงเขม็ง ตรัสเสียงเรียบ
“ชื่อหมู่ทะลวงออกมา แม้ข้าจะไร้ซึ่งกำลังสกัดกั้น แต่ก็จะไม่หนี ตายไปพร้อมกับผนึกสมุทรเท่านั้น ข่งเหลียงซิวทำได้ กู่เยว่จางอั้นอย่างข้าก็ทำได้เช่นกัน
“ตอนนั้น เสด็จพ่อมองข้า ตรัสออกมาประโยคหนึ่งว่าเทพเจ้าเป็นแค่ตัวตนที่สูงชั้นกว่าเราเท่านั้น สำหรับพวกองค์ท่านแล้ว ที่เรียกว่ารู้ทุกสิ่งทำได้ทุกอย่างเป็นแค่การจัดการกับชีวิตที่อ่อนแอกว่าพวกองค์ท่านเท่านั้น
“ดังนั้น เทพเจ้าก็ถูกวางแผนเล่นงานได้เช่นกัน ซึ่งก็คือกลยุทธ์
“ชื่อหมู่ จะต้องพึงพอใจแน่นอน…”
องค์ชายเจ็ดตรัสด้วยเสียงแผ่วเบา
ตอนนี้ ในแดนต้องห้ามเซียน เทพเจ้าที่เหมือนเชือกเส้นหนาเส้นหนึ่งยังกระเสือกกระสน ขณะที่ร่างกายบิดเร่า สิ่งที่เหมือนหนามแหลมทั้งยี่สิบเจ็ดเล่มขององค์ท่าน มาพร้อมกับพลังบดขยี้ฟ้าดิน ระเบิดลำแสงสีทองเจิดจ้าแยงตาออกมา พัวพันกับมือใหญ่ที่มองไม่เห็นของชื่อหมู่ จะแทงเข้าไป
หนามแหลมยี่สิบเจ็ดเล่มนี้ ไม่ว่าจะเล่มใดหากอยู่ในบรรดาเผ่าของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ก็เป็นสมบัติล้ำค่าทั้งสิ้น ทว่าตอนนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าชื่อหมู่ กลับต้านทานไม่ได้เลย ต่อให้แทงทะลุ ก็ยังสลัดไม่หลุด
เสียงเสียดสีที่ทำให้จิตวิญญาณฉีกขาดดังขึ้นเป็นระยะ จากนั้นก็มีเสียงคำรามเทพเจ้าแดนต้องห้ามเซียน กึกก้องไปทั้งฟ้าดิน
มองไกลๆ แดนต้องห้ามเซียนนี้ราวกับเป็นอสรพิษตัวหนึ่งที่ถูกจับจุดสำคัญเอาไว้ ถูกดึงไปทางพระจันทร์สีชาดทีละนิด
ทุกครั้งการบิดเร่าขององค์ท่านทำให้มิติแตกกระจาย เสียงคำรามทุกครั้งขององค์ท่าน ทำให้รอบด้านพังถล่ม
แผ่ขยายไปยังท้องฟ้าและพื้นดินของแดนต้องห้ามเซียน ทำให้ที่นี่เวลานี้ราวกับกลายเป็นสนามรบรกร้าง
ส่วนชื่อหมู่ที่จุติลงมาในร่างของจางซืออวิ้นบนท้องฟ้า ปากฉีกเต็มที่ มุมปากลากยาวไปถึงติ่งหู ขณะที่ดูเกินจริงนั้น ก็ยังเผยความโหดเหี้ยมและความน่าสะพรึงออกมา
ขณะที่ฟันแหลมคมนับไม่ถ้วนตัดสลับกัน ยังมีลิ้นที่ถักทอจากเส้นผมนับไม่ถ้วนยื่นออกมาจากปากของชื่อหมู่
ปลายลิ้นยังมีใบหน้าเลือนรางดวงหนึ่ง เหมือนจะเป็นหน้าของหญิงสาว แม้จะกำลังปิดตา แต่สีหน้าเผยความละโมบออกมา
น้ำลายปริมาณมหาศาลหลั่งมาจากใต้ลิ้น ไหลหยดลงมาบนพื้น ทำให้หลุมลึกบนพื้นเพิ่มขึ้นอีก
ภาพนี้แปลกประหลาดอย่างมาก
มองด้วยตาเปล่า นั่นเป็นพลังสูงส่งที่อยู่เหนือล้ำผู้บำเพ็ญไปแล้ว ไม่อาจบรรยายได้ เห็นแค่เพียงจุดที่ปะทะกันเลือนรางเท่านั้น แสงสีทองในความว่างเปล่ากับแสงสีเลือดเจิดจ้า มีวิชาเทพนับร้อยนับพันกระทั่งนับหมื่นกำลังก่อตัวขึ้นรางๆ
หลังจากที่ก่อตัวขึ้นทุกครั้งก็สลายไปในพริบตา และปรากฏขึ้นใหม่อีกครั้งในพริบตาเช่นกัน
ราวกับว่าวิชาเทพสำหรับพวกเขา ไม่จำเป็นต้องสำแดง แค่เคลื่อนไหวก็จะก่อตัวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาตินอกร่างกาย
แต่หากมองจากจุดเล็กๆ ทั้งหมดนี้ราวกับชีวิตที่ดั้งเดิมที่สุดของสองตัวตน ฝ่ายหนึ่งกำลังกลืนกิน อีกฝ่ายกำลังจะถูกกลืนกิน
ไม่มีความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์ที่เทพเจ้าทุกองค์ควรมี แต่คนที่เห็นภาพนี้ผ่านวิธีการต่างๆ ในใจก็รู้สึกถึงศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่อาจควบคุมได้
ราวกับคำว่าศักดิ์สิทธิ์นี้ก็ถูกบิดเบือนความหมายในโลกหล้าหลังจากเสี้ยวหน้าเทพเจ้ามาเยือนเมื่อนานมาแล้วก่อนหน้านี้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ขณะเดียวกัน ในสายตาของคนที่เห็นทุกคนก็ล้วนสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเทพเจ้าที่ครอบครองพลังแห่งการลืมเลือนที่หลับใหลอยู่ในแดนต้องห้ามเซียน อำนาจเทพของเขาเมื่ออยู่ต่อหน้าชื่อหมู่ แทบจะไม่มีประโยชน์อะไร
ทั้งสองห่างชั้นกันมหาศาล เหมือนเด็กที่มาเจอกับผู้ใหญ่
ใช่ว่าเทพเจ้าแดนต้องห้ามเซียนไม่แข็งแกร่ง ทว่ากายทิพย์ของชื่อหมู่สูงเกินไป!
ขณะที่เข้าใกล้เรื่อยๆ เทพเจ้าแดนต้องห้ามเซียนกำลังจะถูกกลืนกิน แต่ตอนนี้เอง เทพเจ้าแดนต้องห้ามเซียนที่เหมือนอสรพิษก็คำรามดังลั่นฉับพลัน พริบตาต่อมาร่างกายก็แตกสลายลงมาเอง
ตอนที่ฟ้าดินระเบิดเสียงครืนครัน ร่างที่ยาวกว่าสองหมื่นจั้งของเทพเจ้าแดนต้องห้ามเซียนก็ระเบิดในทันตา เลือดเนื้อนับไม่ถ้วนกลายเป็นแม่น้ำแสงสีทองเจิดจ้าเส้นหนึ่งพาดผ่านกลางท้องฟ้า
ด้วยวิธีการนี้ ในที่สุดก็หลุดพ้นจากมือของชื่อหมู่
จากนั้นแม่น้ำเลือดเนื้อสายนี้ก็มารวมตัวกันอย่างรวดเร็วกลางอากาศ ไม่กลับไปเป็นรูปร่างงูก่อนหน้านี้ แต่กลายเป็นอีกรูปร่างหนึ่ง
เห็นเป็นเค้าโครงรูปปลาขึ้นรางๆ
ส่วนหนามแหลมทั้งยี่สิบเจ็ดก็ถูกเลือดเนื้อห่อหุ้ม รวมกันเป็นก้างปลา
ขณะเดียวกัน พื้นดินก็โหมระลอกคลื่น เลือดเนื้อสีม่วงแดงที่ปกคลุมทุกตำหนักวังทั้งแดนต้องห้ามเซียนสั่นสะเทือน กลายเป็นเชือกเลือดเนื้อหลายเส้น ลอยขึ้นกลางอากาศอย่างรวดเร็ว ผสานกันสร้างร่างของปลา
มองไกลๆ เชือกเลือดเนื้อนับไม่ถ้วนลอยขึ้นมาจากพื้นดินทีละเส้น สุดท้ายก็มารวมกันร้อยเรียงพันเกี่ยวเติมเต็มร่างปลาอย่างรวดเร็ว
จุดที่สวี่ชิงกับนายกองหลบอยู่ก็เช่นกัน เปิดเผยร่างของพวกเขาทั้งสองจากการที่เลือดเนื้อสีม่วงแดงลอยขึ้นมา
สวี่ชิงไม่ขยับเขยื้อน อำพรางสุดกำลัง นายกองก็เช่นกัน
ส่วนชื่อหมู่ในตอนนี้ กลิ่นอายอย่างอาหารเช่นนั้นจากร่างปลาตรงหน้านี้รุนแรงมาก ราวกับไร้ซึ่งหมู่ดาวท่ามกลางดวงตะวัน ดึงดูดความสนใจทั้งหมดของร่างแยกชื่อหมู่
ยิ่งหลังจากที่เลือดเนื้อทั้งหมดรวมกัน หน้าตาของวัตถุขนาดยักษ์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สุดท้ายก็กลายเป็นปลายักษ์สีม่วงอมแดงตัวหนึ่ง
ไม่มีเกล็ด แต่ในปากขนาดใหญ่ที่เปิดอ้าอยู่มีหนามแหลมนับไม่ถ้วน โหดเหี้ยมอย่างมาก ยิ่งแผ่อำนาจเทพน่าครั่นคร้ามออกมา ยิ่งมีหนวดสีทองสองเส้นข้างๆ กำลังขยับไหว
ที่ประหลาดยิ่งกว่าคือหางของมันไม่ได้แบนราบ แต่รำแพนเหมือนนกยูง ขณะที่หนามแหลมนับไม่ถ้วนโบกพลิ้วจนเกิดเสียงเสียดสีกัน ก็ก่อร่างใบหน้ามายาขนาดยักษ์ดวงหนึ่งขึ้นมา
ใบหน้านี้มองไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย ไม่ใช่ใบหน้าเผ่ามนุษย์ องค์ท่านมีดวงตาสี่ดวง ไม่มีจมูก ใต้ตามีเพียงปากขนาดใหญ่ปิดสนิท
ขณะเดียวกันก็มีลวดลายค่อนข้างซับซ้อนกระจัดกระจายบนใบหน้า ยิ่งทำให้ขมุกขมัวขึ้นจากเดิมที่เลือนลาง
ทว่ากลับมีพลังอานุภาพเทพ แผ่ออกมาอย่างไร้ที่สิ้นสุด เจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นในคใจของคนที่เห็นทั้งหมดอีกครั้ง
นอกจากนี้ กลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมามหาศาลจากร่างเทพเจ้านี้ก็หลั่งทะลักเข้าสู่สมองของคนที่เห็นทั้งหมดตามสายตาที่จับจ้องด้วย ทำให้คุ้มคลั่งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ยิ่งเริ่มสูญเสียความทรงจำไปอย่างไม่รู้ตัว
หากมองมานานแล้ว ความทรงจำทั้งหมดจะหายสาปสูญ สุดท้ายก็จะถูกแทนที่
และสิ่งนี้ ถึงจะเป็นร่างที่แท้จริงของเทพเจ้าแดนต้องห้ามเซียน
เห็นปลาตัวนี้ ชื่อหมู่ก็ยิ่งน้ำลายสอ ก้าวเดินไปด้านหน้า ทั่วร่างสาดแสงสีแดงฉาน รอยปริแตกบนท้องฟ้าก็ยิ่งลึกขึ้น
ดวงตาที่ใบหน้าบนหางเทพเจ้าปลาก็เปล่งแสงสีทองออกมา พลันอ้าปากกว้าง พ่นฟองอากาศสีทองไปด้านหน้าจากการที่ชื่อหมู่เข้ามาใกล้ ฟองอากาศแต่ละใบก็ลอยออกมาทันที
ในฟองเหล่านั้นแฝงโลกใบใหญ่เอาไว้ ยิ่งมีสิ่งมีชีวิตสืบพันธุ์ดำรงอยู่อีกนับไม่ถ้วน กระทั่งมีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาไม่รู้ว่าโลกที่ตนอาศัยอยู่เป็นแค่ฟองอากาศในปากของเทพเจ้าด้วยซ้ำ
ตอนที่ฟองอากาศมหาศาลลอยออกไปต่างก็แตกตัว กระตุ้นพลังที่น่าครั้นคร้ามไร้ขอบเขต ครอบคลุมชื่อหมู่
ใช้โอกาสนี้ ร่างเทพเจ้าปลาก็โปร่งใสอย่างรวดเร็ว ความว่างเปล่ารอบๆ ยุบตัวลง ราวกับก่อตัวเป็นหลุมดำ
องค์ท่านคิดจะหนีจากที่นี่
ดวงตาชื่อหมู่ฉายแววละโมบ จะยอมให้เนื้อที่จ่ออยู่ที่ปากหนีไปได้อย่างไร จึงไหววูบไปด้านหน้า ฉับพลันก็ระลอกคลื่นรอบด้าน ทั้งหมดทั้งมวลกลายเป็นสีแดง
ส่วนฟองอากาศที่แตกไปเหล่านั้น ก็ประทับไปบนชุดคลุมกลายเป็นลวดลาย
องค์ท่านยกมือขวาขึ้น โบกไปด้านหน้า
ความว่างเปล่าที่ยุบตัวลงไปกลายเป็นทะเลเลือดในพริบตา ขณะที่กลืนกินทุกสรรพสิ่ง เทพเจ้าปลาที่โปร่งแสงจึงเด่นชัดขึ้นมาอีกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดวงตาองค์ท่านฉายแววหวาดกลัว กำลังจะถอยหนี แต่อยู่ต่อหน้าชื่อหมู่ อาหาร ก็คืออาหาร
ลำแสงสีเลือดหลายทางที่พุ่งออกมาจากพระจันทร์สีชาดที่อยู่กลางอากาศ พุ่งออกมาจากความว่างเปล่าที่แปรมาจากทะเลสีเลือด พุ่งออกมาจากรอยปริแตกบนฟากฟ้า พุ่งมาหาเทพเจ้าปลาในพริบตา
ไม่ให้โอกาสหนี ลำแสงสีเลือดเหล่านี้ก็พันรัดอย่างรวดเร็วราวกับผ้าโปร่งที่พลิ้วไหวไปตามสายลม พันธนาการองค์ท่านเอาไว้กลางอากาศ
เทพเจ้าปลาดิ้นรนอย่างไร แผดเสียงคำรามอย่างไร ก็ไร้ความหมาย
ตั้งแต่ที่ชื่อหมู่ปรากฏตัว องค์ท่าน ก็เป็นแค่ปลาตัวหนึ่งจริงๆ
ตอนนี้ชื่อหมู่ก้าวมาหนึ่งห้าว มาพร้อมกับความหิวกระหาย มาถึงเบื้องหน้าเทพเจ้าปลา
ดวงตาขององค์ท่านฉายแววรื่นเริง ปากฉีกยิ้มกว้างไม่หยุด สุดท้ายหลังจากฉีกไปจนเกินจริงยากจะพรรณนา องค์ท่านก็แลบลิ้นออกมาคล้ายกับอสรพิษ มาถึงด้านหน้าเทพเจ้าปลาที่กำลังดิ้นรนด้วยร่างที่สั่นงันงก
จากนั้น ใบหน้าหญิงสาวบนลิ้น ก็ลืมตา เปล่งแสงสีแดงไร้สิ้นสุดออกมา
ยิ่งมีเสียงเทพเจ้าเสียงหนึ่ง แปรเป็นเสียงพึมพำดังก้องไปทั่วทั้งฟ้าดิน
“เปิดประตู”
พริบตาที่เอื้อนเอ่ยออกมา เทพเจ้าปลาก็ส่งเสียงกรีดร้องอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เลือดเนื้อเผาไหม้ ก้างเผาไหม้ เปลวไฟสีทองถูกบีบคั้นให้พวยพุ่งขึ้นไป รวมเป็นภพร่างบ่อน้ำกลางอากาศ
บ่อน้ำนี้ เพียงพริบตาก็เปลี่ยนจากภาพมายาเป็นวัตถุจริง
ความมืดมิดด้านใน คือทางเข้าสู่ดินแดนกาฬกาลกิณี!
ปลาหนึ่งตัว จะทำให้ชื่อหมู่รื่นเริงถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ต่อให้มีกายพิเศษ สำหรับองค์ท่านก็เป็นแค่ของว่างเท่านั้น
อาหารหลักแท้จริง คือการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างเทพเจ้าปลาจวนอวี้ ซือเทียนจือลี่และอู่ฉาน เพื่อเปิดประตูสู่ดินแดนกาฬกาลกิณีต่างหาก
ชื่อหมู่จะจุติยังดินแดนกาฬกาลกิณี กลืนกิน…เทพชั้นสูงจวนอวี้ที่จุดไฟเทพขึ้นที่นั่น!
ภาพนี้ เป็นกลยุทธิ์ของจักรพรรดิมนุษย์ และเป็นแผนการขั้นที่สองที่องค์ชายเจ็ดตรัสถึง!
สิ่งที่กำหนดเวลาหลับใหล ก็คืออาหาร