ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 537 เหยียบขวากหนามให้เตียน เดินไปสู่บัลลังก์! (1)
ตอนที่ 902 ทำเรื่องที่สอดคล้องกับสถานะดีกว่า
ตามที่ฉินหลิวซีเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าใกล้หมดอายุขัยแล้ว อาการป่วยของนางในยามนี้เรียกว่าโรคชรา ฉินหลิวซีไม่ได้เขียนใบสั่งยาอะไรมากนัก นางเพียงปรับยาที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายในเวลานี้ให้ดื่ม อีกทั้งฝังเข็มเพื่อปรับสมดุลลมปราณหยินหยางในร่างกาย ทำให้ร่างกายรู้สึกเบาสบายและนอนหลับได้ดีขึ้น
พูดง่ายๆ ก็คือดูแลรักษาสภาพร่างกายนั่นเอง
เสนาบดีลิ่นเองก็ไม่ได้รบเร้า ตั้งแต่ฉินหลิวซีบอกเขาหนก่อน เขาก็เริ่มวางแผนปูทางเพื่อตระกูล รวมถึงเตรียมพร้อมรับมือกับการสูญเสียมารดาแล้ว
รอกระทั่งฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าพักผ่อน ฉินหลิวซีถึงขอตัวกลับ โดยปฏิเสธคำร้องขอเขียนใบสั่งยารักษาครรภ์ของนายหญิงใหญ่ลิ่น แต่กลับให้ยันต์คุ้มกันครรภ์แก่นางแทน
“สุขภาพของท่านดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องกินยาบำรุงครรภ์ เพียงแค่ต้องจับคู่เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ไปตามปกติ ไม่ต้องบำรุงมากนักและพยายามหลีกเลี่ยงความเย็น บวกกับนำยันต์คุ้มกันครรภ์ใบนี้พกติดตัวไว้จะช่วยให้ปลอดภัยได้”
นายหญิงใหญ่ลิ่นรับมาด้วยมือสองข้าง ก่อนจะใส่ลงในถุงหูรูดอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็หยิบถุงหูรูดที่สาวรับใช้ยื่นมาให้ยัดใส่มือของฉินหลิวซี เรื่องนี้เป็นเรื่องของนาง แน่นอนว่านางย่อมต้องเป็นคนจ่ายเงินค่ารักษาเอง
ฉินหลิวซีรับมาโดยไม่พินิจใคร่ครวญสักนิด ครั้นเห็นว่าเที่ยงแล้ว นางจึงตอบรับคำเชิญชวนของเสนาบดีลิ่นเพื่อร่วมกินมื้อเที่ยงด้วย
หลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จ ผู้ดูแลจวนก็นำบ่าวรับใช้มายกสำรับอาหารออกไป ก่อนจะจัดแจงวางกาน้ำชาแทนที่ ครั้นตอนออกจากห้องเห็นเด็กผู้ใหญ่สองคนยกถ้วยชานั่งเผชิญหน้าสนทนากัน อายุห่างกันมากพอที่จะเป็นปู่หลานกันได้ แต่ปฏิสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองกลับดูเท่าเทียมและเป็นธรรมชาติอย่างมาก
แม้แต่คุณชายใหญ่ยังไม่กล้าวางตัวสบายๆ เช่นนี้ต่อหน้าเสนาบดีลิ่นเลยกระมัง
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเหล่าขุนนางคนอื่นๆ ยามเผชิญหน้ากับเสนาบดีลิ่น หากไม่เผยท่าทีหวาดกลัวยำเกรงก็เผยท่าทีเคารพนอบน้อม
เสนาบดีลิ่นมองไปทางฉินหลิวซี เอ่ยว่า “หลังจากปู่เจ้ากลับมาดำรงตำแหน่ง เขาก็สามารถดำเนินการได้อย่างมั่นคง เรื่องเซ่นไหว้บูชาเป็นเรื่องใหญ่ ถึงแม้จะถูกใส่ร้ายป้ายสี แต่เพราะเกิดความผิดพลาดในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่ง ถือว่าละเลยต่อหน้าที่ ฝ่าบาทจึงทรงไม่พอพระทัย ด้วยวัยนี้ยิ่งเกรงกลัวเสื่อมเสียชื่อเสียง กลัวถูกประณามว่าไร้ความกตัญญูหรือไร้ความเป็นธรรมในฐานะผู้นำ ดังนั้นการปล่อยให้ปู่เจ้าอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ก็นับว่าเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวงแล้ว”
ฉินหลิวซีเพียงยิ้มบางเอ่ย “ท่านไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ข้าฟัง ข้าไม่สนใจเรื่องราชสำนัก ทางโลกตระกูลฉินจะรุ่งเรืองหรือไม่ก็ใช่ว่าจะขึ้นอยู่กับเขา แต่ขึ้นอยู่กับคนรุ่นใหม่ในตระกูลมากกว่า”
“พอจะมองออก” เสนาบดีลิ่นรู้สึกเฉยๆ ต่อรุ่นของฉินหยวนซาน กระทั่งฉินปั๋วหงด้วย สองรุ่นก่อนหน้านี้อาจจะรักษาความสำเร็จไว้ได้ แต่ไม่ได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองที่ยิ่งใหญ่มากนัก เดาว่าคงผงาดขึ้นได้ในรุ่นที่อายุน้อยที่สุด ในเมื่อมีฉินหลิวซีอยู่ด้วย
“แต่เจ้าวางใจได้เลย เพียงปฏิบัติไปตามกฎ เมื่อถึงเวลาปลดเกษียณ บางทีอาจจะได้เลื่อนขั้นอีกก็ได้” เขาเอ่ยเสริมขึ้นอีกประโยค
ทว่าฉินหลิวซีกลับไม่ใส่ใจ
ครั้นเสนาบดีลิ่นเห็นท่าทีเพิกเฉยของนางในเรื่องนี้ ในใจก็รู้ทันทีว่านางไม่ได้สนิทสนมกับคนในตระกูลฉินเท่าไรนัก พลันอดเสียดายแทนฉินหยวนซานไม่ได้
คนที่นางมีพระคุณด้วยในเมืองหลวงนี้ หากใช้สิบนิ้วนับก็คงไม่พอ เพียงนางเต็มใจกวักมือร้องเรียก ไม่รู้ว่าการตอบแทนบุญคุณจะถาโถมเข้ามามากมายเพียงไหน
น่าเสียดายที่หลานสาวคนนี้ไม่ค่อยสนิทสนมกับคนในตระกูลฉินนัก!
เขาจิบชาอึกหนึ่งแล้วเอ่ย “ใช่แล้ว กำหนดการแต่งงานของชิงถัง บุตรสาวคนเล็กของข้าจะจัดขึ้นเดือนแปด เจ้าจะให้เกียรติมาร่วมดื่มเหล้ามงคลด้วยหรือไม่”
ฉินหลิวซีมองมาด้วยใบหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
พออยู่ในตำแหน่งสูงๆ ซึ่งมีอำนาจในมือมานาน ทักษะการหยั่งเชิงย่อมแตกต่างกันออกไป อ้อมค้อมและมีเล่ห์เลี่ยมมากกว่า
ครั้นเสนาบดีลิ่นเห็นแววตาเช่นนั้น ใจก็เต้นระรัว ก่อนจะจิบชาอึกหนึ่งแล้วโพล่งออกไปหมดเปลือก
“เจ้ามีเรื่องใดก็ว่ามาตามตรงเถิด สายตาที่เหมือนมีอะไรอย่างเห็นได้ชัดทำเอาข้ากระวนกระวายไปหมดแล้ว” เสนาบดีลิ่นเอ่ยถามอย่างอ้อมๆ “หรือเรื่องแต่งงานของบุตรสาวคนเล็กของข้ามีตรงไหนไม่เหมาะสมอย่างนั้นหรือ”
“หมั้นหมายกับตระกูลมีอำนาจคนใดไว้หรือ”
“ก็ไม่เชิงเป็นตระกูลผู้มีอำนาจหรอก เขามาจากตระกูลเจิ้งที่มีชื่อเสียงมาจากซานตง ท่านพ่อของเขาเคยทำงานร่วมกับข้า ตอนรัชศกคังอู่ที่สิบแปด เขาถูกริบทรัพย์สินโทษฐานพัวพันกับคดีทุจริตในการสอบคัดเลือกขุนนาง แต่ภายหลังคดีพลิกได้รับความเป็นธรรมคืนมา ทว่าในครอบครัวกลับเหลือเพียงเขากับพี่สาวคนเดียวเท่านั้น ซึ่งพี่สาวเองก็ออกเรือนไปแล้ว” เสนาบดีลิ่นอธิบายต่อ “เด็กคนนี้มีความรู้ความสามารถ มุ่งมั่นอยากก้าวหน้า ปีก่อนเขาสอบผ่านการคัดเลือกในฤดูใบไม้ผลิได้เป็นจิ้นซื่อ นิสัยโอบอ้อมอารี ดวงชะตาเข้ากับชิงถังได้ดี นับว่าเป็นคู่ที่ฟ้าประทานมาทีเดียว”
เสนาบดีลิ่นตอบเสียงต่ำเล็กน้อย “บัดนี้ตำแหน่งองค์รัชทายาทยังไม่ได้รับการแต่งตั้ง ด้วยตำแหน่งของข้าหากแต่งงานกับตระกูลผู้มีอำนาจอาจจะดึงความสนใจจากฝ่าบาทไม่น้อย ตระกูลเจิ้งเองก็เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียง บุตรสาวกับเจิ้งรุ่ยซง ว่าที่สามีของนางรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก รู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้ว อีกอย่างพอแต่งงานกันไปก็ไม่มีแม่สามีมาคอยกดดัน ออกเรือนไปก็ขึ้นเป็นนายหญิงดูแลเรือนเอง แถมยังมีตระกูลตนคอยหนุนหลัง สามีเองก็มีความสามารถ เส้นทางในวันข้างหน้าคงไม่เลวร้ายอะไร เป็นคู่ครองที่ลงตัวเป็นอย่างดี ซึ่งนับว่าเป็นความปรารถนาของคนเป็นพ่อเป็นแม่มากที่สุดแล้ว”
ฉินหลิวซีเอ่ย “จริงๆ แล้วบางครั้งการแต่งงานกับตระกูลที่สถานะต้อยต่ำกว่าก็ใช่ว่าจะมีความสุขเสมอไป การไม่มีแม่สามีมาคอยกดดันก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป อย่างที่เขาว่ากันว่า ‘ในจวนมีคนแก่ก็เหมือนมีสมบัติล้ำค่า’ ก่อนคุณหนูลิ่นออกเรือน ถือว่านางเป็นบุตรสาวที่มีเกียรติของตระกูลลิ่น ไปที่ใดมีแต่คนยกย่อง ทว่าหลังแต่งงาน อย่างแรกภรรยาเป็นถึงบุตรสาวของตระกูลลิ่น หากครอบครัวสามีไม่ได้มีอำนาจ อีกทั้งไม่สามารถมอบสถานะอำนาจเฉกเช่นอดีตให้แก่นางได้ ปฏิสัมพันธ์ในสังคมหลังแต่งงานอาจจะมีความแตกต่างเกิดขึ้น หากสามีวุ่นๆ อยู่แต่กับงานจนละเลยความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงไปของนาง ครั้งสองครั้งย่อมไม่เป็นไร แต่นานวันเข้าเกรงว่าจะเกิดความคับแค้นขึ้นในใจได้”
เสนาบดีลิ่นผงะ มุ่นหัวคิ้วแน่น เช่นนี้ก็หมายความว่าเจิ้งรุ่ยซงไม่ใช่คู่ครองที่ดีงั้นหรือ
“แน่นอน ครอบครัวฝ่ายหญิงคือแรงหนุน ด้วยตัวนางเองและแรงหนุนก็แข็งแกร่งเพียงพอแล้ว เช่นนั้นคงไม่มีปัญหาอะไร ในเมื่อเสนาบดีลิ่นแสวงหาบุตรเขยที่ดีเจอ ก็คงต้องจับตาดูดีๆ หน่อยแล้ว”
เสนาบดีลิ่นเริ่มไม่เข้าใจว่าตกลงดีหรือไม่ดีกันแน่ ทำเอาเขาร้อนใจจะตายอยู่แล้ว
เขาลุกขึ้นแล้วหยิบน้ำเต้าร้อยสุขที่เป็นเนื้อทองคำบริสุทธิ์ขนาดเท่าฝ่ามือบนชั้นวางสมบัติของตนมาชิ้นหนึ่ง บนน้ำเต้าสลักคำว่าอยู่ดีมีสุข ตรงจุกมีน้ำเต้าขนาดจิ๋วห้อยคล้ายเป็นใบ วิจิตรงดงามอย่างมาก
“ก่อนหน้านี้ข้าได้เครื่องประดับตกแต่งน้ำเต้าร้อยสุขทองนี้มา เจ้าช่วยข้าดูหน่อยได้หรือไม่” เสนาบดีลิ่นยื่นน้ำเต้าทองขนาดเล็กชิ้นนั้นไปตรงหน้าฉินหลิวซี “ข้าว่ามันธรรมดาเกินไป เจ้าคิดเห็นเช่นใดหรือ”
ฉินหลิวซี “…”
เป็นถึงท่านเสนาบดี แต่ช่วยทำเรื่องที่สอดคล้องกับสถานะหน่อยดีกว่ากระมัง!
นางรับน้ำเต้ามาวางดูบนมือ “มันธรรมดาไปจริงๆ แต่ฝีมือเป็นเอกลักษณ์มีความละเอียดลออ
“ของธรรมดาแบบนี้คงมีแค่เด็กๆ อย่างพวกเจ้าที่ชอบ เจ้าเอาไปเล่นเถอะ” เสนาบดีลิ่นเอ่ยพลางทำทีรังเกียจ
ฉินหลิวซีเอ่ย “คงไม่ดีกระมัง”
“ผู้ใหญ่ให้ของจะปฏิเสธได้อย่างไร แค่ของธรรมดาๆ เท่านั้นเอง!”
ฉินหลิวซีขบคิดในใจ ท่านเก็บของธรรมดาแบบนี้ไว้ในตู้วางของโบราณในห้องทำงานอย่างนั้นหรือ
“เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณของกำนัลจากท่านด้วย”
เสนาบดีลิ่นยกชาขึ้นจิบ เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “แล้วเรื่องงานแต่งงาน…”
ฉินหลิวซีกะพริบตาปริบๆ เอ่ย “ข้าพูดนิดหน่อยแล้วกัน เป็นอย่างไรคงขึ้นอยู่กับโชคชะตา คุณหนูลิ่นเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา เกิดในตระกูลสูงศักดิ์ นางย่อมมีดวงชะตาชีวิตที่ดี แต่พอข้าทำนายดวงจากสองสามีภรรยาแล้วเห็นว่ามีดาวหกแฉกแทรกเข้ามาเป็นกาลี ซึ่งดาวหกแฉกนี้บ่งบอกถึงการไม่ปรองดองพลัดพราก ก่อนแต่งงานจะมีอุปสรรคมากมาย แต่งงานล่าช้าสักหน่อยย่อมดีกว่า กาลียังบ่งบอกถึงการนอกใจของสามีด้วย จึงมีโอกาสที่ความรักจะถูกช่วงชิงก่อนแต่งงาน ดังนั้นหากเสนาลิ่นรั้นจะเอาบุตรเขยผู้นี้ก็คงต้องจับตามองให้ดี แต่คุณหนูลิ่นอายุยังน้อย หากรออีกสองปีก็ใช่ว่าจะไม่ได้”
เสนาบดีลิ่นหน้าเขียวปั๊ด
ความหมายเช่นนี้ก็คือเรื่องแต่งงานของชิงถังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างนั้นหรือ!
ฉินหลิวซีเหลือบมองสีหน้าเขาก่อนเล่นน้ำเต้าทองในมือ จิ๊ ก่อนหน้านี้ตระกูลจั่วก็ประสบปัญหาเรื่องแต่งงานไปแล้ว ตอนนี้ตระกูลลิ่นก็ไม่น้อยหน้า ปีนี้ฮวงจุ้ยของเมืองเซิ่งจิงคงมีพิษกระมัง!
บทที่ 537 เหยียบขวากหนามให้เตียน เดินไปสู่บัลลังก์! (1)
จิตเทพจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาล ดังก้องไปทั้งโลกวิญญาณบรรพกาลราวกับสายอัสนี ราวกับเป็นเสียงคำราม
ไม่ใช่แค่หูเท่านั้นที่ได้ยิน จิตใจสัมผัสได้ กระทั่งวิญญาณก็ยังสั่นสะท้านด้วยจิตเทพนี้ตามสัญชาตญาณ
นั่นคือความสั่นสะเทือนสยบระดับถึงแก่ชีวิต นั่นคือความทรมานของกายทิพย์
นิ้วเทพเจ้า แข็งค้างไปทันที
ความหวาดกลัวปะทุขึ้นมาราวกับกระแสน้ำขึ้น กลายเป็นความโศกเศร้าและขุ่นเคือง ทับถมจิตใจจนเต็มเปี่ยม
ร่างไม่สมประกอบของสวี่ชิงก็สั่นสะท้านขณะที่จิตเทพนี้เพ่งเล็ง
แม้ร่างกายเขาจะไม่ธรรมดา ก็ยังแตกสลายอย่างรวดเร็ว อาการบาดเจ็บลุกลามไม่หยุด พลังเทพที่หลงเหลืออยู่ก็ไม่อาจบรรเทาได้นานนัก
แต่ตอนนี้สวี่ชิงไม่มีเวลาสนใจอาการบาดเจ็บ เขาพยายามทำให้ตนสงบลง
เขารู้ดีว่าตอนนี้ ตนเองจะยั่วโทสะของอีกฝ่ายไม่ได้
แต่ไม่รอให้สวี่ชิงเอ่ยปาก จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลก็หมดความอดทน ระหว่างที่จิตเทพส่งเสียงครืนครันท้องฟ้าก็ยิ่งมืดหม่น แม่น้ำยมโลกบนพื้นดินตีเกลียวอีกครั้ง เผยโครงกระดูกจำนวนมหาศาลออกมา น่าขนพองสยองเกล้า
พลังดึงดูดมหาศาลวูบหนึ่งปะทุขึ้นในพริบตา ราวกับมีคลื่นวนขนาดใหญ่แผ่มาทางสวี่ชิง ฉายแววละโมบและกระหายออกมา
ร่างสวี่ชิงสั่นเทิ้ม เนื้อหนังมังสาที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ถูกดูดไปในพริบตา กลิ่นอายแห่งชีวิตก็สลายไปอย่างรวดเร็ว ทั้งร่างค่อยๆ เน่าเปื่อย
นิ้วเทพเจ้าในร่างก็ส่งเสียงกรีดร้อง จิตวิญญาณขององค์ท่านกระเจิดกระเจิงด้วยแรงดูดนี้ กลายเป็นปราณหมอกสีดำเส้นแล้วเส้นเล่า ถูกสูบออกไปจากทั่วร่างสวี่ชิง รวมกันบนท้องฟ้าเป็นภาพมายานิ้วมือ
ขั้นตอนนี้สำหรับนิ้วเทพเจ้า คือความเจ็บปวดแสนสาหัส ยิ่งมีความเศร้าโศกและขุ่นเคืองตลบอบอวล องค์ท่านคิดว่าอันที่จริงชีวิตนี้ของตนช่างอ้างว้างเสียเหลือเกิน
ทั้งๆ ที่ตนก็เป็นเทพเจ้า…
แต่กลับถูกชื่อหมู่กลืนกินร่างเดิม ร่างตนตอนนี้ก็ยากจะหลีกหนีการกลืนกินได้พ้น องค์ท่านไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทั้งๆ ที่อำนาจเทพของตนคือโชคร้าย แต่โชคร้ายกลับเอาแต่มาหาตนเองเสียอย่างนั้น
ดังนั้นองค์ท่านจึงคิดจะกระเสือกกระสนท่ามกลางความน่าสังเวช แต่สุดท้ายก็ไม่มีประโยชน์ องค์ท่านตอนนี้ราวเหยื่อที่ถูกคาบไว้ ยิ่งดิ้นรน อีกฝ่ายก็ยิ่งคาบไว้แน่นขึ้น
หมอกวิญญาณเทพที่มากขึ้น พวยพุ่งออกมาจากร่างสวี่ชิงเรื่อยๆ
มองไกลๆ วิญญาณเทพเหล่านี้ลอยสูงขึ้น บิดเบี้ยวไปทั่วสารทิศ ทำให้ความว่างเปล่ารอบๆ ตัวสวี่ชิงเลือนราง
ยิ่งมีกลิ่นอายเทพเจ้าฟุ้งออกมาจากนิ้วเทพเจ้าที่เปลี่ยนจากภาพมายาเป็นวัตถุจริงด้วย
สวี่ชิงเงียบนิ่ง เป้าหมายที่จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลจะสูดรับไม่ใช่แค่นิ้วเทพเจ้าในร่างเขา แต่ยังรวมถึงพลังชีวิตและจิตวิญญาณของเขาด้วย
จากการที่อีกฝ่ายสูบออกไป ตนเองกำลังลดระดับจากกายทิพย์เทพเจ้าไปผู้บำเพ็ญอย่างไม่ต้องสงสัย
สำหรับจิตมาดร้ายของจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาล สวี่ชิงไม่รู้สึกเกินคาดแต่อย่างไร
เดิมระหว่างเขากับจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลก็ไม่ได้สนิทสนมกลมเกลียวอยู่แล้ว ท่าทีของอีกฝ่ายไม่มีทางเปลี่ยนไปด้วยอาหารชิ้นเดียวแน่นอน
นี่จึงเป็นสาเหตุที่หากไม่ใช่ทางเลือกสุดท้ายจริงๆ สวี่ชิงก็ไม่คิดจะใช้ยันต์ห้วงวิญญาณ
ผู้ที่ให้พยัคฆ์ไปกินหมาป่า ก็ประหนึ่งเดินอยู่ขอบเหว หากไม่ระวังเพียงก้าวเดียวก็จะต้องฝังร่างไว้ที่ก้นเหว
แต่ความจริงใจก่อนหน้า อย่างน้อยก็ยังได้โอกาสกล่าวอ้างถึงในตอนนี้
สวี่ชิงจึงเอ่ยเสียงราบเรียบ
“ฝ่าบาท ดอกเบี้ยก่อนหน้านี้ ยังไม่พึงพอใจหรือพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลไม่สนใจ ราวกับตอนนี้ความสนใจทั้งหมดอยู่ที่ของว่างเหนือร่างสวี่ชิงที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนเรื่องที่จะสูบพลังชีวิตของสวี่ชิงไปด้วย จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลก็ไม่สนใจเช่นกัน นั่นเป็นแค่เมล็ดงาที่แต่งแต้มบนของว่าง ทำให้ของว่างหอมหวานขึ้น
เห็นเช่นนี้ นิ้วเทพเจ้าก็สิ้นหวังถึงที่สุด ขณะที่ร่างของมันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เพียงพริบตาก็จะถูกสูบออกมาจากร่างสวี่ชิงทั้งหมด เสียงไร้ระลอกคลื่นใดของสวี่ชิงก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ฝ่าบาท สิ่งที่พระองค์สูดรับตอนนี้ มิใช่ดอกเบี้ยงวดที่สอง แต่เป็นเครื่องมือที่ผู้เยาว์หยิบยืมมาจากพระองค์ชั่วคราว หากพระองค์นำกลับไป หลังจากนี้ก็อาจจะไม่มีดอกเบี้ยแล้ว”
คำกล่าวของสวี่ชิงเบื้องหน้าราววัวหินจมลงไปในมหาสมุทร[1] จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลไม่มีปฏิกิริยาใด แต่หลังจากกล่าวประโยคนนี้ออกมา ดวงตายักษ์ของจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลก็มองไปทางสวี่ชิงอย่างประหลาดใจทันที
จิตมาดร้ายนับไม่ถ้วนที่มาจากทั่วทิศทางก็ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าในพริบตานี้ หมุนเวียนไม่หยุด แผ่ความกระหายออกมาเช่นกัน เจตนาการเลือกผู้ที่จะกลืนกินนั้นรุนแรงอย่างยิ่ง
ทั้งหมดนี้กลายเป็นจิตมาดร้ายเข้มข้น แผ่ขยายไปในฟ้าดิน กลายเป็นแรงกดดันรุนแรง กดทับร่างสวี่ชิง
สวี่ชิงเงยหน้าขึ้นอย่างไม่สะทกสะท้าน จ้องดวงตายักษ์เขม็ง ไม่สนใจว่าร่างของตนเองจะแตกสลายอีกครั้ง ขณะที่เลือดสดหลั่งริน ร่างสามสิบกว่าจั้งแต่เดิมของเขาตอนนี้เหลือเท่ามนุษย์สามัญ บาดแผลนับไม่ถ้วน
“ฝ่าบาท ด้านนอกมีอาหารอยู่มากมาย แต่ผู้ที่ยินดีถวายให้พระองค์ อาจจะมีแค่กระหม่อมผู้เดียวกระมัง
“หากพระองค์กลืนกินเครื่องมือที่กระหม่อมหยิบยืม ทั้งยังกลืนกระหม่อมไปด้วย เช่นนั้นดอกเบี้ยก็จะไม่มีอีกต่อไป”
แววตาสวี่ชิงใสกระจ่าง เขาไม่ได้พูดโกหก เขาแค่เปลี่ยนวิธีกล่าวเรื่องสิทธิ์ในการครอบครองนิ้วเทพเจ้าใหม่ เช่นนี้ก็จะทำให้การพูดคุยเจรจาของเขากับจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลราบรื่นยิ่งขึ้น
เขาเชื่อว่าตัวตนอย่างจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาล สัมผัสถึงความจริงใจของตนได้
ความจริงก็เป็นเช่นนั้น ครั้งนี้หากไม่ใช่นิ้วเทพเจ้าลงมือในช่วงเวลาสำคัญ สวี่ชิงก็ไม่มีวิธีที่จะเข้าใกล้เสี้ยวหน้าของปลัดเขตปกครอง และส่งข้ามมาที่นี่ไม่ได้
ดังนั้น แรงดึงดูดที่มาจากแม่น้ำยมโลกก็หยุดลงพลัน
ในตอนนี้มีเพียงเสียงกลืนน้ำลายที่ดังออกมาไม่หยุด เหมือนกำลังพยายามข่มใจ ส่วนความหิวโหยรวมถึงความละโมบที่แสดงออกมาก็ทำให้รู้สึกหนังศีรษะชาหนึบ
หลังจากที่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดได้ยินก็เกิดหวาดกลัวอย่างไม่รู้จบตามสัญชาตญาณ ความรู้สึกอย่างตนจะกลายเป็นอาหาร ใกล้จะถูกกลืนกิน
นิ้วเทพเจ้าที่เป็นวัตถุจริงแปดส่วนแล้วเหนือหัวสวี่ชิงก็เช่นกัน ขณะที่สิ้นหวังก็ได้ยินเสียงของสวี่ชิง องค์ท่านก็ตระหนักได้ว่าสวี่ชิงกำลังปกป้องตน ความรู้สึกกระวนกระวายที่แปรมาจากความตื่นเต้นและความตึงเครียดจึงไม่อาจพรรณนาได้
ความวิตกกังวลกับผลได้ผลเสียที่เกิดจากความหวังและสิ้นหวังผสมปนเปกัน ก็โหมคลื่นลูกมหึมาขึ้นในจิตใต้สำนึกองค์ท่าน โถมทับความเกลียดชังที่มีต่อสวี่ชิง
เพราะองค์ท่านรู้ดีว่าตอนนี้ผู้ที่จะช่วยตนได้มีเพียงสวี่ชิงเท่านั้น
ดังนั้นองค์ท่านที่ลอยอยู่กลางอากาศ จึงรีบแผ่จิตเทพยอมรับออกมา
ดวงตายักษ์ของจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลจ้องสวี่ชิงเขม็ง
ฟ้าดิน ค่อยๆ เงียบสงัดลง
มีเพียงเสียงกลืนน้ำลายรวมถึงสายลมที่แปรมาจากลมหายใจหนักหน่วง สะท้อนก้องอยู่ในที่แห่งนี้
ผ่านไปครู่หนึ่ง แรงดึงดูดที่ปกคลุมร่างสวี่ชิงก็หายไป คลื่นวนในแม่น้ำยมโลกก็สลายไปเช่นกัน ขณะที่ฟ้าดินครืนครัน แม่น้ำยมโลกก็กลับมาหลั่งไหลเป็นปกติ
นิ้วเทพเจ้าที่ลอยอยู่เหนือศีรษะสวี่ชิง ก็ไม่ถูกพันธนาการแล้ว ลอยกลับเข้าไปในร่างสวี่ชิงด้วยร่างที่สั่นเทา
หลังจากผ่านเรื่องราวมามากมาย องค์ท่านรอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด ขณะที่ใจยังคงสั่นสะท้าน เนื่องจากร่างสวี่ชิงแตกสลาย ปราณเทพลดลง ทำให้องค์ท่านไม่มีโอกาสได้ก่อเรื่องสร้างปัญหา ยิ่งฉายแววเหนื่อยล้าเข้มข้นออกมา
ยากจะประคองอารมณ์ความตื่นตัวไว้ จิตสำนึกเริ่มเลือนราง
ขณะที่ถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้องค์ท่านรู้สึกว่าโลกภายนอกอันตรายอย่างยิ่ง ความรู้สึกนี้รุนแรงมาก จนกลายเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ฝังรากลึกในก้นบึ้งจิตใจ
องค์ท่านจึงอยากจะกลับไปที่ติงหนึ่งสามสองที่คุ้นเคยตามสัญชาตญาณ
บรรยากาศที่นั่นทำให้องค์ท่านรู้สึกสบายใจ ถึงอย่างไรองค์ท่านก็อยู่ที่เขตติงหนึ่งสามสองแทบจะทั้งชีวิต…
ที่นั่น องค์ท่านรู้สึกปลอดภัย สงบใจมาก จึงค่อยๆ หลับใหลไป
ขณะเดียวกัน จิตเทพของจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาล ก็ดังไปทั่วทิศ
“ดอกเบี้ยงวดหน้า ข้าต้องการเทพไม่สมประกอบตนหนึ่ง!
“หากไม่ใช่เทพไม่สมประกอบ โลกนี้จะไม่เปิดให้เจ้าอีกต่อไป”
นอกจากจิตเทพที่สะท้อนก้อง วิญญาณนับพันหมื่นสายที่แยกตัวออกมาจากวิญญาณชั่วร้ายบนท้องฟ้ารวมกันเบื้องหน้าสวี่ชิง สุดท้ายถักทอออกมาเป็นป้ายชิ้นหนึ่ง
ซึ่งก็คือป้ายห้วงวิญญาณที่สวี่ชิงบีบแตกไปก่อนหน้านั่นเอง
“ตอนนี้ ออกไปได้แล้ว!”
จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลเอ่ยเสียงราบเรียบ ประตูคลื่นวนวงหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังสวี่ชิง
มองเข้าไปด้านใน จะเห็นว่าจุดที่เชื่อมไปถึงคือหุบเหวเผ่าต้นไม้วิญญาณที่เขาเคยเข้ามาในตอนนั้น
สวี่ชิงมองคลื่นวน จากนั้นก็มองป้าย สุดท้ายก็เงยหน้ามองดวงตายักษ์ของจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลที่ค่อยๆ ปิดลงอย่างประหลาดใจ
เดิมทีเขาคิดว่าครั้งนี้ต่อให้ตนออกไปได้ จะต้องถูกประทับตราอย่างรอยแผลเป็นหรือผนึกต้องห้ามเป็นแน่
แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำอะไรเลย
‘องค์ท่านรังเกียจที่ทำกับข้าเช่นนั้น ทั้งไม่กังวลว่าข้าจะอัญเชิญเทพเจ้าองค์อื่นมา…ผนวกกับที่ปลัดเขตปกครองล้มเหลวในการนำทางกาฬกาลกิณีก่อนหน้านี้ จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลตนนี้น่าจะซ่อนโลกวิญญาณบรรพกาลเอาไว้ลึกมาก’
สวี่ชิงครุ่นคิด มองไปรอบๆ จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าบางทีที่ที่ตนอยู่ตอนนี้ อาจจะไม่ใช่โลกวิญญาณบรรพกาลในตอนนั้นก็ได้
โลกวิญญาณบรรพกาลที่แท้จริง เกรงว่าจะไม่มีใครค้นพบอีกต่อไป
แต่ไม่ว่าอย่างไร สวี่ชิงก็ยังสัมผัสได้ถึงความเด็ดขาดของจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลในฐานะผู้รวมต้องประสงค์ให้เป็นหนึ่งในอดีตได้ จึงก้มหน้าลงคารวะ สองมือรับป้าย หันหลังเดินเข้าไปในคลื่นวน
พริบตาที่เขาก้าวเข้าไปในคลื่นวน จิตเทพของจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลก็ดังก้องขึ้นอีกครั้งอย่างน่าเกรงขาม
“เห็นแก่อาหารชั้นดีที่เจ้าส่งมา เผ่ามนุษย์ตัวน้อย ข้าขอเตือนเจ้าประโยคหนึ่ง
“ตะเกียงชีวิตในร่างกายเจ้า แม้จะทำให้เจ้าโดดเด่นในระดับล่าง แต่พวกมันก็ยุ่งเหยิงซับซ้อน ไม่ใช่สิ่งที่สายเลือดตัวเจ้าจะหลอมได้ ยิ่งไปกว่านั้นทุกๆ ดวงยังแฝงกรรมเอาไว้ ในอนาคตยากที่จะทำให้บริบูรณ์”
สวี่ชิงชะงักฝีเท้า หันหน้าไปมองดวงตาขนาดยักษ์จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาล
“ฝ่าบาทมีวิธีหลอมหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ตอนที่เจ้าเอาอาหารที่ข้าต้องการมาให้ ข้าจะบอกเจ้า”
ดวงตายักษ์วิญญาณบรรพกาลสื่อจิตเทพมาอีกครั้ง จากนั้นก็หลับตาลง
สวี่ชิงพยักหน้า คล้ายครุ่นคิด ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่ใหญ่เคยพูดเรื่องเกี่ยวกับตะเกียงชีวิตไว้แล้ว ตอนนี้จักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลก็กล่าวถึงสิ่งที่คล้ายๆ กัน
สวี่ชิงลังเลใจ คารวะไปทางดวงตายักษ์ของจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาล เดินเข้าไปในคลื่นวน
คลื่นวนส่งเสียงครืนครันดังไปทั้งสี่ทิศ พริบตาต่อมาจากการที่ร่างสวี่ชิงเดินเข้าไปในด้านในระยะหนึ่ง คลื่นวนนี้ก็สลายหายไปจากฟ้าดิน
จู่ๆ ทั้งโลกวิญญาณบรรพกาลก็เลือนรางหลังจากสวี่ชิงหายไป
จะพื้นดินก็ดี จะท้องฟ้าก็ดี วิญญาณร้ายรวมถึงโครงกระดูกทั้งหมด ทั้งแม่น้ำยมโลกสลายหายไปราวกับฟองอากาศ
สุดท้ายโลกทั้งใบ ก็รวมตัวกันเป็นไข่มุกเม็ดหนึ่ง ร่วงหล่นลงมาในความว่างเปล่าที่มืดมิด ดำดิ่งลงไปในหุบเหววิญญาณที่ไร้จุดสิ้นสุด
กระทั่งผ่านสักพัก ที่ก้นหุบเหววิญญาณที่มืดมิด มือเหี่ยวย่นข้างหนึ่งที่เต็มไปด้วยปานดำและแผ่กลิ่นอายชั่วร้ายก็ยื่นมารับไข่มุกเม็ดนี้อย่างไร้ซุ่มเสียง ใส่เข้าไปในปาก มีเสียงเคี้ยวดังออกมา
ครู่ต่อมาก็มีเสียงถอนหายใจอย่างพึงพอใจดังก้อง
“อร่อย
“หวังว่าครั้งหน้า เจ้าเด็กคนนั้นจะส่งอาหารที่อร่อยยิ่งกว่ามาให้ ส่วนร่างของเขาก็น่าอร่อยเช่นกัน…รอให้เขาเติบโตอีกสักหน่อย ก็กลืนกินได้แล้ว
“แล้วก็เจ้าจื่อชิงนั่น…ก็น่าสนใจ”
ตอนนี้ ในแท่นบูชาเผ่าต้นไม้วิญญาณ ก้นเหวส่วนลึกใต้ทางเข้าหุบเหววิญญาณนั้น บนหน้าผาที่สูงชันไร้ที่สิ้นสุด มีเงาร่างหนึ่งกำลังปีนขึ้นมาช้าๆ…
อาการบาดบาดเจ็บสาหัส ส่งผลกระทบกับความเร็วขากลับของสวี่ชิง แต่ความหวังที่จะหลุดพ้นจากความตาย ราวกับทำให้เขาเค้นแรงที่เหลือออกมาได้มากขึ้น
เขาเข้าใกล้ทางออกทีละนิด กลับโลกมนุษย์ทีละก้าว
เลือดสดไหลลงมาตามร่างกาย ซึมเข้าไปในหน้าผาหุบเหววิญญาณ กลายเป็นรอยเลือดลากเป็นทาง
สวี่ชิงกัดฟัน ขณะที่ด้านล่างหุบเหวแผ่แรงดึงดูดออกมา ก็ปีนป่ายสุดกำลัง แต่ใช่ว่าหลายๆ เรื่องที่เราไม่อยากประสบจะไม่ปรากฏขึ้น ใช่ว่าจะสยบลงได้เพียงเพราะยินยอมพร้อมใจ
ดังนั้นจิตสำนึกของสวี่ชิง จึงค่อยๆ ดับไปอย่างควบคุมไม่ได้
ต่อให้เขาไม่อยาก แต่ความเหนื่อยล้าทางจิตใจรวมถึงความอ่อนแอของร่างกาย ก็ราวกับกระแสน้ำค่อยๆ เพิ่มขึ้นในทะเลความรู้สึก ท่วมทับโลกทั้งใบ
เบื้องหน้าสวี่ชิงเลือนราง ความมืดเริ่มรุกล้ำทุกสิ่งของเขาเงียบๆ จนขณะที่ไม่ชัดเจน เขาเหมือนจะเห็นร่างเงาสีขาวร่างหนึ่ง พุ่งมาอย่างรวดเร็วจากทางออกด้านบน
[1] วัวหินจมลงไปในมหาสมุทร (石牛入海) เป็นสำนวนเปรียบเปรยว่าเมื่อจากไปแล้วก็จะไม่กลับมาอีก
Comments for chapter "บทที่ 537 เหยียบขวากหนามให้เตียน เดินไปสู่บัลลังก์! (1)"
MANGA DISCUSSION
Leave a Reply Cancel reply
This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.
ชิตพงษผ์ เจริญพัตร
ส่งผิดอีก..แล้วครับ
ชิตพงษผ์ เจริญพัตร
ขอโทษ..ครับ..ผมอ่านแล้ว
มันมี..เนื้อหาต่อกันใน
ตอน..กลางๆๆ