ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 542-2 หญิงสาม งูหนึ่ง ชายหนึ่ง (2)
บทที่ 542-2 หญิงสาม งูหนึ่ง ชายหนึ่ง (2)
เพราะถูกแช่แข็งเอาไว้ ดังนั้นส่วนที่ถูกหั่นจะไม่สามารถรวมกันได้ ไม่นานนักน้ำแข็งก็กลายเป็นหลายสิบส่วน สวี่ชิงวางเรียงมันทีละชิ้นๆ บนพื้น วางเป็นตัวอักษร ‘大’ ระหว่างชิ้นมีระยะห่างระหว่างกัน
ความรู้สึกที่ได้สัมผัสได้มองเห็นเช่นนั้น การทรมาณที่เกิดจากเห็นอยู่ใกล้ๆ ข้างหน้าแต่ไม่สามารถสัมผัสได้ ฟื้นฟูไม่ได้ ไม่ได้เกิดขึ้นกับกายเนื้ออย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความเจ็บปวดของจิตใจด้วย
เสียงร้องน่าเวทนายิ่งฟังโหยหวน
ดวงตาทั้งสองของเหยียนเหยียนฉายประกายแสงแรงกล้าทันที ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นมาอีกครั้ง ขณะที่ร่างกายสั่นสะท้านความตื่นเต้นก็เริ่มกลับคืนมา
สวี่ชิงไม่สนใจ หลังจากที่โยนก้อนน้ำแข็งพวกนี้ให้เหยียนเหยียนก็คว้ามาอีกครั้ง เผ่าควันขจรกลุ่มที่สองมาอยู่ในมือทันที ครั้งนี้สวี่ชิงไม่ใช้น้ำแข็ง แต่เป็นพิษ
พิษนี้เพียงแผ่มาก็ผสานไปในร่างหมอกอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบให้กับมัน แผ่กระจายไปในหมอก พิษที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกับกายหมอกเท่านั้น แต่ยังมีการกัดกร่อนวิญญาณด้วย
ดังนั้นเสียงร้องโหยหวนครวญครางก็ยิ่งดังก้องไปในห้องโดยสารเรือ
ความตื่นเต้นของเหยียนเหยียนพุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง เสียงร้องโหยหวนพวกนั้นเมื่อดังขึ้นในหูของนาง เหมือนว่าเป็นเสียงจากธรรมชาติที่ไพเราะที่สุดในโลก
ยังไม่จบแค่นั้น สวี่ชิงเอ่ยเสียงเย็นขึ้นมา
“ฉีกเสื้อของเจ้ามาให้ข้าชิ้นหนึ่ง”
เหยียนเหยียนเชื่อฟังเป็นอย่างดี ไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น ฉีกเสื้อบนร่างออกมาเป็นชิ้นใหญ่ทันที เพราะออกแรงเยอะเกิน จึงเผยให้เห็นผิวที่เต็มไปด้วยรอยแผล
แต่นางไม่สนใจแม้แต่น้อย ราวกับลูกสุนัข คลานไปข้างหน้าสวี่ชิงอย่างรวดเร็ว ยื่นเศษผ้าด้วยสองมือ
หลังจากที่สวี่ชิงรับมาก็สะบัดมือเล็กน้อย ทันใดนั้นผ้าชิ้นนี้ก็เปียก แฝงพลังสะกดเอาไว้ จากนั้นก็คว้าร่างหมอกเผ่าควันขจรกลุ่มที่สามมา แล้วกดมันไปบนผ้า
ผ้าเป็นสีดำทันที เงาร่างเผ่าควันขจร ภายใต้การดูดซับจากผ้าก็ปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน
สวี่ชิงโยนมันไปให้เหยียนเหยียน เอ่ยเรียบนิ่ง
“เช่นนี้มันก็จะเสียอิสระของร่างกาย เสียความเป็นอิสระของวิญญาณ
“ไล่ไขว่คว้าการทำร้ายกายเนื้อด้วยตาที่มืดบอด ไม่ว่าจะต่อตัวเองหรือต่อศัตรูเป็นเพียงแค่หนึ่งในวิธีการเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด เมื่อใช้จนเกินสมควร เช่นนั้นก็คือการกระทำที่ไร้สาระ
“การทรมาณทางจิตใจถึงจะเป็นระดับที่สูงขึ้นไปอีก”
สวี่ชิงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง
เหยียนเหยียนตัวสั่นสะท้าน ริมฝีปากแดงอ้าเล็กน้อย คล้ายว่าถูกสวี่ชิงตำหนิ ความสุขในใจของนางก็ยิ่งมากล้น ความหลงใหลในดวงตาถึงขีดสูงสุด นางจึงยกมือขึ้นแล้วกัดปลายนิ้วจนเป็นแผล ยื่นไปทางสวี่ชิงอย่างสั่นระริก
สายตาของสวี่ชิงเย็นเยียบ
เหยียนเหยียนก้มหน้า เก็บนิ้วกลับมา แตะไปที่ปากตัวเองแล้วดูด
ความกลัดกลุ้มอัดอั้นสะสมในทะเลความรู้สึกกำลังสลายไปอย่างรวดเร็ว และระลอกคลื่นพลังบำเพ็ญก็พวยพุ่งขึ้นบนร่าง
ท่ามกลางความรางเลือน เหมือนว่าวังสวรรค์วังแรกก็ก่อเค้าร่างขึ้นมาแล้ว
แต่ว่ายังขาดอีกนิด
เห็นเป็นเช่นนี้ สวี่ชิงก็ลอบถอนหายใจ ยกนิ้วชี้ขึ้น
แทบจะในทันทีที่เขายกนิ้วขึ้นมา เหยียนเหยียนก็คลานมาทันที แล้วดูดอย่างรวดเร็ว ดวงตาหรี่ลง ทั้งคนเหมือนยกระดับขึ้น สีหน้าฉายความสบายสุดยอดออกมา ฉายความพึงพอใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เหมือนว่านางรอวันนี้มานานมาก
และวังสวรรค์ของนาง ในเสี้ยวขณะนี้ก็พลันปรากฏขึ้นมา!
การสั่นสะเทือนของจิตใจทำให้เหยียนเหยียนแบกรับไม่ไหว หมดสติไป
เสี้ยวขณะต่อมา นอกเรือมีเสียงที่แฝงไว้ด้วยความซาบซึ้งของจอมคนบูรพาสงัดดังขึ้น
“ขอบคุณมาก…”
จากนั้น ร่างของเหยียนเหยียนก็หายไป จอมคนบูรพาสงัดนำตัวไปจากเรือแล้ว
ในห้องโดยสารเรือเงียบกริบ
หลังจากนั้งครู่หนึ่ง หลิงเอ๋อร์ก็โผล่ออกมาจากปกเสื้อของสวี่ชิง มองบริเวณที่เหยียนเหยียนอยู่ก่อนหน้านี้อย่างอึ้งตะลึง สวี่ชิงสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย กำกลังจะอธิบาย หลิงเอ๋อร์ก็พลันเอ่ยอย่างตื่นตระหนกออกมา
“พี่สวี่ชิง นี่เป็นปีศาจ แย่เสียยิ่งกว่าคนก่อนหน้านี้เสียอีก นางกัดนิ้วของท่านด้วย ท่านต้องระวังตัวนะเจ้าคะ!”
ไม่รอให้สวี่ชิงได้อ้าปาก เสียงหัวเราะอ่อนโยนเสียงหนึ่งก็ดังก้องขึ้นในห้องโดยสารเรือ
“ช่างเป็นเด็กสาวที่น่ารักเสียจริง”
เสียงนี้ดังขึ้น ร่างของสวี่ชิงชะงักไปทันที
การมาเยือนของติงเสวี่ย เขาไม่สนใจได้ การปรากฏตัวของเหยียนเหยียน เขาสามารถสยบได้ แต่ในพันธมิตรแปดสำนักมีผู้หญิงคนหนึ่งที่หลังจากสวี่ชิงได้พบแล้วจิตใจล้วนน่าเวทนาทุกครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นครั้งแรกที่ได้พบหน้าถูกเชยคาง หรือจะเป็นนิสัยที่สลับเปลี่ยนไปมากมายในการเดินทางลาดตระเวนแม่น้ำ หรือจะเป็นการสบสายตาในเมืองหลวงเขตปกครอง สายตาประสานกันในยามที่เปลือยกายทำการลงวิชาคุ้มกาย…
สิ่งที่รู้ นางรู้มากยิ่งกว่า สิ่งที่ไม่รู้ นางรู้ดีกว่าเช่นกัน
สิ่งที่เห็น นางเคยเห็นมาก่อน สิ่งที่ไม่เคยเห็น นางคุ้นชินยิ่งกว่า
สิ่งที่คิดในใจ นางรู้ทั้งหมด แม้แต่ความคิดที่ตัวเองไม่ทันได้รู้ตัว ก็เหมือนว่านางจะรู้กระจ่างเช่นกัน
หาที่ติไม่ได้เลย
ตอนนี้จากเสียงที่สะท้อนก้อง จากร่างของสวี่ชิงที่แข็งทื่อไปตามสัญชาตญาณ หญิงงามเฉิดโฉมผู้นี้ ก็เดินออกมาจากความว่างเปล่า
กระโปรงยาวดอกเยวี่ยจี้[1]สีม่วงอ่อน แต่งแต้มขับเน้นด้วยสีขาว เอวผูกแถบผ้าไหมปักลายดวงจันทร์สีเดียวกัน ผมสีดำขลับขมวดมุ่นเป็นมวยองค์หญิง บนมวยปักปิ่นดอกไม้มุก บนนั้นมีพู่ห้อยระย้า
ใบหน้างดงามเพริศพริ้งคิ้วทั้งสองเรียวยาวดุจภาพวาด ดวงตาทั้งสองเป็นประกายดุจดวงดารา
มุมปากยกยิ้ม รอยยิ้มฉายมา คล้ายว่าหล่อเลี้ยงไปทั่วทั้งสี่ทิศ เกี่ยวกระหวัดจิตใจผู้คน ทั้งยังท่วงท่าสง่างามสูงส่ง สงบนิ่งงดงาม ราวบัวผุดพ้นน้ำ ไร้มลทินแปดเปื้อน
มีเพียงบนใบหน้าที่คล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม แฝงด้วยรอยตัดพ้อ แฝงด้วยรอยกลัดกลุ้ม มองมาทางสวี่ชิง
คนคนนี้ก็คือจอมเซียนจื่อเสวียนผู้เฉิดฉันล้ำเลิศนั่นเอง
ดวงตาของหลิงเอ๋อร์เบิกกว้าง หลบไปตามสัญชาตญาณ
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ลุกขึ้นโค้งคารวะผู้มาเยือน
“คารวะจอมเซียน”
จื่อเสวียนยิ้มบางๆ เดินไปข้างหน้าสวี่ชิงอย่างเป็นธรรมชาติ ยกมือปัดฝุ่นที่เกาะบนร่างสวี่ชิงออกไป ทำให้มันไม่อาจแปดเปื้อนสวี่ชิงได้
ทั้งยังช่วยเขาจัดรอยยับบนเสื้อ
จากนั้นก็มองดวงตาทั้งสองของสวี่ชิงอย่างล้ำลึก ในเสี้ยวพริบตาที่ดวงตาทั้งสองคู่ประสานกัน นางก็เอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา
“ปลอดภัยก็ดีแล้ว”
ประโยคง่ายๆ เพียงแค่สี่ตัวอักษรแฝงด้วยความใส่ใจ สนใจ กังวล คิดถึง อารมณ์ทุกอย่างนี้ล้วนอยู่ในทั้งสี่ตัวอักษร ส่งเข้ามาในใจสวี่ชิงอย่างกระจ่างชัด ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความอบอุ่น
สวี่ชิงร่างสะท้านเฮือก ความอบอุ่นนี้แผ่ลามไปในใจของเขาโดยไม่รู้ตัว ทำให้ร่างที่แข็งทื่อของเขาผ่อนคลายลง ปล่อยให้จื่อเสวียนจับมือเขา นั่งลงข้างๆ
กลิ่นหอมที่คุ้นเคยลอยเข้ามาในจมูก พู่ระย้าที่อยู่บนเรือนผมงามของจื่อเสวียนก็พริ้วไหวไปมาจากการนั่งลงของนาง มองผาดหนึ่งเหมือนจะถูกเกี่ยวกระหวัดความคิด พร้อมทำให้ใจสั่นไหวตามไปด้วย
สวี่ชิงเหม่อลอยเล็กน้อย เก็บกริยาไปตามสัญชาตญาณ
ดวงตางามของจื่อเสวียนฉายแววอ่อนโยน เสียงหัวเราะดังก้องในห้องโดยสารเรือ
“ข้ารู้เป้าหมายในใจเจ้า และรู้ว่าเจ้าจะทำอะไร ข้าไม่ขวางเจ้า แต่ข้าอยากบอกเจ้า ตอนนั้น หากข้ารู้ว่ามีเรื่องนี้ ข้าจะก้าวออกไปกับเจ้า
“เจ้าน่าจะรู้ว่าสิ่งที่ข้าพูดไม่ใช่คำลวง
“ข้านิสัยเด็ดเดี่ยว หากตัดสินอะไรแล้ว ข้าจะไม่มีวันเปลี่ยน ไม่ว่าใครจะมาเตือนโน้มน้าว ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย ข้าก็ไม่มีวันเสียใจภายหลัง”
เสียงของจื่อเสวียน แปรเปลี่ยนเป็นคลื่นในใจสวี่ชิง แผ่ระลอกมาไม่หยุด
เขาเชื่อ
สวี่ชิงนึกไม่ออกว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นตอนอยู่ในตำหนักแดนต้องห้ามเซียนแห่งนั้นคืออะไร เขาแค่นึกย้อนได้ว่าที่นั่นมีตะเกียงดวงหนึ่ง นึกย้อนได้ถึงเงาร่างที่เหมือนกับจื่อเสวียนทุกประการ
แต่ตอนนี้เมื่อเขาได้ยินคำพูดของจื่อเสวียน ท่ามกลางความรางเลือน เหมือนว่ามีภาพบางอย่างฝังกลบอยู่ในจุดลึกของความทรงจำ มีบางอย่างซ้อนทับ ถึงแม้ว่าเขาจะยังนึกรายละเอียดภาพเหตุการณ์ไม่ออก แค่ความรู้สึกแบบนี้เขาจำได้
นิสัยของอีกฝ่าย ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ
นานหลังจากนั้น สวี่ชิงเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ข้าทราบแล้ว”
รอยยิ้มบนใบหน้าจื่อเสวียนยิ่งงดงาม
“อาจารย์เจ้าเชิญข้าให้พาสำนักโลกันต์ทมิฬและสำนักเจ็ดเนตรโลหิตบางส่วนไปเมืองหลวงเขตปกครอง ทั้งสองสำนักหลังจากนี้จะรวมกัน จัดตั้งเป็นสำนักใหม่ ข้าตกลงแล้ว
“เขาให้ข้าตั้งชื่อสำนักใหม่ด้วย
“ข้ามาที่นี่เพื่อถามเจ้า เจ้าคิดว่าชื่อสำนักครามทมิฬ(ชิงเสวียน)ชื่อนี้เป็นอย่างไร”
สวี่ชิงลังเล แต่สุดท้ายก็พยักหน้า
สายตาอ่อนโยนของจื่อเสวียนจับจ้องที่ใบหน้าของสวี่ชิง แล้วมองที่ปกเสื้อของเขา สุดท้ายก็หัวเราะ แล้วคุยกับสวี่ชิงเกี่ยวกับการพัฒนาสำนักครามทมิฬบางอย่างในอนาคต
เหตุการณ์ทั้งหมดล้วนเป็นการคุยธุระการงาน แต่เสียงที่ไพเราะนี้ทำให้คนรู้สึกสบายผ่อนคลายนัก ทำให้ไม่ทันได้รู้ตัว ลืมการหมุนผ่านของเวลาไป
สวี่ชิงค่อยๆ ผ่อนคลายลง
จวบจนกลางดึก จื่อเสวียนเอ่ยเสียงเบา
“ข้ามาที่นี่ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าจะวาดภาพสัญลักษณ์คุ้มกันให้เจ้าใหม่ มา ถอดเสื้อออก”
ในยามที่ร่างผ่อนคลายของสวี่ชิงแข็งเกร็งขึ้นมาอีกครั้ง เสียงหัวเราะน่าฟังของจื่อเสวียนดังออกมา ในดวงตาฉายแววหยอกล้อ ลุกขึ้นยืน ออกไปจากเรือศึกเวท มีเพียงเสียงอ่อนโยนเท่านั้นที่ดังก้องในห้องโดยสารเรือ
ห้องโดยสารเรือค่อยๆ เงียบลง
สวี่ชิงถอนหายใจยาว ในยามที่ก้มหน้าไปมองที่ปกเสื้อ หลิงเอ๋อร์เลื้อยออกมาจากในนั้นเนื้อตัวสั่นเทา ดวงตาแฝงด้วยความตื่นตระหนก เอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว
“พี่สวี่ชิง! คนนี้อันตรายที่สุด เป็นราชาปีศาจ!!
“น่ากลัวเหลือเกิน พี่สวี่ชิง คนไม่ดีก่อนหน้านี้พวกนั้นเทียบกับราชาปีศาจตนนี้แล้ว ไม่ใช่ระดับขั้นเดียวกันเลยเจ้าค่ะ”
สวี่ชิงกระแอมออกมาหนึ่งที ปลอบประโลมหลิงเอ๋อร์
ท่ามกลางความสงสัยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งของหลิงเอ๋อร์ เวลาไหลผ่าน หลายวันผ่านไป
ระหว่างนั้นเหยียนเหยียนปิดด่าน จื่อเสวียนไม่ปรากฏตัวขึ้นอีก มีเพียงติงเสวี่ยเท่านั้นที่ประเดี๋ยวๆ ก็วิ่งมาอยู่ข้างๆ สวี่ชิง เพียงแต่แผนการทุกอย่างของนางล้วนไม่อาจลงมือได้
ด้านหนึ่งเป็นเพราะเจ้าจงเหิงปรากฏตัวขึ้น แม้จะกลัวสวี่ชิง แต่เขาก็ยังกัดฟันตามอยู่ข้างหลังติงเสวี่ยเงียบๆ ความมุ่งมั่นในสีหน้า ท่าทางที่ในท้ายที่สุดแล้วติงเสวี่ยจะต้องหวั่นไหวกับข้า ทำเอาสวี่ชิงเห็นแล้วรู้สึกสะท้อนใจ
อีกด้านหนึ่งคือสวี่ชิงไม่ได้กลับมาสองปี มีหลายเรื่องที่ต้องไปจัดการ และความแตกต่างของฐานะก็ทำให้สำนักต่างๆ ในมณฑลรับเสด็จราชันหลายวันนี้ล้วนมาขอเข้าพบคาวระนายท่านเจ็ด นายท่านเจ็ดบางครั้งก็ให้สวี่ชิงเข้าร่วมด้วย
เช่นนี้เอง หลังจากผ่านไปสิบวัน ท่ามกลางความร้อนรนกลัดกลุ้มใจของติงเสวี่ย สวี่ชิงก็เตรียมออกเดินทาง
เขาจะไปทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณสักหน่อย ไปเซ่นไหว้หัวหน้าเหลย
ก่อนออกเดินทาง นายท่านเจ็ดมอบกล่องหยกใบยาวให้กับเขากล่องหนึ่ง
“ในนี้คืออาวุธเทพที่ข้าใช้ก้างปลาเทพเจ้าชิ้นนั้นหลอมขึ้นมา ระหว่างทางที่เจ้าเดินทางลองทำความคุ้นเคยกับมัน วัตถุชิ้นนี้พลังไม่ธรรมดา เป็นวัตถุคุ้มกายให้เจ้าได้
“อีกทั้งสำหรับเจ้าแล้ว อาวุธก้างปลาชิ้นนี้มีต้นกำเนิดพลังเดียวกับร่างของเจ้าร่างนี้ เจ้าใช้มันเหมาะสมที่สุด”
ในกล่องหยกเป็นหนามสีดำชิ้นหนึ่ง ขนาดประมาณนิ้วมือ บนนั้นเต็มไปด้วยลวดลายตามธรรมชาติ กลิ่นอายน่าครั่นคร้ามกลุ่มหนึ่งไหลวนอยู่ภายใน ยิ่งมีระลอกคลื่นพลังเทพเจ้าแผ่ไปทั่วทิศ
แม้มันจะเป็นเพียงวัตถุ แต่ในเสี้ยวพริบตาที่สวี่ชิงมองไป มันก็สั่นคลอนขึ้นมาทั้งชิ้น เหมือนได้รับพลังทำให้มันหายใจได้
เหมือนกับการหายใจของสวี่ชิงทุกประการ เกิดเป็นการเหนี่ยวนำทางด้านสายเลือด
ความรู้สึกที่เหมือนว่าวัตถุชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของตัวเอง ทำให้สวี่ชิงสัมผัสได้ถึงความคมของหนามชิ้นนี้ได้อย่างชัดเจน ขณะเดียวกับที่ในใจครั่นคร้าม นายท่านเจ็ดก็เอ่ยเสียงเบา
“ในสายตาของเทพเจ้า วัตถุธรรมดาทั่วไป อ่อนด้อยสิ้นดี ยากจะทำร้ายองค์ท่านได้แม้เพียงเล็กน้อย แต่วัตถุชิ้นนี้…ทำร้ายเทพเจ้าได้ ในนั้นแฝงไว้ด้วยอำนาจเทพเจ้าเคราะห์หายนะ
“ดังนั้นข้าจึงตั้งชื่อมันว่าหนามเคราะห์หายนะ”
[1] ดอกเยวี่ยจี้ (月季花) คือดอกกุหลาบ