ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 544-2 อำนาจแห่งวิหคเพลิงสวรรค์ (2)
สำหรับทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ วิหคเพลิงสวรรค์ ไม่เพียงแต่เป็นจักรพรรดิของแดนต้องห้ามปักษาราชัน แต่ยังเป็นจักรพรรดิของพื้นที่ต้องห้ามทั้งทวีปนี้ด้วย
ปราณหมอกลอยกลับ เคลื่อนไหวมารวมกันต่อเนื่อง
แต่แปลกมาก แม้ครั้งนี้จะปล่อยให้เจ้าพื้นที่ต้องห้ามรวมตัวอย่างไร เงาร่างทั้งสามก็ไม่อาจก่อตัวขึ้นมาได้
ร่างของพ่อแม่สวี่ชิง ปรากฏออกมาเพียงเค้าโครง จากนั้นก็สลายหายไป ส่วนปรมาจารย์ไป๋แม้จะก่อโครงร่างขึ้นมา แต่สุดท้ายก็ไม่อาจชัดเจนได้ ก็สลายหาย
ภานี้ ทำให้สายตาสวี่ชิงแข็งค้าง มองไปทางเจ้าพื้นที่ต้องห้าม
ครู่ต่อมา ภายใต้เสียงร้องแกว๊กของชิงฉิน เสียงแหบพร่าของเจ้าพื้นที่ต้องห้ามก็สะท้อนก้องทุ้มต่ำ
“มีดวงวิญญาณเผ่ามนุษย์สองคน ถูกบูชาไปให้บิดาเทพ ข้าไม่มีอำนาจชักนำ
“และอีกดวงวิญญาณหนึ่ง ไม่อยู่ในแผ่นดินต้องประสงค์”
พูดจบ ร่างของเจ้าพื้นที่ต้องห้ามตนนั้นก็พลันถอยหลัง ผสานเข้ากับปราณหมอกในพริบตา และหมอกหนาที่นี่ก็ล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว พุ่งไปรวมกันจากทั้งแปดทิศที่ส่วนลึกที่สุดของพื้นที่ต้องห้าม ก่อตัวเป็นพลังปิดผนึก กั้นโลกภายนอกกับตนเองเอาไว้
เห็นได้ชัดว่าการออกมาครั้งนี้ สำหรับมันแล้วไม่สบอารมณ์ถึงขีดสุด ดังนั้นตอนนี้หลังจากพูดจบ มันก็เลือกปิดผนึก
สิ่งที่ตามมาจากนั้น คือการกีดกันจากทั่วทั้งพื้นที่ต้องห้าม
สวี่ชิงเงียบนิ่ง
สำหรับร่างของบิดามารดาที่มองไม่เห็น อันที่จริงเขาก็สังหรณ์ใจอยู่แล้ว เมืองเป็นเอกในตอนนั้นถูกเซ่นไหว้ให้แด่เสี้ยวหน้าเทพเจ้า
เพียงแต่วิญญาณของปรมาจารย์ไป๋ ทำให้สวี่ชิงรู้สึกสงสัย
‘ไม่อยู่ที่แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์?’
สวี่ชิงขมวดคิ้ว นึกถึงก่อนหน้านี้การตายของปรมาจารย์ไป๋ สุดท้ายก็มองไปทางที่ผืนอินทนิลตั้งอยู่
ที่เขามาทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณครั้งนี้ ที่สุดท้ายที่จะไปคือจะไปผืนอินทนิลเพื่อเซ่นไหว้ปรมาจารย์ไป๋ ขณะเดียวกันจะไปพบกับสหายวัยเด็กด้วย
‘ท่าทางรายละเอียดการตายของปรมาจารย์ไป๋ หลังจากไปครั้งนี้ ต้องถามเฉินเฟยหยวนกับถิงอวี้ให้ละเอียด’
สวี่ชิงครุ่นคิด จากนั้นก็ประสานหมัดไปทางชิงฉินกับนักพรตซือหนาน
“ลำบากผู้อาวุโสทั้งสองให้รอข้ามาหลายวัน ข้าคิดว่าจะวิวัฒนาการสัตว์เลี้ยงวิญญาณตัวหนึ่งของข้าที่นี่เสียหน่อย”
นักพรตซือหนานมองเจ้าเงาใต้เท้าสวี่ชิง พยักหน้าเล็กน้อย พาคนจากไป ส่วนชิงฉินก็ร้องแกว๊ก จากนั้นก็สยายปีกทะยานไปยังส่วนลึกของพื้นที่ต้องห้ามที่กั้นด้วยปราณหมอกผืนนั้น
เห็นได้ชัดว่ามันรู้สึกสนใจเจ้าพื้นที่ต้องห้ามตนนั้นไม่น้อย
เสียงพิณสั่นระรัว ปราณหมอกตีเกลียว ร่างของชิงฉินหายไปในปราณหมอก
ส่วนด้านในจะเกิดอะไร สวี่ชิงก็ชี้ขาดไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะสถานการณ์ใด ชิงฉินที่มีขนวิหคเพลิงสวรรค์อยู่ ไม่มีทางเสียเปรียบแน่นอน
ดังนั้นสวี่ชิงจึงไม่สนใจ หันหลังเดินไปที่บ้านในพื้นที่ต้องห้ามของเขาในตอนนั้น
ตอนนี้ใกล้จะฟ้าสางแล้ว ขณะที่รุ่งอรุณเบิกฟ้า สวี่ชิงก็มาถึงที่ที่กลุ่มสายอัสนีปะทะกับหมาป่าเกล็ดดำในตอนนั้น
ที่นี่ สวี่ชิงนั่งลงขัดสมาธิ เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“ตอนนั้นข้าผนึกเจ้าที่นี่
“เช่นนั้นวันนี้ ใช้ที่นี่เป็นขอบเขต อย่าไปที่ส่วนลึกของพื้นที่ต้องห้าม และไม่ต้องไปที่กลุ่มศาลเจ้าด้วย ที่อื่นแล้วแต่เจ้าจะแผ่ขยายออกไป
“ทำให้ข้าเห็น ว่าเจ้าจะเติบโตได้ถึงระดับใด”
เมื่อสวี่ชิงกล่าวออกมา เจ้าเงาใต้เท้าเขาก็แผ่ขยายออกร้อยจั้งในพริบตา ดวงตานับไม่ถ้วนลืมตาขึ้นในนั้น ขณะมองไปที่สวี่ชิง ก็ส่งคลื่นอารมณ์มาว่า
“ขอบคุณ…นายท่าน…”
พูดจบ อาณาเขตร้อยจั้งก็เลือนรางไปในพริบตา แผ่ขยายไปรอบทิศอย่างรวดเร็ว ปกคลุมต้นหญ้าที่ไม่ได้กลายพันธุ์เพราะเจ้าพื้นที่ต้องห้ามในพื้นที่ต้องห้ามแห่งนี้
ไอพลังประหลาดมหาศาล รวมตัวกันมาจากทั้งแปดทิศ ทะลักเข้าไปในตัวเจ้าเงา เสียงเคี้ยวดังลั่นไปทั่วอาณาบริเวณ
ต้นหญ้าก็ดี ต้นไม้ใหญ่ก็ดี ราวกับกลายเป็นอาหารของเจ้าเงาทั้งหมด
อสูรกลายพันธุ์เหล่านั้นในที่แห่งนี้ก็เช่นเดียวกัน เสียงร้องโหยหวนดังก้องไปทั้งพื้นที่ต้องห้าม ส่วนคนเก็บกวาดที่เข้ามาที่นี่ หลังจากสัมผัสทุกอย่างได้ก็สั่นสะท้านกันหมด เลือกหลบหนีทันที
สำหรับคนเก็บกวาดเหล่านี้ หลังจากเจ้าเงาครุ่นคิด ก็ไม่กล้ากลืนกิน มันไม่แน่ใจท่าทีของสวี่ชิง จึง กลืนกินอสูรกลายพันธุ์กับไอพลังประหลาดต่อไป
กลิ่นอายของมันค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และต้นหญ้าและต้นไม้ใหญ่ที่มันกลืนกิน ก็ไม่ได้สลายหายไปจริงๆ แต่เปลี่ยนรูปลักษณ์ ต้นหญ้ามีดวงตาผุดออกมาเต็มไปหมด ต้นไม้ใหญ่กลายเป็นโลงศพ
อสูรกลายพันธุ์ที่ถูกเจ้าเงากลืนกินก็เช่นกัน ล้วนมีดวงตาผุดออกมามหาศาล จากนั้นก็ฟื้นคืนชีพ
ราวกับมันใช้วิธีนี้ กลืนกินอำนาจในพื้นที่ต้องห้าม
เวลาก็ผ่านไปถึงสามวันเช่นนี้
พื้นที่ต้องห้ามประมาณหนึ่งส่วนแผ่กลิ่นอายเจ้าเงาออกมา รูปร่างลักษณะเปลี่ยนไปแล้ว
ส่วนการกลืนกินของเจ้าเงาก็มาถึงจุดอิ่มตัวแล้ว กลืนกินต่อไม่ได้ ตลบม้วนกลับมาจากทั่วสารทิศ ไปยังจุดที่สวี่ชิงนั่งขัดสมาธิอยู่ แผ่คลื่นพลังที่เกือบจะทะลวงขั้นรวมถึงความเบิกบาน
สวี่ชิงลืมตาขึ้น มองไปอย่างเย็นชา
“กลืนกินไปหนึ่งส่วน ถึงฝืนทะลวงขั้นได้ ยังไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไรนะ”
เจ้าเงาที่เดิมทีภาคภูมิใจ เมื่อได้ยินก็สั่นไหว รีบร้อนส่งอารมณ์ออกมา
“ต่อเนื่อง…ค่อยๆ…แข็งแกร่ง…”
“รีบทะลวงขั้น” สวี่ชิงแค่นเสียงเย็นชา
เจ้าเงาสั่นเทา รีบร้อนหดกลับมา ไม่นานนักต้นไม้ใหญ่ขนาดยักษ์สูงร้อยจั้งต้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสวี่ชิง
ต้นไม้นี้หนาใหญ่ ยอดไม้เหมือนร่ม ขณะที่พลังน่าครั่นคร้าม ก็แผ่กลิ่นอายไม่ธรรมดาออกมาเป็นระยะ บนต้นไม่มีใบไม้ แต่มีดวงตาสีแดงชาดงอกออกมาเต็มไปหมด
แต่แววตาของดวงตาทุกดวงล้วนไม่ใช่ความดุร้าย แต่เป็นความเชื่อฟัง
จึงยิ่งดูแปลกประหลาด
หลิงเอ๋อร์โผล่ออกมาจากแขนเสื้อสวี่ชิง มองต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น อ้าปากส่งเสียงใส
“สู้ๆ!”
คำพูดของนาง เห็นได้ชัดว่าให้กำลังใจเจ้าเงา ทำให้เจ้าเงาตื่นเต้นอย่างมาก กิ่งไม้สั่นไหวอย่างรุนแรง เสียงครืนครันผ่าฟ้าทลายดินดังกึกก้องออกมาจากร่าง
พริบตาต่อมา ต้นไม้ร้อยจั้งต้นนี้ก็รูปลักษณ์เปลี่ยนไป กลายเป็นโลงศพขนาดยักษ์โลงหนึ่ง ดวงตาผุดขึ้นมาเต็มไปหมดเช่นกัน กลิ่นอายของมันแข็งแกร่งยิ่งกว่า ทั้งยังมีจิตแห่งความตายแผ่ซ่านไปรอบทิศ
จากนั้นทุกอย่างก็กลายเป็นคลื่นวนสีดำ ด้านในมีเสียงคำรามดิ้นรนลอดออกมา สภาวะขั้นที่สามของเจ้าเงากำลังก่อร่าง
สวี่ชิงจ้องคลื่นวนสีดำเขม็ง ความคาดหวังปะทุขึ้นมาในใจ
บางครั้งประโยชน์ของเจ้าเงาก็มีประสิทธิผลที่อยู่เหนือความคาดหมาย ดังนั้นหลังจากที่เข้าใจความน่ากลัวในพลังสะกดของผลึกวารีสีม่วง เขาก็หวังว่าเจ้าเงาจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
“ขั้นสาม จะเปลี่ยนเป็นอะไร”
ตอนที่สวี่ชิงพึมพำเสียงต่ำ ในคลื่นวนสีดำนั้นก็มีเสียงครืนครันดังออกมา ขนาดของมันขยายใหญ่ขึ้นในพริบตา เปลี่ยนจากร้อยจั้งเป็นพันจั้ง ลอยขึ้นกลางอากาศ
ไม่ได้ตั้งตรง แต่แผ่ขยายออกไป ราวกับเป็นเมฆดำปกคลุมท้องฟ้าพันจั้ง
น้ำฝนสีดำโปรยปรายจากคลื่นวนลงบนพื้น เมื่อสังเกตอย่างละเอียดจะเห็นว่านี่ไม่ใช่น้ำฝน แต่เป็นเงาที่น่าตื่นตะลึง
ในอาณาเขตพันจั้งมืดมิดไปหมด ราวกับอาณาบริเวณนี้ถูกแยกออกมา
ภาพนี้ สวี่ชิงที่เห็นก็เริ่มประทับใจบ้างแล้ว
นักพรตซือหนานรวมถึงผู้ครองกระบี่เมืองหลวงเขตปกครองบนท้องฟ้าก็พากันชำเลืองมอง
ตอนนี้เอง เสียงอัสนีก็ดังกัมปนาทออกมาจากคลื่นวน ใบหน้าขนาดยักษ์ดวงหนึ่งนูนเด่นออกมาจากในนั้น
ทั้งๆ ที่ใบหน้าไม่คุ้นเคยตอนนี้กำลังร้องคำราม ทว่าที่เสียงที่ดังออกมากลับเป็นเสียงอัสนีฟาดผ่า ราวกับเสียงของเขา ถูกช่วงชิงความรู้ความเข้าใจไป แล้วมอบเสียงสายฟ้าให้
และการคงอยู่ของมันก็ไม่นานนัก แค่ไม่กี่อึดใจก็สลายหายไปในคลื่นวนอีกครั้ง ขณะเดียวกัน คลื่นพลังปราณก่อกำเนิดวูบหนึ่ง ก็แผ่ออกมาคลื่นวน
รูปร่างของมันก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ไม่ใช่คลื่นวนอีกต่อไป แต่กลายเป็นม่านดำขนาดพันจั้งกลางท้องฟ้า ราวกับเป็นปานดำบนท้องฟ้า
ยิ่งมีคลื่นอารมณ์ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าอีกคลื่นหนึ่ง สะท้อนก้องในคลื่นวน
“ข้า..แข็ง…แกร่ง!”
สวี่ชิงแค่นเสียงเย็นชา
คลื่นอารมณ์นี้ก็แผ่ความหวาดกลัวในพริบตา เปลี่ยนความนัย
“ข้า…อ่อน…แอ”
จากนั้น ไม่ต้องรอให้สวี่ชิงถาม เจ้าเงาที่กลายเป็นม่านฟ้าสีดำ ก็สำแดงความสามารถใหม่ออกมาทันที แค่เห็นว่ากลางม่านฟ้าพันจั้ง ปรากฏดวงดาราขึ้นมากมาย
ราวกับว่า อาณาเขตพันจั้งนี้ไม่ใช่ปานดำ แต่กลายเป็นท้องฟ้า
ดวงดาราแต่ละดวงเหล่านั้นเป็นดวงตาที่น่าสะพรึงกลัว พวกมันส่องแสงพร่างพราย กลายเป็นแสงระยิบระยับจากการกะพริบตา
“นายท่าน…ข้าอำพราง…หลบหนี…ส่งข้าม…”
คลื่นอารมณ์ของเจ้าเงา บอกเล่าความสามารถของตัวเองออกมาอย่างรวดเร็ว
สวี่ชิงขมวดคิ้ว การวิวัฒนาการของเจ้าเงาครั้งนี้ นอกจากกระบวนการและรูปร่างลักษณะที่ค่อนข้างแปลกประหลาด ด้านความสามารถก็เหมือนจะไม่ได้โดดเด่นถึงเพียงนั้น
เมื่อสังเกตเห็นว่าสวี่ชิงไม่พอใจ ม่านฟ้าพันจั้งก็สั่นระริก เจ้าเงารีบสื่อคลื่นอารมณ์ออกมาอีกครั้ง
“ดวงตา…ชิงร่าง…ปิดผนึก…”
“เท่านี้หรือ” สวี่ชิงสายตาเย็นชาเล็กน้อย
เจ้าเงายิ่งสั่นเทา เอ่ยเสียงดัง
“ข้า…ชิงร่าง…เทพเจ้า!”
ม่านตาสวี่ชิงหดเกร็ง ลุกขึ้นยืน มองไปที่ม่านฟ้าพันจั้ง
“อนาคต…” บนม่านฟ้า ดวงตาทั้งหมดกะพริบเล็กน้อย
สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ เอ่ยเสียงราบเรียบ
“กลับมานี่”
ม่านฟ้าพันจั้งร่อนลงมากลับมาอยู่ด้านหลังสวี่ชิงในพริบตา ขณะที่กำลังสั่นเทา หลิงเอ๋อร์ก็หัวเราะเบาๆ
“พี่สวี่ชิง เจ้าเงาน้อยพยายามมากแล้วนะเจ้าคะ”
พูดจบ หลิงเอ๋อร์ ก็ขยิบตาให้สวี่ชิง
เจ้าเงาสั่นระริก คลื่นอารมณ์ตื้นตันปะทุขึ้น มันไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน ความรู้สึกที่สัมผัสได้ทั้งหมดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นความเย็นชาที่มาจากสวี่ชิง
ดังนั้นความอบอุ่นเพียงหนึ่งเดียวในความเยือกเย็นนี้ ก็ทำให้มันรู้สึกซาบซึ้งใจกับหลิงเอ๋อร์อย่างมากทันที ไม่รู้ว่าจะตอบแทนอย่างไร ดังนั้นมันจึงบิดร่าง เล่นกลต่างๆ เพื่อทำให้หลิงเอ๋อร์หัวเราะ
เสียงหัวเราะนี้ ทำให้เจ้าเงาก็แผ่คลื่นอารมณ์ดีใจ แต่พริบตาต่อมามันก็เห็นสีหน้าไร้อารมณ์ของสวี่ชิงดวงนั้น จึงยังสั่นเทาอยู่ จึงไม่กล้าแสดงความดีใจมากเกินไป
สวี่ชิงไม่ได้สนใจเจ้าเงา ลุกขึ้นไหววูบ ทะยานไปที่เรือศึกบรรพกาล ตอนที่ก้าวเข้าไป นักพรตซือหนานก็มองสวี่ชิงอย่างล้ำลึกผาดหนึ่ง สหายร่วมรบเหล่านั้นของเขาก็พากันคลี่ยิ้มออกมา
สวี่ชิงก็ยิ้มเช่นกัน ขอบคุณพวกเขา หันหน้ามองไปยังส่วนลึกของพื้นที่ต้องห้าม
ราวกับว่าสัมผัสได้ถึงสายตาของสวี่ชิง ปราณหมอกส่วนลึกพื้นที่ต้องห้ามตีเกลียว ชิงฉินพุ่งออกมาอย่างฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่า ส่งเสียงร้องแกว๊กอย่างพึงพอใจบนท้องฟ้า
ส่วนมันไปทำอะไรที่นั่น คนนอกไม่อาจล่วงรู้
สวี่ชิงสงสัยเล็กน้อย กวาดตามองไปยังพื้นที่ต้องห้าม ปราณหมอกที่นั่นหอบม้วนอย่างรวดเร็ว มองอะไรไม่เห็นเลย
ทว่าสุดท้ายเห็นชิงฉินไม่เป็นอันใด สวี่ชิงจึงไม่ได้ขบคิดอะไรกับเรื่องนี้มากนัก ไม่นาน เรือศึกบรรพกาลก็หวีดหวิว พุ่งทะยานไปยังผืนอินทนิล
ที่นั่น คือที่สุดท้ายในการเดินทางครั้งนี้ของสวี่ชิง
หลังจากผ่านเรื่องราวในพื้นที่ต้องห้าม เขาก็ตัดสินใจจะถามเรื่องก่อนที่ปรมาจารย์ไป๋จะตาย มีอะไรผิดปกติหรือไม่
ตอนนั้นเขาไปที่ผืนอินทนิล จดจ่ออยู่กับเรื่องการแก้แค้นหลังจากที่ปรมาจารย์ไป๋ตาย มองข้ามเรื่องตอนที่ยังมีชีวิตไป
ส่วนคำพูดของเจ้าพื้นที่ต้องห้าม ทำให้สวี่ชิงรู้สึกว่า เรื่องนี้ เกรงว่าจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่