ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 546-2 มารฟ้าชิงอายุขัย ปราณที่สิบสามปรากฏ (2)
บทที่ 546-2 มารฟ้าชิงอายุขัย ปราณที่สิบสามปรากฏ (2)
ในขวดใบแรกบรรจุศพของผู้บำเพ็ญปราณก่อกำเนิดเผ่าพรางมารยาที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งเอาไว้
นี่คือศพที่นายท่านเจ็ดหาอยู่นานถึงจะหาให้สวี่ชิงได้ อย่างไรเสียเผ่านี้ก็พบเห็นได้ยาก
ประโยชน์ของมันคือเพิ่มพลังพรางมารยาของสวี่ชิง ทำให้เขาสามารถชิงปราณของศัตรูมาได้
ในขวดที่สองเป็นคลื่นวนสีเลือดที่ฉายความศักดิ์สิทธิ์ออกมาลูกหนึ่ง
นี่คือไขกระดูกที่นายท่านเจ็ดหลอมออกมาจากก้างปลาเทพเจ้า เพราะเทพเจ้าแดนต้องห้ามเซียนแตกดับ ทุกอย่างขององค์ท่านไร้เจ้าของ สามารถใช้ได้อย่างวางใจ
วิธีการใช้มันก็พิเศษมาก ต้องใช้ปราณมรรคาสวรรค์ของสวี่ชิงหลอมผสานมัน หลังจากนี้ก็จะใช้พลังมรรคาสวรรค์ดูดเอาอายุขัยสวรรค์ในปราณของศัตรูมาได้
ขวดใบที่สาม ในนั้นมีผีร้ายแดนกาฬกาลกิณีแสนตนบรรจุอยู่
ตอนนั้นไป๋เซียวจัวใช้ก้างปลาสามอันรวมกับวิญญาณจื่อชิงในการกำหนดสถานที่เป้าหมาย สุดท้ายก็เปิดช่องในแดนกาฬกาลกิณีได้ช่องหนึ่ง ทำให้วิญญาณร้ายมหาศาลลงมาเยือน แม้จะถูกย้ายไปยังโลกวิญญาณบรรพกาลอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังเหลืออีกจำนวนหนึ่งอยู่ข้างนอก
วิญญาณเหล่านี้ไม่เพียงแค่ดุร้ายน่าหวาดกลัวเท่านั้น ยิ่งมีความคิดฟุ้งซ่านมหาศาล ความทรงจำก่อนและหลังตาย ทำให้พวกมันตกอยู่ในความบ้าคลั่งอยู่ทุกชั่วขณะ
ภายหลังนายท่านเจ็ดหาเจอ ผสานพวกมันไปในขวดใบเล็กที่พิเศษใบนี้ทำการหลอม
ทันทีที่จิตฟุ้งซ่านของผีร้ายแดนกาฬกาลกิณีในนั้นถูกหลอม พวกมันจะกลายเป็นเมล็ดพันธุ์ของร่างมารฟ้า แม้สังหารผีร้ายในแดนกาฬกาลกิณีมากเกินไปจะถูกแดนกาฬกาลกิณีทำเครื่องหมายสัญลักษณ์ แต่ร่างของสวี่ชิงพิเศษ ขอเพียงแค่จำนวนไม่มหาศาลเกินไป ก็จะไม่เป็นไร
สวี่ชิงมองพวกนี้ ในใจซาบซึ้ง ยิ่งมีความเข้าใจต่อคำว่าคิดค้นให้โดยเฉพาะได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
เคล็ดวิชามารฟ้าชิงอายุขัยเท่ากับนำความสามารถที่สวี่ชิงมีทั้งหมดทำให้ยอดเยี่ยมขึ้นในระดับสูงสุด รวมกับปรับสมดุล สุดท้ายก็เกิดเป็นวิชาเฉพาะอันเป็นเอกลักษณ์
‘ทุกอย่างล้วนมีการเตรียมการ ตอนนี้สิ่งที่ต้องการคือการผจญเคราะห์ปราณก่อกำเนิดครั้งสุดท้ายของข้า’ สวี่ชิงสัมผัสปราณที่สิบสามของตัวเองเล็กน้อย ท่ามกลางความรางเลือนก็สัมผัสอะไรได้ ภายในไม่กี่วันจะมีเคราะห์มา
สวี่ชิงถือขวดใบเล็กวิญญาณแดนกาฬกาลกิณีขึ้นมา ตรวจดูเล็กน้อย รู้สึกว่าความเร็วในการหลอมค่อนข้างช้าเนิบ
“ต้องใช้เวลาหลายเดือนถึงจะได้…” สวี่ชิงพึมพำ ไม่นานนักแววตาฉายประกายเย็นเยือก เขานึกออกวิธีหนึ่ง
ในตอนที่ในใจเขาขบคิดถึงความเป็นไปได้ แผ่นหยกสื่อเสียงก็สั่น หลังจากสวี่ชิงนำออกมาดูก็เห็นว่าผู้ที่สื่อเสียงมาคือโหวเหยา
สวี่ชิงเงียบนิ่งไปหลายอึดใจ ผสานประสาทสัมผัสเทพเข้าไป เอ่ยอย่างเคารพนอบน้อม
“คารวะเจ้าเขตปกครอง”
เสียงของโหวเหยาดังก้องในจิตใจของเขา
“สวี่ชิง
“ติดต่อมู่เยี่ยได้แล้ว”
สวี่ชิงดวงตาจ้องเพ่ง
“ตอนนี้ทุกอย่างราบรื่น มู่เยี่ยทำตามข้อเสนอของพวกเรา จะผลักดันมอบพื้นที่เขตปกครองของรัฐสายลมสวรรค์ให้แก่เขตปกครองผนึกสมุทรเรา
“แต่ว่ายังมีปัญหาอีกจุดหนึ่ง เขตปกครองนี้ห่างจากเขตปกครองผนึกสมุทรเราค่อนข้างไกล ไม่ได้เป็นพื้นที่ติดต่อกัน ไม่มีความหมายสักเท่าไร”
โหวเหยาเอ่ยอย่างสงบนิ่ง ไม่ได้พูดอะไร หลังจากบอกเรื่องเกี่ยวกับมู่เยี่ยแล้ว เขาก็บอกสวี่ชิงเกี่ยวกับสถานการณ์ของเขตปกครองผนึกสมุทรในตอนนี้เล็กน้อย รวมถึงเรื่องที่การเข้าเป็นพวกของต่างเผ่าและสามมณฑลขององค์ชายเจ็ดยังไม่คืนกลับมาด้วย
เขาใช้วิธีของตัวเองถ่ายทอดสถานการณ์โดยรวมให้สวี่ชิง
ทั้งหมดไม่พูดถึงผืนอินทนิลเลย สวี่ชิงก็ไม่ได้ถาม ทั้งสองรู้กระจ่าในใจงแต่ไม่พูดออกมา และสำหรับสวี่ชิงก็เคารพนอบน้อมโดยตลอด
ความเคารพนอบน้อมนี้ทำให้บนใบหน้าของโหวเหยาที่จวนเหยามีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา
เขานึกย้อนถึงอดีตของสวี่ชิง โดยเฉพาะหลังจากที่ฐานะของสวี่ชิงเปลี่ยนไป พบว่าตลอดมา อีกฝ่ายแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไร
“ยึดมั่นปณิธานดั้งเดิมหาได้ยากยิ่ง”
โหวเหยาพึมพำในใจ จบสิ้นการพูดคุยกับสวี่ชิง
สวี่ชิงวางแผ่นหยกลง มองไปทางจวนเหยา
วิธีการของโหวเหยา แม้จะมีบางแห่งที่ยังต้องหารือปรับปรุง แต่ไม่ว่าอย่างไร ผู้ที่มีความคิดล้ำลึกเช่นนี้ดูแลปกครองเขตปกครองผนึกสมุทร ก็ทำให้คนรู้สึกมั่นคงไร้กังวล
เงื่อนไขคือ ต้องเชื่อใจเขา
นานจากนั้นสวี่ชิงถึงได้ดึงสายตากลับมา มีนายท่านเจ็ดอยู่ นี่ไม่ใช่ปัญหาที่เขาควรไปขบคิด แม้โลกภายนอกจะเล่าลือกันว่าตำแหน่งฐานะของเขาสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง แต่สวี่ชิงรู้ดี ไม่ว่าอย่างไร ตัวเองก็เป็นเพียงแค่ระดับก่อกำเนิดลวงเท่านั้น
หากมองว่าสิ่งที่คนอื่นคิดเป็นเรื่องที่ถูกแล้ว แน่นอนควรเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว เช่นนั้นก็จะสูญเสียปณิธาน อุดมการณ์ดั้งเดิมของตัวเองไป
คนเช่นนี้สวี่ชิงไม่ชอบ เขาก็ไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นคนทีตัวเองเกลียด
เขาจึงทำทุกอย่างเหมือนกับในอดีต รักษาความเคารพนอบน้อมเอาไว้ รักษาความระมัดระวังเอาไว้ ไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นบุคคลยิ่งใหญ่
มีเพียงในด้านมุมมองและความคิด เขาพยายามไปดูดซับความรู้ทุกอย่างจากโลกภายนอก ทำให้ตัวเองยิ่งสมบูรณ์แบบขึ้นอีก
ตอนนี้เก็บแผ่นหยกลงไป สวี่ชิงหลับตานั่งสมาธิ ทั้งกายและใจจมอยู่ในการบำเพ็ญเพียร
เวลาไหลผ่านไปเช่นนี้
สามวันหลังจากนั้น บนท้องฟ้าเหนือวังครองกระบี่มีคลื่นวนเมฆเคราะห์ปรากฏขึ้น ท่ามกลางการหมุนวนเสียงดังครืนครันเลื่อนลั่น สายฟ้าทางหนึ่งพลันฟาดลงมา พุ่งตรงไปยังตำหนักอาลักษณ์ที่สวี่ชิงอยู่
ปราณที่สิบสามของสวี่ชิงในเสี้ยวขณะนี้ก็ลอยขึ้นฟ้า เผชิญกับอัสนีสวรรค์
ท่ามกลางเสียงดังกึกก้อง พลังเคราะห์อัสนีปกคลุมไปรอบปราณของสวี่ชิง แปรเปลี่ยนเป็นแสงคลื่นทรงวงรีเป็นทางๆ แผ่ซ่านมา จากนั้นอัสนีสวรรค์ทางที่สองที่ยิ่งมีพลังปะทุบ้าคลั่งก็พลันฟาดลงมา
จิตสังหารก็พวยพุ่งจากปราณที่โจมตีเป็นหลักของสวี่ชิง ในดวงตาของเขาฉายแววดุดัน พลันเงยหน้าขึ้น พุ่งไปบนท้องฟ้า เผชิญหน้ากับเคราะห์สวรรค์
เสียงดังก้องไปทั่วสารทิศ ดึงดูดความสนใจจากผู้คนในเมืองหลวงเขตปกครอง โดยเฉพาะวังครองกระบี่ยิ่งเป็นเช่นนั้น พวกเขารู้ นี่คือทัณฑ์ลิขิตสวรรค์ปราณก่อกำเนิดของสวี่ชิง อัสนีจากเคราะห์แรกมีทั้งหมดสามทาง
แม้ความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุไม่คาดฝันนั้นน้อยมาก แต่นายท่านเจ็ดและจื่อเสวียน ต่างเงยหน้าต้องเพ่งมาจากคนละที่ เตรียมพร้อมที่จะลงมือช่วยเหลือสนับสนุน
จวบจนเคราะห์อัสนีทางที่สามฟาดลงมา หลังจากปกคลุมปราณโจมตีของสวี่ชิง จากเสียงกรีดหวีดแหลมที่ปราณส่งเสียงออกมา เคราะห์สวรรค์ก็สิ้นสุด เมฆหมอกสลายไป แสงพรายรุ่งสาดทอลงมา ก่อเป็นพลังอายุขัยสวรรค์ ซัดโหมเข้าไปในกายปราณที่สิบสามของสวี่ชิง
ครั้งนี้ พลังอายุขัยสวรรค์ที่ฟาดลงมาเทียบกับเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงของปลัดเขตปกครองเมื่อตอนนั้นแล้วน้อยกว่ามากๆ อย่างไรเสียหนึ่งปราณผจญเคราะห์ระดับความยากน้อยที่สุด ดังนั้นผลเก็บเกี่ยวย่อมไม่อาจเทียบกับสิบสองปราณผจญเคราะห์ได้
แต่ว่านี่ก็ไม่เป็นไร เคล็ดวิชามารฟ้าชิงอายุขัยจะทำให้การฝึกฝนภายหลังจากนี้ของสวี่ชิงจะชดเชยพลังอายุขัยสวรรค์ แต่เขาในตอนนี้ในที่สุดก็ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญระดับก่อกำเนิดลวงอีกต่อไป
ในตำหนักอาลักษณ์ จากการกลับมาของปราณโจมตีเป็นหลักของสวี่ชิง ก็ผสานเข้าไปในร่างกายทันที สวี่ชิงลืมตา ในดวงตาฉายประกายแสงสีม่วง เอ่ยพึมพำเสียงเบา
“ปราณ!”
สิบสามวังบริบูรณ์ เปลี่ยนเป็นปราณแล้วทั้งหมด ผจญเคราะห์ครั้งที่หนึ่งแล้วทั้งหมด
‘เช่นนั้นก็เหลือเพียงแค่ขั้นตอนสุดท้าย ก็จะสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชามารฟ้าชิงอายุขัยได้แล้ว!’
สวี่ชิงเอาขวดยาลูกกลอนที่อาจารย์มอบให้ออกมา
ในขวดนี้แฝงไว้ด้วยฟ้าดิน ในระดับหนึ่งก็นับว่าเป็นวัตถุเก็บของ วิญญาณร้ายแดนกาฬกาลกิณีพวกนั้นในนั้นกำลังอยู่ในขั้นตอนการถูกหลอม
จ้องมองวิญญาณร้ายพวกนี้ หลังจากสวี่ชิงขบคิดในดวงตาก็ฉายแววมุ่งมั่น ก่อนหน้านี้เขามีความคิดในการเร่งความเร็วการหลอม หลายวันมานี้หลังจากที่วิเคราะห์ เขาคิดว่ามีโอกาสความเป็นไปได้สูง
ตอนนี้ลุกขึ้น สวี่ชิงเดินออกไปนอกตำหนักอาลักษณ์ ตรงไปยังสำนักมายาจำแลงปีศาจเมืองหลวงเขตปกครอง
หลังจากผ่านสงครามมา สำนักมายาจำแลงปีศาจที่ผูกติดกับวังครองกระบี่ แม้พลังโดยรวมจะได้รับความเสียหาย แต่สำหรับสำนักสุดยอดเช่นนี้ ฟื้นฟูไม่ใช่เรื่องยาก
ดังนั้นในตอนที่สวี่ชิงมาถึง ก็เห็นว่าในสำนักมายาจำแลงปีศาจ จำนวนลูกศิษย์ก็ยังคงมีมากมหาศาลเช่นเดิม
ไม่ได้ทำให้เป็นเรื่องเอิกเกริก เป้าหมายของสวี่ชิงชัดเจน สถานที่เขาจะไป คือโลกมายา สถานที่สำนักมายาจำแลงปีศาจควบคุมดูแล
ผ่านค่ายกลส่งข้ามในสำนัก เงาร่างสวี่ชิงหายไปจากเขตปกครองผนึกสมุทร ในตอนที่ปรากฏตัวขึ้นก็มาอยู่ในห้วงมายา ยังคงเป็นในร่างก้างปลาตัวนั้นเหมือนเช่นเคย
สำหรับการเดินทางไปโลกมายา สวี่ชิงเชี่ยวชาญแล้ว ดังนั้นไม่นานเท่าไร หลังจากที่เขามองเห็นรูปสลักทะลุหน้าอกมหึมารูปนั้น ร่างก็ถูกฟองอากาศที่ก้างปลาพ่นออกมาหุ้มเอาไว้ ประชิดเข้าไปใกล้อย่างรวดเร็ว
เพียงพริบตา สวี่ชิงก็เข้ามาในโลกมายา
ในพริบตาที่ปรากฏขึ้น ต้นไม้สมองมหึมาเหล่านั้นที่แต่เดิมสบายใจเป็นอิสระก็สั่นสะท้านกันทั้งหมด พวกมันจำกลิ่นอายของสวี่ชิงได้ พลันถอยหลังไป หนีกระเจิงไปทุกทิศ
ยิ่งมีข้อมูลมหาศาลเปลี่ยนเป็นระลอกคลื่น แผ่ออกไปรอบๆ ไม่หยุด บอกกับสมาชิกในเผ่าว่าหัวขโมยคคนนั้น มันมาอีกแล้ว!
ดังนั้น สวี่ชิงที่มาเยือนที่นี่ สิ่งที่เห็นคือรอบๆ ตัวที่ว่างโล่งและเงาร่างที่หนีอยู่ที่ไกลลิบๆ
หลิงเอ๋อร์โผล่หัวออกมาจากปกเสื้อ มองไปรอบๆ อย่างสงสัย
“พี่สวี่ชิง ที่นี่คือที่ใดหรือเจ้าคะ ทำไมพวกมันถึงหนีหรือ เหมือนว่าจะกลัวท่านมาก”
“นี่คือโลกมายา เป็นสถานที่ที่น่าสนใจแห่งหนึ่ง พวกมันไม่ได้หนี นี่คือวิธีต้อนรับวิธีหนึ่ง”
สวี่ชิงเอ่ยสงบนิ่ง ก้าวเท้าขยับวูบ ข้างหลังมีปีกสีเลือดข้างหนึ่งปรากฏขึ้น ขณะที่กระพือความเร็วก็ปะทุ ไล่ตามไปในทันที เข้าไปใกล้ต้นไม้สมองที่หนีได้ช้าต้นหนึ่ง
ต้นไม้สมองต้นนั้นส่งจิตเทพหวีดแหลมออกมา
“ไม่กินๆๆ!”
สวี่ชิงไม่สนใจ ยกมือคว้ามันเอาไว้ หยิบเอาขวดลูกกลอนที่บรรจุวิญญาณผีร้ายแดนกาฬกาลกิณีออกมา อาศัยพลังเก็บของในนั้น ส่งต้นไม้สมองต้นใหญ่ต้นนี้เข้าไป
นี่ก็คือวิธีที่สวี่ชิงคิดได้
สมองในโลกมายาชอบกินความทรงจำ อีกทั้งแฝงไว้ด้วยความชั่วร้ายและความละโมบ จะหลอกผู้มาเยือนอยู่ตลอด ทำให้พวกเขาลืมเหตุการณ์การแลกเปลี่ยน
เช่นนี้ก็จะสามารถทำการแลกเปลี่ยนได้ครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งกินอีกฝ่ายจนกลายเป็นคนไม่มีความทรงจำ
สวี่ชิงรู้สึกว่าต้นไม้ใหญ่แบบนี้น่าจะเหมาะนำไปชำระล้างวิญญาณร้ายแดนกาฬกาลกิณีมาก ในเมื่อฝ่ายหลังเต็มไปด้วยความทรงจำฟุ้งซ่าน
ความจริงก็เป็นเช่นนี้ ต้นไม้สมองนั่นเดิมยังคงกรีดร้อง แต่เมื่อเข้าไปในขวดยาลูกกลอนแล้ว ในยามที่สังเกตเห็นผีร้ายแดนกาฬกาลกิณีรอบๆ มันก็เนื้อตัวสั่นเทา
นั่นเกิดจากความตื่นเต้น
มันเข้าไปใกล้วิญญาณดวงหนึ่งอย่างรวดเร็ว ชั้นเปลือกสมองมีสายฟ้าแลบแปลบปลาบนับไม่ถ้วน จากการหดกระชับ เหมือนว่าดูดอะไรไปได้ และสีหน้าของวิญญาณดวงนั้นก็ไม่เหี้ยมเกรียมอีกต่อไป เปลี่ยนเป็นเหม่อลอย
“ได้ผล!”
สวี่ชิงตื่นเต้น รีบพุ่งออกไปจับต่อทันที
แต่เขารู้เรื่องใดก็ตามจะทำเกินสมควรไม่ได้ ดังนั้นสุดท้ายหลังจากจับมาได้สามสิบกว่าต้นก็เลิก เดินทางจากไป ไม่ได้ไล่จับต่อ
แม้จะมีสมองเพียงสามสิบกว่าก้อน แต่ความเร็วในการกลืนกินความทรงจำของพวกมันรวดเร็วมาก และมากพอที่จะให้สวี่ชิงเร่งความเร็วในการฝึกฝน
เขาคำนวณๆ ดู มีสมองพวกนี้ อย่างมากห้าวัน วิญญาณแดนกาฬกาลกิณีพวกนี้ก็จะตรงกับเงื่อนไขการฝึกฝน
ดังนั้น สวี่ชิงจึงจากไปอย่างพออกพอใจ กลับมาถึงยังวังครองกระบี่เขตปกครองผนึกสมุทร เริ่มปิดด่าน ฝึกฝนเคล็ดวิชามารฟ้าชิงอายุขัย
เวลาครึ่งเดือนผ่านไปเพียงพริบตาเช่นนี้เอง
ในยามที่สวี่ชิงแปลงเคล็ดวิชามารฟ้าชิงอายุขัยเป็นเมล็ดพันธุ์ฝึกฝน สร้างพื้นฐานให้กับตัวเอง คอยหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา วันนี้ เขาได้รับสื่อเสียงจากอาจารย์
“เจ้าสี่ องค์ชายเจ็ดส่งทูตมา นำจดหมายเชิญมาให้
“เชิญให้เข้าเจ้าเดินทางไปยังพื้นที่ที่เดิมเป็นป่าต้นเซียนแท้สิบลำไส้เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ เข้าร่วมพิธีหวนกลับคืนของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์
“องค์ชายเจ็ดและเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ได้ทำข้อตกลงขั้นต้นแล้ว รอเมื่อจักรพรรดิมนุษย์เห็นชอบส่งราชโองการลงมา เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์นับจากนี้จะกลับคืนสู่เผ่ามนุษย์
“นอกจากเขาจะเชิญเจ้าไปงานเฉลิมฉลองแล้ว ยังเชิญเจ้าเข้าร่วมงานเลี้ยงส่วนตัวของเขา หารือเรื่องการกลับคืนของสามมณฑลเขตปกครองผนึกสมุทรด้วย
“จากข่าวของพวกเรา เผ่ามนุษย์มีบุตรชายชนชั้นสูงผู้มีอำนาจ ศิษย์ของผู้ยิ่งใหญ่เก่งกล้า หรืออัจฉริยะที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วเมืองหลวงจักรพรรดิจำนวนไม่น้อย ล้วนได้รับคำเชิญให้ไปเข้าร่วมทั้งสิ้น
“ดังนั้น เจ้าจะไปสักหน่อยหรือไม่”
ขณะเดียวกับที่สวี่ชิงฟังเสียงของอาจารย์ ในพื้นที่ต้นเซียนแท้สิบลำไส้เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์เดิม กำลังจะมีงานเลี้ยงขึ้น
จากการหายไปของต้นสิบลำไส้ในตอนนั้น หน้าตาของพื้นที่บริเวณนี้เปลี่ยนไปอย่างมหาศาล แผ่นดินเกิดเป็นหลุมลึกขนาดมหึมา
และการมาเยือนขององค์ชายเจ็ดในภายหลังก็ยึดครองพื้นที่แถบนี้ กลายเป็นฐานที่มั่นกองทัพ ดังนั้นรอบหลุมลึกจึงเต็มไปด้วยค่ายทหารสุดลูกหูลูกตา
รัฐเล็กๆ เหล่านั้นที่เดิมอยู่รอบๆ ก็หลายเป็นพื้นที่พักอาศัยของผู้บัญชาการกองทัพเมืองหลวงจักรพรรดิ โดยเฉพาะรัฐเล็กๆ รัฐหนึ่งที่ชื่อว่าระเบียบล้ำ เนื่องจากสีของวังคือสีน้ำเงิน องค์ชายเจ็ดชื่นชอบพอใจนัก
ดังนั้น วังหลวงของรัฐเล็กรัฐนั้นก็หลายเป็นพระราชนิเวศน์ชั่วคราวขององค์ชายเจ็ด
ตอนนี้ ในตำหนักพระราชนิเวศน์แห่งนี้ เสียงหัวเราะดังไม่ขาดสาย มีชายหนุ่มหญิงสาวสวมเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรานั่งอยู่ ทุกคนล้วนมีรัศมีความสูงส่ง พวกเขามาจากเมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์
องค์ชายเจ็ดนั่งอยู่ตำแหน่งตรงกลาง ยิ้มมองข้างล่าง แต่ไม่มีใครสังเกตว่า ในส่วนลึกของดวงตา ยามที่มองคนกลุ่มนี้แฝงไว้ซึ่งแววดูถูก
มีเพียงในยามที่มองไปทางหญิงสาวข้างหาย แววดูถูกในดวงตาองค์ชายเจ็ดถึงได้หายไป แฝงด้วยความล้ำลึกกลุ่มหนึ่ง เอ่ยขึ้นอย่างช้าเนิบ
“เสด็จพี่ ท่านมาครั้งนี้ ช่างกะทันหันนัก”
หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างบนเช่นเดียวกับองค์ชายเจ็ด ดูแล้วอายุประมาณยี่สิบ ผิวขาวราวหิมะ ดวงตาราวสายน้ำ แฝงด้วยความเย็นยะเยือกรางๆ คล้ายว่ามองทะลุซึ่งทุกสิ่ง
นิ้วมือเรียวที่หยิบจอกเหล้าขึ้นมาประดุจเทียนไข ในความขาวกระจ่างแฝงไว้ด้วยสีแดงระเรื่อ
อาภรณ์สีฟ้า ปักดอกท้อเอาไว้บางๆ งดงามสง่า เส้นผมดำขลับมุ่นเป็นหมวยหญิงงามสูงๆ ปักปิ่นงามวิจิตรปราณีต
ปกเสื้ออ้าออกเล็กน้อย เผยให้เห็นลำคอเรียวระหงขาวเนียน ยิ่งทำให้ดูหยิ่งทะนง
ได้ยินคำพูดนี้ ริมฝีแดงของนางก็เผยอเล็กน้อย ส่งเสียงเย็นเยือกออกมา
“น้องเจ็ดนี่กำลังจะหยั่งเชิงว่าข้ามาที่นี่ทำไมอย่างนั้นหรือ”
องค์ชายเจ็ดในดวงตามีแววล้ำลึก ถือจอกเหล้าขึ้นมา มองสุราที่อยู่ในนั้น แย้มยิ้มพลางเอ่ย
“กระหม่อมมิกล้า”