ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 547 กระพือลมโหมเปลวไฟ ยืมดาบฆ่าคน (1)
บทที่ 547 กระพือลมโหมเปลวไฟ ยืมดาบฆ่าคน (1)
เขตปกครองผนึกสมุทรในช่วงสงครามแรกๆ พื้นที่สามมณฑลที่ถูกเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ชิงไป หลังจากสงครามจบสิ้น องค์ชายเจ็ดรับช่วงดูแล
แต่จวบจนตอนนี้ก็ยังไม่ได้ส่งทั้งสามมณฑลกลับสู่เขตปกครองผนึกสมุทร
เรื่องนี้ก็สมเหตุสมผล สามมณฑลนั้นอย่างไรเสียก็เป็นองค์ชายเจ็ดที่นำกลับคืนมา เขตปกครองผนึกสมุทรก็เตรียมค่าตอบแทนเอาไว้พร้อมแล้ว
เพียงแต่ทางองค์ชายเจ็ดทางนั้น ก่อนหน้านี้ไม่ได้มีทีท่าว่าจะหารือ ในพื้นที่สามมณฑลทางนั้นก็ยังมีกองทัพตั้งค่ายอยู่จำนวนไม่น้อย
เพราะนี่เป็นเรื่องภายในเผ่ามนุษย์ ดังนั้นเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์จะไม่ก้าวก่าย แต่สามมณฑลนี้ผลิตหินวิญญาณมหาศาล ทั้งยังมีเขตเหมืองที่เป็นวัสดุหลอมอาวุธล้ำค่าจำนวนมาก สำหรับการฟื้นฟูในอนาคตของเขตปกครองผนึกสมุทรแล้วมีค่าไม่น้อยเลย
ดังนั้นจะให้หลุดมือไปไม่ได้
จนกระทั่งครั้งนี้ องค์ชายเจ็ดนอกจากจะเชิญชวนสวี่ชิงแล้ว ยังพูดถึงเรื่องการหารือคืนดินแดนอีกด้วย
“โหวเหยาอยากให้เจ้าไปสักหน่อย แต่ข้าไม่ได้รับปากไปในทันที เจ้าสี่ เรื่องนี้เจ้าตัดสินใจเอง
“แต่ว่า ด้านความปลอดภัยไม่มีปัญหา หากเจ้าเกิดเรื่องขึ้นในการเดินทางครั้งนี้ องค์ชายเจ็ดยากที่จะหนีความรับผิดชอบ จากนิสัยของเขา ไม่มีทางโง่ขนาดนั้น”
นายท่านเจ็ดชี้ส่วนได้ส่วนเสียให้สวี่ชิง
สวี่ชิงครุ่นคิด เขานึกถึงการจัดการบางอย่างของโหวเหยาก่อนหน้านี้ รวมถึงพื้นที่เขตปกครองที่เขตปกครองผนึกสมุทรกำลังรับช่วงต่ออย่างลับๆ ด้วย
ที่นั่นไม่ได้มีพื้นที่ติดกับเขตปกครองผนึกสมุทร สำหรับเขตปกครองผนึกสมุทรแล้วเป็นเหมือนโครงไก่ แต่สำหรับองค์ชายเจ็ดแล้ว ความหมายแตกต่างออกไป
‘ตอนนี้ดูไป โหวเหยาน่าจะคาดเดาเรื่องนี้เอาไว้แล้ว วางแผนเอาไว้ล่วงหน้า เหนือชั้นจริงๆ’
สวี่ชิงคิดๆ ศิษย์พี่ใหญ่ตอนนี้ยังไม่กลับมา ดังนั้นเขาทางนี้ยังมีเวลาอยู่บ้าง
ความคาดหวังของโหวเหยา คำถามของอาจารย์ ตลอดจนหลังจากที่ออกเดินทางคนที่เขาได้เห็นทุกคนล้วนทุ่มเทเพื่อความสงบมั่นคงของเขตปกครองผนึกสมุทร ในเมื่อเขาได้รับการเพิ่มพลังจากดวงชะตากว่าครึ่งของเขตปกครองผนึกสมุทร ดังนั้นก็ย่อมต้องแบกรับความรับผิดชอบในระดับที่เทียบเท่า
นอกจากนี้ สวี่ชิงรู้ดีว่าวันที่ศิษย์พี่ใหญ่กลับมา ก็จะเป็นเวลาที่ตนจะต้องเดินทาง
ตำแหน่งของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรานั่น สวี่ชิงก็เคยสืบค้นมาก่อน มันห่างไกลจากเขตปกครองผนึกสมุทรลิบลับ อยู่อีกฝั่งหนึ่งของแผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ มีแม่น้ำสายยาวเส้นหนึ่งชื่อว่าเซ่นทมิฬกั้นอยู่
ที่นั่น ในยุคจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวย่อมเป็นดินแดนของเผ่ามนุษย์ แต่ภายหลังสูญเสียไป ตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นของเผ่าฟ้าทมิฬเช่นกัน
แต่ในเผ่าฟ้าทมิฬมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่ง
แหล่งเพาะเลี้ยงวิญญาณวิญญาณ
อักษรแหล่งเพาะเลี้ยงนี้มีหลายความหมาย จะเอาไว้บรรยายถึงสวน ป่า ที่เอาไว้เพาะเลี้ยงปศุสัตว์ก็ได้ และเอามาบรรยายถึงที่ที่รวบรวมไว้ซึ่งสารสกัดแก่นแท้ก็ได้
ส่วนรายละเอียด ในเอกสารที่สวี่ชิงค้นหาไม่ได้มีคำบรรยายอะไรที่มากไปกว่านั้น นี่อาจเป็นเหตุผลที่นายกองต้องออกไปข้างนอกรวบรวมข้อมูลให้มากขึ้น
ดังนั้น สวี่ชิงจึงคิดจะทำอะไรให้เขตปกครองผนึกสมุทรก่อนที่จะเดินทาง จึงไม่ได้ปฏิเสธ
เช่นนี้เอง หลังจากนั้นสามสี่วัน กองทัพกองหนึ่งก็เดินทางออกจากเขตปกครองผนึกสมุทร
การออกเดินทางครั้งนี้เป็นหลี่อวิ๋นซานเจ้าวังครองกระบี่นำทัพ ยิ่งมีรองเจ้าวังพิธีการและรองเจ้าวังอาญาที่ได้รับตำแหน่งใหม่เดินทางร่วมด้วย
และยังมีผู้ดูแลทั้งสามวังจำนวนหกคนติดตามไปด้วย
ส่วนกองทัพก็มีวังครองกระบี่เป็นหลัก โดยเลือกมาจากในบรรดาผู้ครองกระบี่ที่ผ่านประสบการณ์สงครามอย่างโชกโชนเหล่านั้นมาสองหมื่นคน เกรียงไกรทรงพลัง เดินทางออกไปจากเขตปกครองผนึกสมุทร
ข่งเสียงหลงก็อยู่ในนี้ด้วย
หลังจากเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงปลัดเขตปกครอง ข่งเสียงหลงดื่มเหล้าน้อยลงแล้ว ความทุ่มเททั้งหมดของเขานอกจากอยู่ที่การฝึกบำเพ็ญของตัวเองแล้ว ส่วนมาล้วนทุ่มไว้ที่กรมอาลักษณ์ กุมอำนาจไว้มหาศาล
ยิ่งได้รับการให้ความสำคัญจากหลี่อวิ๋นซาน อบรมสั่งสอนให้เขาเป็นผู้สืบทอดวังครองกระบี่เขตปกครองผนึกสมุทรในอนาคต
กองทัพเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วเลื่อนลั่น เรือศึกบรรพกาลลำมหึมาพันกว่าลำเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว ฉายเงามหึมาลงมา ปกคลุมไปบนขุนเขาและสายน้ำ
ข้างหน้าสุดเป็นกระบี่สัมฤทธิ์โบราณเล่มมหึมาเล่มหนึ่ง หลี่อวิ๋นซานและผู้แข็งแกร่งระดับหวนสู่อนัตตาเขตปกครองผนึกสมุทรล้วนอยู่บนนั้น
ข้างหลังกระบี่โบราณคือเรือศึกบรรพกาลของนายท่านเจ็ด ตัวเรือสีดำของมันทำให้คนรู้สึกถึงความโหดเหี้ยม พัดลมพายุคลั่งปกคลุมไปทั่วสารทิศ
สวี่ชิงยืนอยู่ในหอคอยเรือศึกบรรพกาล มองไปยังฟ้าดินที่ไกล
เทือกเขาบนพื้นดินเรียงสลับทับซ้อน หลังจากที่กองทัพส่งข้ามอยู่หลายครั้ง ตอนนี้สถานที่ปรากฏคือแนวหน้าเขตตะวันตกในตอนนั้น
มาถึงที่นี่ เรือศึกบรรพกาลทั้งหมดก็หยุดอยู่กลางท้องฟ้า
สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปบนพื้น มองไปยังแผ่นดินที่ยังฟื้นฟูไม่สมบูรณ์และรอยแยกหลายทางที่เจ้าวังครองกระบี่ฟันลงไปในตอนนั้น และยังเป็น…สถานที่ที่เจ้าวังรบตาย
ทุกคนต่างก้มหน้า ยืนสงบนิ่งให้กับเขา
สวี่ชิงจ้องเพ่ง โค้งคารวะสุดตัว
ข่งเสียงหลงอยู่ข้างกายสวี่ชิง ใบหน้าไร้อารมณ์ เพียงแค่หลับตาเท่านั้น
นานหลังจากนั้น เรือศึกบรรพกาลบนท้องฟ้าก็เคลื่อนหน้าต่อไป ไปจากสนามรบที่เศร้าเสียใจแห่งนี้ พุ่งตรงไปทางเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์
ข่งเสียงหลงลืมตาทั้งสองขึ้น ไม่ได้มองไปข้างหลัง แต่มองไปทางเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ เอ่ยสงบนิ่ง
“สวี่ชิง ความจริงแล้วข้าอยากไปดูมากกว่าว่าบุคคลเก่งกาจยอดเยี่ยมเผ่ามนุษย์รุ่นนี้ที่มาจากเมืองหลวงจักรพรรดิเหล่านั้นเป็นอย่างไรกันแน่”
หลังจากที่ข่งเสียงหลงรับผิดชอบดูแลจัดการกรมอาลักษณ์ทั้งมณฑล เสื้อผ้าก็เปลี่ยนไป ตอนนี้สวมชุดเกราะสีดำทั้งชุด ทั้งคนแผ่รังสีอำมหิต
สายตาของเขาเย็นชา สีหน้าไม่โมโหแต่รัศมีอำนาจฉายชัด
เขาที่เป็นแบบนี้มีเงาของเจ้าวังคนก่อนเลาๆ แล้ว
พลังบำเพ็ญของเขาก็ยกระดับขึ้นแล้วเช่นกัน เมื่อสองปีก่อนเขาเป็นระดับวังสวรรค์สิบวัง หลังจากผ่านเรื่องราวต่างๆ ในฐานะที่เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเขตปกครองผนึกสมุทรในตอนนั้น เขาไม่เพียงแต่จำนวนวังสวรรค์เพิ่มขึ้น แต่ยังทยอยทำให้เป็นปราณอีกด้วย
การเลือกของข่งเสียงหลงเหมือนกับสวี่ชิงเมื่อก่อนหน้านี้ จะรอให้ปราณเกิดขึ้นทั้งหมดก่อน แล้วค่อยไปผจญเคราะห์ชะตา ได้รับอายุขัยสวรรค์มากขึ้นจากการนี้
จากกลิ่นอายและระลอกคลื่นของเขาก็มองออกว่า อย่างมากอีกไม่กี่เดือนก็จะไปผจญเคราะห์ได้
“น่าจะล้วนไม่ธรรมดา” สวี่ชิงเอ่ยเสียงเบา
เวลาเพียงพริบตาก็ผ่านไปหลายวันเช่นนี้เอง
คนจากเขตปกครองผนึกสมุทรกลุ่มนี้หลังจากที่เข้ามาในเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ก็ราบรื่นตลอดทาง ไม่เจออันตรายหรือการขัดขวางใดๆ อาศัยค่ายกลส่งข้ามที่นี่ ในยามพลบค่ำของวันที่องค์ชายเจ็ดจัดงานเลี้ยงวันนั้นก็มาถึงยังพื้นที่ต้นสิบลำไส้ในอดีต
ที่นี่แตกต่างไปจากในความทรงจำสวี่ชิงมากนัก
กวาดสายตามองไปล้วนเป็นค่ายทหารกองทัพขององค์ชายเจ็ด มากมายเต็มไปหมด สุดลูกหูลูกตา
ตอนนี้กลับมาที่นี่อีกครั้ง สวี่ชิงอดเงยหน้ามองท้องฟ้า ในสมองมีภาพแต่ละฉากๆ ในตอนนั้นผุดขึ้นมา
นานหลังจากนั้นเขาเก็บสายตากลับมา กองทัพถูกจัดให้ตั้งค่ายอยู่ข้างนอก เขากับข่งเสียงหลงได้รับเชิญ ให้มุ่งหน้าไปยังวังหลวงที่จัดงานเลี้ยง
ส่วนพวกหลี่อวิ๋นซานไม่ได้ไปด้วย
ในเมื่อในสายตาขององค์ชายเจ็ดพระองค์นี้ ทั้งเขตปกครองผนึกสมุทร คนที่เขาจำได้มีไม่กี่คนเท่านั้น ข่งเสียงหลงได้รับเชิญมาที่นี่ก็เป็นเพราะปู่ของเขา
ดังนั้น กองทัพตั้งค่ายได้ไม่นานเท่าไร สวี่ชิงกับข่งเสียงหลงก็ตามผู้ใต้บัญชาองค์ชายเจ็ด เหยียบย่างเข้าไปในรัฐเล็กๆ ที่ชื่อว่าระเบียบล้ำ ตลอดทางที่ได้เห็นล้วนร้างว่างเปล่า
ที่นี่ถูกกองทัพเมืองหลวงจักพรรดิยึดครองโดยสมบูรณ์ ทั้งเมืองเต็มไปด้วยกลิ่นอายเหี้ยมโหด บนพื้นยังมีรอยเลือดแห้งหลงเหลือ
เทียบกับที่นี่ วังหลวงสีน้ำเงินอยู่ในเมืองดูโดดเด่นเป็นอย่างมาก เสียงดนตรีร่ายร้องระบำและเสียงหัวเราะพูดคุยในนั้นลอยออกมา ดังเข้ามาในหูของสวี่ชิงและข่งเสียงหลง
ทั้งสองมองหน้ากันผาดหนึ่ง สีหน้าสุขุม เดินเข้าไปในวังหลวง เดินเข้าไปในตำหนักที่กำลังจัดงานเลี้ยง
พริบตาที่ก้าวเข้าไป เสียงร่ายร้องระบำในตำหนักอันหรูหรายังคงดังอยู่เช่นเดิม แต่เสียงหัวเราะกลับหยุดชะงัก สายตาแต่ละทางๆ รวมมาที่ร่างของคนทั้งสอง
ขณะเดียวกัน ทุกอย่างในตำหนักก็สะท้อนในสายตาสวี่ชิงและข่งเสียงหลงเช่นกัน
องค์ชายเจ็ดนั่งอยู่ตรงกลางข้างหน้าสุด กำลังยิ้มมองมาทางสวี่ชิง
ข้างๆ เขายังมีผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตางดงามสีหน้าแฝงความเย็นชา นั่งอยู่ตรงกลางเช่นเดียวกับเขา เห็นได้ว่าตำแหน่งเทียบเท่ากัน
ข้างล่างทั้งสองคน ซ้ายขวาของตำหนักต่างมีคนหนุ่มสาวสิบกว่าคน ในกลุ่มพวกเขามีทั้งชายและหญิง พลังบำเพ็ญล้วนไม่ธรรมดา อย่างน้อยก็ระดับปราณก่อกำเนิด กระทั่งว่ามีหลายคนแผ่ระลอกคลื่นระดับสมบัติวิญญาณออกมา
หน้าตาส่วนมากล้วนโดดเด่น เสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนหรูหรา แม้จะมีบางคนที่เป็นผ้าธรรมดา แต่ดวงตาที่เหมือนดวงดาราและบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ผู้ที่สวมเสื้อผ้าธรรมดาเหล่านั้นยิ่งดูพิเศษ
และจากสายตา สีหน้าท่าทาง ก็ยากจะมองท่าทีของคนเหล่านี้ออก อย่างไรเสียก็เป็นลูกหลานชนชั้นสูงที่เติบโตมาในเมืองหลวงจักรพรรดิ ไม่พูดถึงว่าจวนของพวกเขาลึกล้ำเพียงใด แต่อย่างน้อยก็มีการเตรียมการขั้นพื้นฐาน
ในยามที่พวกเขามองมาทางสวี่ชิงและข่งเสียงหลง องค์ชายเจ็ดยกมือขึ้นเล็กน้อย ทันใดนั้นเสียงร้องเพลงและการร่ายระบำในตำหนักก็ถอยออกไปทันที เสียงดนตรีหยุดลง เสียงหัวเราะของเขาดังออกมา เสียงอ่อนโยน
“สวี่ชิง ข่งเสียงหลง”
สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึม ประสานหมัดโค้งคารวะ
“คารวะองค์ชายเจ็ด”
มีเพียงคนบุ่มบ่ามเท่านั้นถึงจะแสดงความชอบหรือเกลียดชังทั้งหมดในใจออกมา และคนประเภทนี้เห็นได้ชัดว่าไม่มีอยู่ที่นี่ ต่อให้มีก็มักจะจงใจ
ยกตัวอย่างเช่นข่งเสียงหลง เขาใบหน้าไร้อารมณ์ แม้จะคารวะเช่นกัน แต่กลับไม่พูดอะไรออกมาทั้งนั้น
องค์ชายเจ็ดเหมือนไม่สนใจการกระทำของข่งเสียงหลง เขามองสวี่ชิง สายตาฉายแววชื่นชม จากนั้นก็พูดกับคนทั้งหลาย
“ผู้นี้ก็คือสวี่ชิงแห่งเขตปกครองผนึกสมุทรที่ข้าเคยพูดถึงกับพวกเจ้า เสด็จพ่อตบรางวัล ประทานป้ายทอง ชุดเหลือง สิทธิ์วังศึกษา และแต้มความชอบขั้นหนึ่งเผ่ามนุษย์”
พูดจบองค์ชายเจ็ดก็ชี้ไปยังคนที่อยู่ในงานเลี้ยง เริ่มแนะนำฐานะของพวกเขา
“สวี่ชิง ผู้นี้คือโจวเทียนจือ เขาเป็นอัจฉริยะสำนักบัณฑิตไท่ซุ่ยเมืองหลวงจักรพรรดิ มีความสามารถมากล้น
“ผู้นี้คือเซียนหลิวหลิง นางเป็นคนของจวนรังสรรค์ และจวนรังสรรค์ศึกษาค้นคว้าเทพเจ้า ดวงตะวันแห่งแสงอรุณเผ่ามนุษย์เรา ก็เป็นฝีมือของพวกเขา
“นี่คือหลานชายของมหาเสนาเมิ่งของราชสำนักเรา” องค์ชายเจ็ดยิ้มพลางพูด แนะนำให้สวี่ชิงทีละคนๆ
คนทั้งหลายที่นี่ ส่วนมากล้วนเป็นสายเลือดของผู้สูงส่งทรงอำนาจ หากไม่ใช่ว่าตระกูลเคยมีโหวนภา ก็มีบรรพชนที่ตำแหน่งสูงอยู่ตอนนี้ และมีหลายคนที่เป็นผู้มีชื่อเสียงในเมืองหลวงจักรพรรดิ
“แล้วก็มีหวงคุน สหายหวงเป็นสายเดียวกับเจ้า เขารับตำแหน่งอยู่ที่กรมครองกระบี่ บรรพชนของเขาเป็นผู้ดูแลใหญ่ของกรมครองกระบี่ในห้ากรมทมิฬบน”
ผู้บำเพ็ญที่เขาชี้เหล่านั้นก็ยิ้มพยักหน้าให้สวี่ชิงเช่นกัน
สวี่ชิงคารวะทำความเคารพกลับทีละคนๆ
ในนั้นมีคนหนึ่งดึงดูดความสนใจสวี่ชิง
“สวี่ชิง ผู้นี้เจ้าอาจจะไม่เคยพบมาก่อน แต่เขาก็เป็นคนของเขตปกครองสมุทรของพวกเจ้า จางฝานฉีอัจฉริยะฟ้าประทานแห่งสำนักมายาจำแลงปีศาจ เมื่อสามสิบปีก่อนเขาเดินทางไปเมืองหลวงจักรพรรดิเพื่อพเนจรแสวงหาความรู้ ช่วงนี้ตามองค์หญิงกลับมา”
ชายกลางคนที่องค์ชายเจ็ดแนะนำลุกขึ้นประสานหมัดไปทางสวี่ชิง สีหน้าแฝงแววทอดถอนใจ ยิ่งมีความชื่นชม
สุดท้ายองค์ชายเจ็ดสีหน้าเคร่งขรึม ลุกขึ้นโค้งคารวะหญิงสาวเย็นชาที่อยู่ข้างๆ หันไปพูดกับสวี่ชิง
“นี่คือเสด็จพี่หญิงของข้า องค์หญิงอันไห่”
สวี่ชิงสีหน้าสงบนิ่ง ประสานหมัดคารวะ
“คารวะองค์หญิง”
ข่งเสียงหลงที่อยู่ข้างๆ ก็ก้มศีรษะโค้งคารวะเช่นกัน
องค์หญิงอันไห่ยังคงสีหน้าเย็นชาเช่นเดิม พยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรออกไปทั้งสิ้น
องค์ชายเจ็ดมองภาพนี้ ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย ไม่นานก็กลับเป็นปกติ เรียกให้สวี่ชิงนั่ง
สวี่ชิงพยักหน้า นั่งลงที่ปลายสุดของทางด้านขวาของตำหนัก ใกล้กับประตูตำหนักด้วยกัน
จากการนั่งลง เสียงเพลงที่นี่ดังขึ้นอีกครั้ง เสียงหัวเราะพูดคุยดังขึ้นอีกครั้ง จางฉีฝานจากสำนักมายาจำแลงปีศาจนั่งตรงข้ามสวี่ชิง ถือจอกเหล้าขึ้นมา คารวะสวี่ชิงจากไกลๆ
รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาจริงใจ ฉายแววสะท้อนใจ
สวี่ชิงเห็นก็หยิบจอกเหล้าขึ้นมา หลังจากดื่มลงไป ข้างกายก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“สวี่ชิง พบกันครั้งแรกเดิมไม่ควรล่วงเกิน แต่ข้าสงสัยมากๆ…ตอนนั้นมหาจักรพรรดิหยั่งใจเจ้าตอบอะไรไปกันแน่ถึงได้ประกายแสงตั้งหมื่นจั้ง”
คนที่พูดไม่ใช่จางฉีฝาน แต่เป็นชายหนุ่มที่นั่งเยื้องไปทางขวาของโต๊ะที่สวี่ชิงและข่งเสียงหลงนั่งอยู่
เขาสวมชุดคลุมยาวสีเหลืองอ่อน แม้ใบหน้าจะงามสง่า แต่สีหน้าท่าทางเหมือนเคยชินกับความอ่อนโยน ทำให้ทั้งคนดูแล้วมีความเมตตาใจดีอยู่หลายส่วน
ตอนนี้เขามองสวี่ชิง รอยยิ้มเต็มใบหน้า
สวี่ชิงจำได้ ในตอนที่องค์ชายเจ็ดแนะนำก่อนหน้านี้ได้บอกฐานะของคนคนนี้ เขาคือหลานของมหาเสนาคนปัจจุบัน ชื่อว่าเมิ่งอวิ๋นไป๋