ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 547-2 กระพือลมโหมเปลวไฟ ยืมดาบฆ่าคน (2)
บทที่ 547 กระพือลมโหมเปลวไฟ ยืมดาบฆ่าคน (2)
จากคำพูดของเมิ่งอวิ๋นไป๋ หญิงสาวที่นั่งอยู่อีกข้างหนึ่งของเขาก็มองมาเช่นกัน
หญิงสาวคนนี้สวมอาภรณ์เนื้อผ้าธรรมดาสีดำเรียบง่ายมาก หน้าตางดงาม มัดผมหางม้า แต่ในดวงตามีรูม่านตาสองรู ฉายความแปลกประหลาด คนที่ถูกนางจ้องมองต่างใจสั่นสะท้านไปตามสัญชาตญาณ
องค์ชายเจ็ดแนะนำหญิงสาวคนนี้ว่าเป็นเซียนหลิวหลิง คนของจวนรังสรรค์
“ในตัวเจ้ามีกลิ่นอายของเทพเจ้า”
เซียนหลิวหลิงจ้องมองสวี่ชิง หน้าตาของนางอ่อนเยาว์ แต่เสียงที่ดังออกมากลับเป็นเสียงของหญิงชรา แปลกประหลาดยิ่งนัก
สวี่ชิงหันไป สายตามองไปที่ร่างของเมิ่งอวิ๋นไป๋ แล้วมองไปทางเซียนหลิวหลิง ในขณะที่กำลังจะปฏิเสธอย่างอ้อมๆ เมิ่งองิ๋นไป๋ก็หัวเราะ แล้วพลันเอ่ยขึ้น
“พวกเรามาแลกเปลี่ยนกันสักหน่อย เจ้าบอกคำตอบข้า แล้วข้าจะบอกเจ้าว่าคนพวกนี้ที่นี่ใครมีจิตคิดร้ายกับเจ้า และสาเหตุของจิตคิดร้ายนี้ เป็นอย่างไร”
ข่งเสียงหลงได้ยินก็คล้ายครุ่นคิด เขาค้นพบแล้วว่า คนที่มาจากเมืองหลวงจักรพรรดิเหล่านี้ล้วนไม่ธรรมดา
และคนผู้นี้ สิ่งที่ต้องการคงไม่ใช่คำตอบ แต่จะอาศัยโอกาสนี้แสดงท่าทีของตัวเอง แต่ก็ยากจะวิเคราะห์ความเป็นมิตรหรือศัตรูของเขา แต่เขาจะลองใช้เรื่องนี้มาหยั่งเชิงความรู้ความเข้าใจของสวี่ชิง เรื่องนี้มั่นใจได้
ในเมื่อคำพูดของเขาเป็นได้ทั้งจริงและเท็จ
แต่ว่าในใจของข่งเสียงหลง แผนการเพียงแค่นี้ อยู่ต่อหน้าสวี่ชิงนั้นไร้ประโยชน์
สวี่ชิงมองไป๋เมิ่งอวิ๋นผาดหนึ่ง เอาแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมาจากถุงเก็บของ แล้วยื่นไป
“นี่คืออะไรหรือ”
เมิ่งอวิ๋นไป๋คิ้วเลิกขึ้น หลังจากหยิบมาก็กวาดประสาทสัมผัสเทพไป ดวงตาเบิกโพลง เงยหน้ามองไปทางสวี่ชิง
“ผ่านเจ้านี่อย่างนั้นหรือ ครบเช่นนี้เชียว!”
“ขอรับ คำตอบหยั่งใจส่วนใหญ่ในเจ็ดเขตปกครองเผ่ามนุษย์หลายปีมานี้โดยพื้นฐานอยู่ในนี้หมดแล้ว”
สวี่ชิงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง
แผ่นหยกแผ่นนี้เป็นนายกองซื้อไว้ในตอนนั้น ภายหลังมอบให้สวี่ชิงด้วยแผ่นหนึ่ง
เมิ่งอวิ๋นไป๋อึ้งเล็กน้อย มองไปทางสวี่ชิงอย่างสงสัย เขาไม่เชื่อไปโดยสัญชาตญาณ แต่ในแผ่นหยกนี้มีคำตอบมากมาย ละเอียดเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งว่ายังบอกความสูงของการหยั่งใจด้วย แค่เห็นก็รู้แล้วว่าทุ่มเทค่าตอบแทนและพลังกายใจไปไม่น้อยในการเรียบเรียงโดยเฉพาะ
ในตอนที่เขาลังเลอยู่ทางนี้ คนอื่นๆ ในงานเลี้ยง หัวข้อสนทนาก็พูดถึงบุตรเทวะฟ้าทมิฬที่เคยปรากฏบริเวณพื้นที่แถบนี้ไปโดยไม่รู้ตัว
เรื่องนี้เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ที่รู้และคนที่ได้ยินเรื่องนี้มีไม่มาก แม้ผู้ที่เข้าร่วมเรื่องนี้ส่วนมากตายไปแล้ว แต่ข่าวลือยากจะควบคุม ต่อให้เป็นเผ่ามนุษย์ก็ค่อยๆ ได้ยินข่าวลือเช่นกัน
“พูดถึงบุตรเทวะฟ้าทมิฬ แม้ข้าจะไม่รู้รายละเอียด แต่ได้ยินว่าหลุมลึกข้างนอกเกิดขึ้นก็เพราะเขา เห็นได้ว่าฝีมือน่าครั่นคร้ามปานใด
“น่าเสียดายไม่มีใครรู้ว่าทำไมเขาถึงปรากฏตัวที่นี่ และต้นสิบลำไส้ไยจึงหายไป
“เผ่าฟ้าทมิฬชั่วช้า บุตรเทวะผู้นี้น่ากลัวว่าคงจะยิ่งกว่านั้น คงไม่พ้นพวกคลั่งสังเวย คงจะสังเวยต้นสิบลำไส้ของเซียนพิบัติให้กับชื่อหมู่ผู้เป็นนายของเขา
“องค์ชายเจ็ดได้รับชัยชนะกลับมาจากเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ หาร่องรอยจองบุตรเทวะฟ้าทมิฬผู้นี้เจอหรือไม่”
คนทั้งหลายทยอยเอ่ยขึ้น ในยามพูดถึงบุตรเทวะฟ้าทมิฬ ไม่ว่าพวกเขาจะมีฐานะอะไร ในคำพูดล้วนฉายความหวาดเกรง เห็นได้ชัดว่าบุตรเทวะฟ้าทมิฬสำหรับพวกเขาแล้วมีน้ำหนักเป็นอย่างมาก
องค์ชายเจ็ดส่ายหน้า
“เรื่องนี้ข้าเคยได้ยิน และเคยถามเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์บางคน จากคำบรรยายของพวกเขาบุตรเทวะฟ้าทมิฬผู้นี้พลังบำเพ็ญน่าตื่นตะลึง ฐานะสูงส่ง เพียงสะบัดมือก็เรียกพลังชื่อหมู่ลงมาได้ ยิ่งทำให้รูปสลักเผ่าฟ้าทมิฬคุกเขาเรียกเขาว่านายท่านได้
“แต่น่าเสียดายหลังจากที่เขาหายไป ก็ไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้ทั้งสิ้น เสด็จพี่น่าจะเข้าใจดีกว่า ในเมื่อท่านเป็นผู้ดูแลของจวนรังสรรค์”
องค์ชายเจ็ดพูดจบก็มองไปทางองค์หญิงอันไห่
องค์หญิงอันไห่ใบหน้าไร้อารมณ์ ส่งเสียงที่เย็นชาเหมือนสีหน้าของนางออกมา
“บุตรเทวะฟ้าทมิฬผู้นี้น่าจะมาจากแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา มีเพียงที่นั่นถึงจะมีเครือญาติที่แท้จริงของชื่อหมู่ต้อนสัตว์ให้กับองค์ท่าน”
สวี่ชิงตาจ้องเพ่ง ข้อมูลนี้เป็นข้อมูลที่เขาไม่รู้มาก่อน ตอนนี้หลังจากที่ได้ยิน เขาก็คล้ายครุ่นคิด
ข่งเสียงหลงที่อยู่ข้างๆ เขาถือจอกเหล้าขึ้นมาดื่มลงไปอึกหนึ่ง พยายามควบคุมตัวเองไม่ไปมองสวี่ชิง
จนตอนนี้เขาก็ยังจำสวี่ชิงกับศิษย์พี่ของอีกฝ่ายที่เปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นเผ่าฟ้าทมิฬต่อหน้าเขา จากนั้นก็เดินทางมายังพื้นที่ที่เหยียบอยู่ตอนนี้
และหลังจากที่พวกเขามาถึงที่นี่ ที่นี่ถึงได้มีเรื่องบุตรเทวะฟ้าทมิฬเล่าลือกัน…
ส่วนคนอื่นๆ หลังจากได้ยินคำขององค์หญิงอันไห่ก็ต่างพยักหน้าเล็กน้อย มีเพียงองค์ชายเจ็ดที่จู่ๆ มองไปทางสวี่ชิง ยิ้มพลางเอ่ยปาก
“สวี่ชิง เขตปกครองผนึกสมุทรห่างจากที่นี่ไม่ได้ไกลมาก เจ้าเคยได้ยินบุตรเทวะฟ้าทมิฬผู้นี้หรือไม่”
“หลังจากเกิดเรื่องก็เคยได้ยินพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชิงเงยหน้า ดวงตาที่มองไปทางองค์ชายเจ็ดจริงจัง
องค์ชายเจ็ดยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร
สวี่ชิงสายตาเป็นปกติ ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย คนทั้งหลายที่นี่ก็ค่อยๆ เปลี่ยนหัวข้อสนทนา พูดคุยกันถึงเรื่องใหญ่ของหมื่นเผ่าในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ยกตัวอย่างเช่น การล่าสัตว์ของเผ่านภาคิมหันต์
พูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าบางคนก็ฉายความเดือดดาลขึ้นมา
และยังมีเรื่องเกี่ยวกับการกลับคืนมาของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์และคุณูปการที่องค์ชายเจ็ดสร้างไว้ในครั้งนี้ ทุกครั้งในช่วงเวลาเช่นนี้ องค์ชายเจ็ดล้วนยิ้มแย้ม
ยิ่งพูดถึงดวงตะวันแห่งแสงอรุณและสถานการณ์เขตปกครองเผ่าอื่นๆ
มีบางครั้งที่พูดถึงข่าวน่าอัศจรรย์ของดินแดนอื่นๆ บ้าง
เรื่องภายหลังเหล่านั้นสวี่ชิงกับข่งเสียงหลงไม่เคยได้ยินมาก่อน และไม่เข้าใจในรายละเอียด จึงเงียบนิ่งโดยตลอด
จวบจนมีคนชี้หัวหอกจากหัวข้อสนทนามายังสวี่ชิง
“องค์ชายเจ็ด กระหม่อมแซ่หลัวคนนี้นิสัยตรงไปตรงมา พูดอะไรอาจล่วงเกินคนอื่น เรื่องนี้ตอนนั้นพระองค์เคยเตือนกระหม่อม แต่วันนี้…กระหม่อมก็ยังคงอดไม่ได้ คนบางคนช่างเนรคุณยิ่งนัก ชวนให้คนหยามหมิ่น”
คนพูดคือผู้สืบสายเลือดโหวนภาหลัวคนนั้น องค์ชายเจ็ดแนะนำไว้ว่าเขาชื่อหลัวจิ้งซง
ตอนนี้ในยามที่เขาพูด ทางที่มองไปคือสวี่ชิงนั่นเอง
สวี่ชิงสีหน้าสงบนิ่ง ตอนเด็ก เขาผ่านความอัปลักษณ์จากความเป็นมนุษย์มามากมาย ดังนั้นเขารู้ดี ในยามที่คนผู้หนึ่งบอกก่อนว่าตัวเองนิสัยเป็นเช่นไร เช่นนั้นมักจะบ่งบอกว่าคำพูดที่เขาจะพูดต่อไปนี้เป็นปฏิปักษ์
และตอนนี้ ข้างหูเขาก็มีเสียงกระซิบกระซาบของเมิ่งอวิ๋นไป๋ดังมา
“น้องสวี่ชิง คนนี้คือหลัวจิ้งซง นิสัยไม่ได้ตรงไปตรงมาอย่างที่เขาพูดแบบนั้นหรอกนะ ข้าจะบอกเจ้าให้ ผู้สืบสายเลือดโหวนภาที่ว่าในเมืองหลวงจักรพรรดิ นอกจากจะมีไม่กี่คนที่จำกัดไว้เหล่านั้นแล้ว ส่วนมากล้วนเหลือเพียงแต่เปลือกที่รุ่งโรจน์เท่านั้น ไม่มีอำนาจแท้จริงอะไร และไม่มีพรสวรรค์สักเท่าไร สายเลือดยิ่งเปลี่ยนมาผสมปนเป
“หลัวจิ้งซงก็เป็นหนึ่งในนั้น พอจะฉลาดอยู่บ้าง ทั้งใจคิดอยากติดตามองค์ชายเจ็ด แต่ไม่เข้าตาองค์ชายเจ็ด ดังนั้นวันนี้เขาสร้างความลำบากให้เจ้าต่อหน้าคนทั้งหลาย ก็เพื่อใช้เรื่องนี้มาประจบประแจงองค์ชายเจ็ด
“เขาไม่โง่ และรู้ว่าทำแบบนี้อาจทำให้องค์ชายเจ็ดไม่พอใจ แต่ไม่ว่าเรื่องใด ขอเพียงคนทั้งหลายต่างคิดว่าเขาเป็นสายหลักขององค์ชายเจ็ด เช่นนั้นจะใช่หรือไม่ใช่ ความจริงแล้วไม่สำคัญ
“แต่ว่าเขาไม่เข้าใจ ฉลาดน้อยจะอย่างไรก็เป็นแค่พวกฉลาดน้อย”
เมิ่งอวิ๋นไป๋ในตอนที่สื่อเสียง หลัวจิ้งซงจ้องสวี่ชิง สีหน้าแฝงด้วยความเกลียดชัง
“เพื่อช่วยเขตปกครองผนึกสมุทร องค์ชายเจ็ดแบกรับความกดดันมหาศาล ไม่ฟังเสียงคัดค้าน ในยามที่เผ่ามนุษย์ทำสงครามกับเผ่าฟ้าทมิฬได้นำกองทัพมุ่งหน้าไปเขตปกครองผนึกสมุทร แก้ไขสถานการณ์วิกฤตดับสูญของเขตปกครองผนึกสมุทร นี่คือบุญคุณช่วยชีวิต
“หลังจากนั้นองค์ชายเจ็ดลงไปเป็นทหารด้วยตัวเอง ไม่กลัวเป็นตาย เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างฮึกเหิมอาจหาญ เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ถอยร่นแพ้พ่าย หากมิใช่จักรพรรดิบรรพชนของพวกพระองค์ทะลวงขั้นได้ แผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ทั้งผืนวันนี้ล้วนเป็นดินแดนของเราเผ่ามนุษย์!
“แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ก็สร้างคุณูปการครั้งยิ่งใหญ่ ยิ่งทำให้เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์กลับคืนสู่เผ่ามนุษย์ ความรุ่งโรจน์แผ่ไปทั่วแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ แต่ลับหลังกลับมีคนบางคนใช้วิธีชั่วช้าใส่ร้าย! ทำให้องค์ชายเจ็ดถูกฝ่าบาทตำหนิว่าประมาทไม่รอบคอบ ทั้งยังลงภาคทัณฑ์!”
กลับดำเป็นขาว ทำความจริงให้สับสน คำพูดทั้งหมดออกจากปากหลัวจิ้งซง พูดได้ว่าถึงอกถึงใจ
คนทั้งหลายในงานเลี้ยงเงียบกริบทันที
องค์ชายเจ็ดเอ่ยราบเรียบ
“หุบปาก”
หลัวจิ้งซงได้ยินก็รีบลุกขึ้นทันที โค้งคารวะองค์ชายเจ็ด หลังจากเงยหน้าก็เอ่ยอย่างขุ่นเคือง
“องค์ชายใจกว้างมีเมตตา จิตใจสูงส่ง ไม่อยากที่จะคิดเล็กคิดน้อยกับพวกชั่วช้า แต่กระหม่อมแซ่หลัวคนนี้ทนดูต่อไปไม่ได้จริงๆ คนบางคนหลังจากได้รับการช่วยชีวิตไร้ค่าเอาไว้ กลับลืมบุญคุณ หากมีความสามารถจริงๆ ตัวเองก็ไปบุกเบิกขยายดินแดนเองเสีย ไม่จำเป็นต้องวางแผนชั่วร้าย”
คนทั้งหลายที่อยู่รอบๆ ต่างสีหน้าแปลกประหลาด มองไปทางสวี่ชิง
เมิ่งอวิ๋นไป๋ก็เช่นกัน
สวี่ชิงสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น คำพูดจากสื่อเสียงของเมิ่งอวิ๋นไป๋ก่อนหน้านี้ เขาย่อมไม่เชื่อทั้งหมด
และสาเหตุที่หลัวจิ้งซงเอ่ยปากเช่นนี้ มองเผินๆ เหมือนเรียกร้องความยุติธรรมให้องค์ชายเจ็ด แต่ความรู้ความเข้าใจของสวี่ชิงในตอนนี้ได้รับการปรับแล้ว ไม่จำกัดอยู่เพียงที่อยู่ตรงหน้าอีกต่อไป
เขาเรียนรู้ที่จะใช้มุมมองที่กว้างไกลยิ่งขึ้นในการมองปัญหา
ดังนั้นภาพฉากที่เหมือนสมเหตุสมผลฉากนี้ หากเปลี่ยนมามองในระดับสูงก็จะเห็นเงื่อนงำบางอย่าง
การกระทำของหลัวจิ้งซงยากจะบอกว่าทำไปเพื่อประจบองค์ชายเจ็ดทั้งหมด
เหมือนกับการจงใจเปิดแผล สร้างระลอกคลื่นน้ำมากกว่า
สวี่ชิงมององค์หญิงอันไห่ที่ใบหน้าสงบนิ่งข้างองค์ชายเจ็ด นางเลือกที่จะเงียบนิ่ง ไม่ลงมาร่วมในสถานการณ์ด้วย
ข่งเสียงหลงที่อยู่ข้างๆ เขา ทางด้านความรู้ความเข้าใจก็ยังคงมองแต่สถานการณ์ข้างหน้า ตอนนี้ความโกรธเดือดพล่าน กำลังจะอ้าปากโต้แย้ง สวี่ชิงยกมือกดไหล่ของเขา จากนั้นก็ยื่นขึ้นมองไปทางองค์ชายเจ็ดและองค์หญิง
“องค์ชาย องค์หญิง กระหม่อมแซ่สวี่เพิ่งมาถึง ค่อนข้างเหนื่อย หากไม่มีเรื่องอื่นใด ขอทูลลาไปก่อน”
องค์ชายเจ็ดดวงตามีแววล้ำลึก ใบหน้าฉายรอยยิ้ม กำลังจะเอ่ยปาก
แต่ในตอนนี้ จางฉีฝานอัจฉริยะฟ้าประธานสำนักมายาจำแลงปีศาจเขตปกครองผนึกสมุทรคนนั้นที่นั่งตรงข้ามสวี่ชิง พลันตบโต๊ะข้างหน้าจนเสียงดังโครมออกมา ตัวเขาก็ผุดลุกขึ้นเช่นกัน มองหลัวจิ้งซงอย่างโมโห
“เพ้อเจ้อเหลวไหล!
“ข้าแซ่จางคนนี้ช่วงนี้เพิ่งกลับมา ได้พูดคุยกับสำนัก และได้พูดคุยกับสหายสนิทเมื่อในอดีตหลายคน ถึงได้รู้ความจริงของสงครามครั้งนี้ รู้ถึงการเสียสละทุ่มเทของอาลักษณ์สวี่!
“เจ้าบอกว่าช่วยแก้วิกฤตดับสูญของเขตปกครองผนึกสมุทรหรือ ในตอนที่เขตปกครองผนึกสมุทรของข้ารักษาป้องกันการรุกรานจากเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ กองทัพเสริมอยู่ที่ใด
“ในตอนที่แนวหน้าทางเหนือและทางตะวันตกเขตปกครองผนึกสมุทรเสียสละชีพไปนับไม่ถ้วน กองทัพเสริมอยู่ที่ใด
“ตอนนั้นขอเพียงกองทัพเสริมมาเร็วแม้เพียงหนึ่งก้านธูป เจ้าวังครองกระบี่ก็ไม่ต้องตายอย่างอนาถ และจากที่ข้ารู้มา กองทัพเสริมออกเดินทางจากเมืองหลวงจักรพรรดิมาตั้งนานแล้ว! หรือต้องให้คนทั้งหมดตายไปพอประมาณกองทัพเสริมถึงจะมา ก็ไม่ใช่ว่ากังวลว่าคนที่รอดจะมาแบ่งแย่งความดีความชอบไปหรอกหรือ
“ส่วนเรื่องประมาทไม่รอบคอบ…หากให้เทียนประทีปรับตำแหน่งจริงๆ เขตปกครองผนึกสมุทรตอนนี้ยังจะเป็นดินแดนของเผ่ามนุษย์อยู่หรือไม่!
“ประมาทไม่รอบคอบหรือไม่ ใครจะไปรู้”
จางฉีฝานเคืองแค้นต่อความไม่เป็นธรรม เอ่ยอย่างเดือดดาล
สวี่ชิงหรี่ตา ข่งเสียงหลงตอนนี้ก็กระจ่างแจ้ง มองหน้าสวี่ชิง
คำพูดของคนคนนี้กะทันหันนัก
เห็นได้ชัดว่ามีคนจะบีบให้พวกเขาเป็นดาบ!
และเรื่องบางอย่าง ในยามที่เขตปกครองผนึกสมุทรเพิ่งสงบนิ่งมั่นคงยังไม่เหมาะที่จะเปิดมันออกมา
ยังไม่ได้จังหวะ สำหรับเขตปกครองผนึกสมุทรที่ผ่านสงครามและเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงที่เขตปกครองหลวง ตอนนี้การฟื้นฟูถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ หากเกิดคลื่นขึ้นมาอีก จะเกิดเป็นการกระทบกระเทือนที่รุนแรงยิ่งขึ้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หลังจากผ่านเคราะห์ทุกอย่างนี้ เขตปกครองผนึกสมุทรไม่เชื่อคนนอกใดๆ ทั้งนั้น
แต่เห็นได้ชัดว่ามีคนที่ไม่รู้ว่ามีเป้าหมายอะไร คิดจะทำให้น้ำที่นี่ขุ่นขึ้นมาเล็กน้อย