ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 550 ขบวนการลักจันทร์
บทที่ 550 ขบวนการลักจันทร์
นายกองกะพริบตาปริบๆ
“นี่ไม่สำคัญ หลังจากนี้เราค่อยว่ากัน พูดเรื่องพระจันทร์สีชาดก่อน
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าต้องคิดมุมกลับ พวกเราครั้งนี้หากไม่ไปกลืนกินองค์ท่าน ทันทีที่องค์ท่านตื่นขึ้นมา ถึงตอนนั้นอยากจะหาพวกเราก็ง่ายกว่าก่อนหน้านี้มากนัก ขอเพียงแค่เสี้ยวความคิดองค์ท่าน ก็หาเจอได้ทันที
“เจ้ามีพลังต้นกำเนิดเทพขององค์ท่าน ข้ามีกลิ่นอายขององค์ท่าน สำหรับองค์ท่านแล้ว พวกเราก็คือหัวขโมย ต้องตาย
“ดังนั้นพวกเราจะต้องไปเชือดองค์ท่านเสียก่อนที่องค์ท่านจะตื่น!
“ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น พวกเราไม่กลัว!” นายกองเอาลูกท้อออกมาลูกหนึ่ง กัดลงไปเต็มแรงคำหนึ่ง
สวี่ชิงลมหายใจหอบถี่เล็กน้อย ความคิดในใจพุ่งพล่าน ดวงตาทั้งสองมีเส้นเลือดปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย เขารู้ว่านายกองจะทำการใหญ่ ก่อนหน้านี้ก็เดาแล้วว่าเรื่องนี้ไม่เล็กแน่ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะใหญ่ถึงเพียงนี้
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านเล่ามาให้ละเอียด”
สวี่ชิงกัดฟันเอ่ย
นายกองได้ยิน สีหน้าปรากฏความตื่นเต้นทันที พูดออกไปอย่างรวดเร็ว
“อาชิงน้อย แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราเป็นดินแดนที่พิเศษมากแห่งหนึ่ง ในเผ่าฟ้าทมิฬ ที่นั่นพูดได้ว่ามีฐานะเหมือนกับแดนศักดิ์สิทธิ์ หรือจะบอกว่าที่นั่นก็คือแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ได้
“เพราะ…แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราก็คือดินแดนที่พระจันทร์สีชาดจะต้องผ่าน!
“พระจันทร์สีชาดคือพระจันทร์สีชาด ชื่อหมู่คือชื่อหมู่!”
นายกองมองสวี่ชิง สีหน้าจริงจัง
สวี่ชิงพยักหน้า ตั้งใจฟังเรื่องนี้เป็นอย่างดี
“ก่อนอื่นเจ้าต้องแยกความเข้าใจให้ชัด นั่นก็คือ…ชื่อหมู่พักผ่อนหลับใหลบนพระจันทร์สีชาด ส่วนพระจันทร์สีชาดคือดาวดวงหนึ่ง ดวงจันทร์ดวงหนึ่ง เป็นร่างฟ้าพิเศษร่างหนึ่ง!
“ดังนั้น หากอยากกลืนกินชื่อหมู่ ก่อนอื่นก็จะต้องเข้าไปในที่ที่องค์ท่านพักผ่อน เข้าไปในพระจันทร์สีชาด!
“แต่จันทร์สีชาดอยู่บนม่านฟ้า แม้จะมีแนวโคจรที่แน่นอน แต่จะอย่างไรร่องรอยก็ยากจะหาพบ พวกเราต่อให้เห็นก็ยากจะเข้าใกล้
“แต่ว่า แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรานั้นต่างออกไป ที่ราบสำนึกบาปที่อยู่ใจกลางของดินแดนแห่งนี้มีรูปสลักน่าตื่นตะลึงรูปหนึ่ง!”
พูดถึงรูปสลักนี้ สีหน้าของนายกองก็ค่อนข้างแปลกประหลาด แฝงด้วยความทอดถอนใจ ที่มากกว่านั้นคือความจนปัญญา
เมื่อสวี่ชิงเห็นก็คล้ายครุ่นคิด
“รูปสลักนี้สูงใหญ่นัก แม้จะอยู่ในลักษณะที่คุกเข่าสารภาพบาป แต่ก็ยังคงเหมือนค้ำยันฟ้าดินได้ ความสูงของมันยากจะบรรยาย ใกล้กับผืนฟ้าเป็นอย่างยิ่ง
“ทุกครั้งพระจันทร์สีชาดล้วนไปตามเส้นทางโคจรของมันปรากฏขึ้นที่นั่น ล้วนผ่านศีรษะของรูปสลักนี้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นยืนอยู่บนศีรษะของรูปสลัก ดาราพระจันทร์สีชาดเพียงเอื้อมมือก็คว้ามาครอง ที่นั่น เป็นตำแหน่งที่ต่ำที่สุดของพระจันทร์สีชาด รายงานข่าวที่ข้าได้มายืนยันเรื่องนี้
“ดังนั้น จากที่ตรงนั้น ในเสี้ยวขณะที่พระจันทร์สีชาดเคลื่อนผ่านอย่างรวดเร็ว พวกเราลอยขึ้นไปอย่างสุดกำลัง ก็จะเหยียบไปบนพระจันทร์สีชาดได้”
พูดจบ นายกองก็หยิบลูกท้อออกมาลูกหนึ่ง หลังจากกินไปหนึ่งคำก็มองไปทางสวี่ชิง
“ส่วนหลังจากเหยียบไปบนพระจันทร์สีชาดแล้วพวกเราจะทำอย่างไร ข้าก็มีแผนและการเตรียมตัวแล้ว ชื่อหมู่…ครั้งนี้ข้าจะกลืนกินให้ได้!”
นายกองดวงตาแดงก่ำ ความบ้าคลั่งยิ่งรุนแรง
สวี่ชิงได้ยิน ในดวงตาฉายแววครุ่นคิด ถามไปว่า
“ศิษย์พี่ใหญ่ ตัวตนของรูปสลักนั่นคืออะไร”
นายกองได้ยินประโยคนี้ เงียบไปหลายอึดใจ โยนลูกท้อไปให้สวี่ชิงลูกหนึ่ง เอ่ยเสียงแหบแห้ง
“รูปสลักนั่น เป็นเจ้าเหนือหัวเผ่ามนุษย์คนหนึ่ง ในยุคจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว ปฏิเสธที่จะติดตามจักรพรรดิโบราณจากไป แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราเดิมก็เป็นของเขา!
“ตอนนั้นเขากับชื่อหมู่ได้ทำสงครามขนาดใหญ่ที่นั่น สุดท้ายเจ้าเหนือหัวรบตาย แต่ระหว่างเขากับชื่อหมู่มีบุญคุณความแค้นอื่น ดังนั้นชื่อหมู่จึงลงโทษให้กายเนื้อของเขาคุกเข่าไปชั่วนิรันดร์ ขณะเดียวกันก็ร่ายคำสาปให้ที่นั่นกลายเป็นสถานเพาะเลี้ยงปศุสัตว์
“นับจากนั้น ทุกช่วงเวลาหนึ่ง สิ่งมีชีวิตในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราเติบโตขึ้น พระจันทร์สีชาดก็จะมากลืนกินสรรพชีวิตทั้งหลาย จะเป็นคนธรรมดาก็ดี ผู้บำเพ็ญก็ดี ล้วนเป็นอาหารทั้งสิ้น
“โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญ จะกลืนกินไปตามพลังบำเพ็ญสูงต่ำ ทุกครั้งระดับหวนสู่อนัตตาล้วนถูกกินก่อน และการมีอยู่ของคำสาปก็ทำให้สิ่งมีชีวิตที่เกิดในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราทั้งหมดไม่สามารถไปจากแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราได้แม้เพียงครึ่งก้าว หากละเมิดก็จะระเบิดตายทันที
“ดังนั้นผู้บำเพ็ญแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรากายใจล้วนอยู่ในความเจ็บปวดและความลังเล ปลายทางของการฝึกฝนคือความตาย แต่มีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมเลวร้ายแบบนั้น หากไม่ฝึกฝนบำเพ็ญเพียร ก็ยากจะมีชีวิตได้นาน นี่จึงกลายเป็นภาวะที่ไร้ทางออก”
นายกองน้ำเสียงต่ำทุ้ม กัดลูกท้อเต็มแรง
“ถึงอย่างไรในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราไม่มีดวงอาทิตย์ของจริง มีเพียงแหล่งกำเนิดแสงที่มนุษย์สร้างขึ้นและเพลิงสวรรค์ที่ปรากฏผ่านฟ้าขึ้นเป็นบางครั้ง ส่องสว่างทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่ แต่กลับมีภัยร้ายอย่างมหาศาล
“โดยเฉพาะที่ที่มีเครือญาติของชื่อหมู่ที่นั่นคอยต้อนสัตว์ให้ ดังนั้นแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราแห่งนี้ ในความคิดของผู้นำระดับสูงของหลายๆ เผ่า จึงเรียกที่นั่นว่าแหล่งเพาะเลี้ยงวิญญาณพระจันทร์สีชาด”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง รวมกับข้อมูลที่เขาหาได้ก่อนหน้านี้ เขาสามารถจินตนาการได้ถึงความสลดน่าสังเวชในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา เผ่าต่างๆ ในนั้น ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้จะต้องสำแดงความชั่วร้ายในสันดานออกมาได้จนถึงขีดจำกัดสูงสุดอย่างแน่นอน
“นรกบนดิน” สวี่ชิงพึมพำ ในตอนที่กำลังจะกินลูกท้อในมือไปตามสัญชาตญาณ นายกองก็พลันเงยหน้า มองไปทางสวี่ชิงอย่างแปลกประหลาด
“ทำไมเจ้าก็มีลูกท้อเหมือนกัน”
“ก็ท่านเป็นคนให้ข้า”
สวี่ชิงก็ประหลาดใจเช่นกัน
นายกองรีบหยิบคืนกลับไป แล้วยัดผิงกั่วไปในมือสวี่ชิง
สวี่ชิงมองนายกองผาดหนึ่ง กัดผิงกั่วคำหนึ่ง นึกถึงเพลิงสวรรค์ขึ้นมาได้ จึงถามไป
“เพลิงสวรรค์หรือ เรื่องนั้นข้าไม่เคยสนใจมาก่อน แต่ข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ก็พอมีบ้าง” นายกองคิดๆ จัดระเบียบความคิดในสมอง
“ว่ากันว่าศูนย์กลางของทะเลเพลิง รอยแยกทางนั้นบนท้องฟ้า มีตั้งแต่ในยุคบรรพกาลแล้ว เดิมไม่ใหญ่ แต่จากเวลาที่หมุนไปก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
“น้อยคนนักที่จะรู้ว่าในรอยแยกมีอะไร เวลาเนิ่นนานที่ผ่านมามีเผ่าต่างๆ ไปสืบสำรวจไม่น้อย แต่เหมือนจะไร้ผล รู้เพียงที่นั่นเหมือนจะเป็นเขตแดนเปลวไฟไร้ขอบเขต เข้าไปก็ตาย
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าวางแผนจะไปทะเลเพลิงสวรรค์อย่างนั้นหรือ” นายกองถามอย่างสงสัย
สวี่ชิงพยักหน้า
“พอดีเลย จากการวิเคราะห์ของข้า การมาเยือนของพระจันทร์สีชาดแม้จะมาในเร็ววันนี้ แต่ก็ไม่ได้เร็วขนาดนั้น และการใหญ่ครั้งนี้ข้ายังต้องจัดการบางอย่างให้สำเร็จในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา
“เช่นนี้ถึงจะรับประกันได้ว่าในตอนที่พระจันทร์สีชาดมา พวกเราจะมีความมั่นใจมากขึ้น ดังนั้นเจ้ามีเวลามากพอ เอาอย่างนี้ ช่วงนี้พวกเราไปเงียบๆ เจ้าทำเรื่องของเจ้า ข้าจะพาอาวุธของพวกเราไปเตรียมการจัดเตรียมอื่นๆ
“จากนั้นพวกเรามารวมตัวกันที่เขาวัวสวรรค์มิรู้สิ้น ซึ่งก็คือที่นี่”
นายกองพูดพลางเอาแผนที่แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราออกมาแผ่นหนึ่ง แล้วชี้ไปยังพื้นที่แห่งหนึ่งในนั้น
“เป็นอย่างไร อาชิงน้อย จะทำเรื่องนี้หรือไม่”
สวี่ชิงลมหายใจหอบถี่ หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็พยักหน้า
“ไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน ส่วนสุดท้ายจะลงมือหรือไม่ ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเราดูสถานการณ์แล้วค่อยกำหนด
“แล้วก็ ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านยังไม่ได้บอกข้าเลย แต่ก่อนท่านเคยทำเรื่องประเภทนี้หรือไม่” สวี่ชิงมองไปทางนายกอง
นายกองกระแอม นิ้วที่จิ้มไปบนแผนที่ยกขึ้น แล้วชี้ไปที่เดิม
“เจ้าคิดชื่อภูเขาลูกนี้ให้ดี”
“เขาวัวสวรรค์มิรู้สิ้นหรือ” สวี่ชิงสีหน้าแปลกประหลาด
มิรู้สิ้นหมายถึงยังไม่จบสิ้น วัวสวรรค์…
นายกองสีหน้าภาคภูมิใจ
“นั่นเป็นภูเขาที่ข้าตั้งชื่อ คิดไม่ถึงว่าโลกในภายหลังจะเรียกกันจริงๆ อาชิงน้อย ในภูเขาลูกนั้นมีโครงกระดูกของศิษย์พี่ใหญ่เจ้าข้าคนนี้ในชาติใดสักชาติฝังอยู่ด้วย
“ตอนนั้นโชคไม่ดี กลืนกินเทพองค์หนึ่งล้มเหลว ต้องโทษคนร่วมกลุ่มที่พึ่งไม่ได้สุดๆ ในตอนนั้นเลย ถึงข้าจะหนีมาได้ แต่ก็มีชีวิตอยู่ไม่นาน
“เหตุที่ข้าบอกให้ไปรวมตัวที่นั่นเพราะข้าเตรียมจะพาเจ้าไปขโมยสุสาน”
สวี่ชิงหัวเราไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
“ขโมยสุสานของตัวท่านเองหรือ”
นายกองหน้าตาเบิกบานเริงร่า
“เรื่องแบบนี้แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว อีกทั้งนี่ยังเป็นหนึ่งในการเตรียมกลืนกินชื่อหมู่ด้วย”
นายกองก็บอกรายละเอียดบางอย่างกับสวี่ชิงเช่นนี้เอง ทั้งสองคนทำการยืนยัน กำหนดว่าจะเดินทางสามวันให้หลัง ส่วนจะไปอย่างไร ก็ต่างมีความเห็นตรงกัน
ฐานะของสวี่ชิงค่อนข้างพิเศษ หากไปจากเขตปกครองผนึกสมุทร ไม่แน่ว่าอาจจะมีอันตรายอะไรแอบซ่อน ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือไม่มีใครรู้เรื่องการเดินทางจากไปของเขา
ดังนั้นสวี่ชิงจึงบอกแค่อาจารย์และจื่อเสวียนเท่านั้น ทีแรกทั้งสองคนไม่ค่อยเห็นด้วย แต่สุดท้ายก็ยอม ทว่าก็ได้มอบของวิเศษคุ้มกายบางอย่างให้กับเขา
จากนั้นสวี่ชิงก็ประกาศกับข้างนอกว่าจะปิดด่าน
ก่อนปิดด่าน เขายังไปหาจางซานทางนั้นด้วย อีกฝ่ายตามสำนักเจ็ดเนตรโลหิตย้ายมาที่เมืองหลวงเขตปกครอง ช่วงนี้กำลังสร้างเรือกลวิญญาณให้ ตอนนี้เสร็จแล้ว
หลังจากสวี่ชิงเอามา ก็หายไปจากครรลองสายตาของทุกคน
เพียงพริบตาก็ผ่านไปหนึ่งเดือน
ทุกอย่างในเมืองหลวงเขตปกครองเป็นปกติ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร การสร้างสำนักครามทมิฬก็สำเร็จแล้ว ภายใต้การดูแลจัดการจากจื่อเสวียนทุกอย่างเป็นระเบียบ เริ่มพัฒนา
และหลังจากเรื่องทุกอย่างในเขตปกครองผนึกสมุทรหยุดลง การฟื้นฟูก็ค่อยๆ เข้าสู่ช่วงสงบนิ่งมั่นคง
มีนายท่านเจ็ดและโหวเหยาดูแล โดยเฉพาะการแสดงพลังระดับหวนสู่อนัตตาขั้นสี่ของโหวเหยา ก็ทำให้เผ่าต่างๆ ในเขตปกครองผนึกสมุทรต่างเก็บความทะเยอทะยานและแผนการลงไป
และตอนนี้ ที่ชายแดนทางตะวันตกแผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ มีขบวนรถคนธรรมดากลุ่มหนึ่งกำลังเคลื่อนไปข้างหน้าบนถนนทางหลวง
นี่เป็นกลุ่มมือปราบของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่พวกเขาคุ้มกันก็รับงานส่วนตัวบางอย่างด้วย ถือโอกาสคุ้มกันพ่อค้าที่เดินทางเท้าไปยังรัฐเล็กๆ ที่อยู่ใกล้แม่น้ำเซ่นทมิฬเหล่านั้น
ตอนนี้ในขบวนรถยาวเหยียน มีเด็กหนุ่มหน้าตาเต็มไปด้วยกระ อายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดคนหนึ่ง กำลังนั่งอยู่บนรถม้าอย่างน่าสงสาร ในมือถือบังเหียนเอาไว้เหมือนคนขับรถม้า ประเดี๋ยวๆ ก็ขยับไปอย่างไร้เรี่ยวแรงสักทีสองที ตะโกนขึ้นมาบ้างเป็นพักๆ
เป็นหนิงเหยียนนั่นเอง
ข้างๆ เขามีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ มือไพล่หลัง เงยหน้า กำลังมองฟ้าดินที่ไกลๆ สีหน้าแฝงด้วยความหยิ่งทะนง
แสงอาทิตย์สาดทอบนร่าง เหมือนเพิ่มวงแสงให้กับเขา ท่ามกลางความรางเลือนก็ฉายความศักดิ์สิทธิ์ออกมากลุ่มหนึ่ง
“ท่าเรือโลกโลกีย์ข้ามาแล้ว ฟ้าตั้งแถวดินตั้งรับ ฉาบกลองกรับดังสนั่น!”
หนิงเหยียนฟังแล้วในใจนึกหงุดหงิดนัก เสียงตะโกนของตนไยจึงกลายเป็นเสียงกลองเสียงฉาบไปได้ เขารำคาญคนข้างๆ คนนี้ที่ท่องกลอนมาตลอดทางไม่หยุด แต่ไร้ซึ่งความหมายอะไรเลย
ดังนั้นแล้วจึงปรายตามองไป บ่นพึมพำ
“ต้องป่วยหนักด้วยโรคอะไรแน่ๆ!”
อู๋เจี้ยนอูได้ยิน ดวงตาทั้งสองพลันถลึงขึ้นมา ฉายแววดูถูก เอ่ยขึ้นราบเรียบ
“ลมผ่านหู เป็ดไก่ร้อง เพียงแค่มองก็รู้ว่าเป็นไพร่!”
หนิงเหยียนดวงตาโกรธเดือดดาล
อู๋เจี้ยนอูท่าทีหยิ่งทะนง
ตอนนี้ในห้องโดยสารรถมีเสียงจิตเทพที่กระตือรือร้นของนายกองดังมา
“กลอนบทนี้ไม่เลว มีท่วงทำนองแบบจักรพรรดิโบราณ สมแล้วที่เป็นอัจฉริยะฟ้าประทานยอดเขาลำดับหนึ่งแห่งสำนักเจ็ดเนตรโลหิตที่ข้าต้องไปเชิญถึงสามครั้ง ผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้สืบทอดที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว เอามาอีกบท!”
อู๋เจี้ยนอูได้ยินก็ตื้นตัน ภาคภูมิใจสุดๆ หนิงเหยียนเบ้ปาก ก้มหน้าไม่พูดอะไร ใช้แรงสะบัดบังเหียนในมือระบายอารมณ์
ในห้องโดยสาร สวี่ชิงมองข้างนอกผาดหนึ่ง สำหรับเรื่องที่นายกองเอาหนิงเหยียนออกมา สวี่ชิงเดาเอาไว้แล้ว แต่การปรากฏตัวของอู๋เจี้ยนอูทำให้เขาไม่ค่อยเข้าใจ
ตอนนี้หลิงเอ๋อร์มุดออกมาจากปกเสื้อ มาห้อยอยู่ที่หูสวี่ชิง มองไปทางนายกอง
นายกองขยิบตาให้หลิงเอ๋อร์ แล้วกระซิบกับสวี่ชิง
“เจ้าโง่นั่นพวกเราโอ๋ไปก่อน เขาอยู่ในแผนการของข้ามีประโยชน์อย่างมาก!”
พูดจบ นายกองก็ประกาศ
“นับจากนี้ พวกเราสามสี่คนก็คือขบวนการลักจันทร์ พี่น้องทั้งหลายสู้ๆ!”