ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 552 ยามที่สู้กับสวรรค์ หาไม่สักวันจะผันแปร (1)
บทที่ 552 ยามที่สู้กับสวรรค์ หาไม่สักวันจะผันแปร (1)
แผ่นหยกแผนที่ที่นายกองมอบให้สวี่ชิง เห็นได้ชัดว่าทิศทางที่สำรวจไว้ก่อนหน้าไม่ใช่ที่นี่ ดังนั้นจึงไม่ได้บันทึกไว้ละเอียด แค่บอกไว้คร่าวๆ เท่านั้น
แต่ก็ยังบรรยายว่าความร่วมมือสองชนเผ่านี้ไม่ใช่เผ่ามนุษย์
พวกเขาคือเผ่าคันฉ่องรวมถึงเผ่าผืนนภา
ที่ปรากฏตรงหน้าขู่ขอดูใบผ่านทางกับสวี่ชิง ก็คือเผ่าเงาคันฉ่อง
ร่างกายของเผ่านี้คือกระจก วัยเด็กเป็นกระจกบานเล็ก กระทั่งเติบใหญ่ก็ใหญ่ขึ้นมหาศาล
ถือเป็นหนึ่งในชนเผ่าแปลกประหลาด
และเป็นชนเผ่าที่ปรากฏขึ้นใหม่หลังจากที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้ามาเยือน
คนในเผ่านี้มีสองเพศในร่างเดียวกัน ขยายเผ่าพันธุ์รวดเร็วยิ่ง ส่วนพรสวรรค์ของพวกเขาคือสามารถส่องศัตรูไว้ในบานกระจก และควบคุมได้ในระดับหนึ่ง
ยิ่งมีบางส่วนที่ชอบรุกรานเผ่าอื่น เข้าไปสิงร่าง
แต่ที่ทำได้ถึงจุดนั้น ต้องมีพรสวรรค์แข็งแกร่ง มีเพียงทายาทสูงศักดิ์ในเผ่านี้เท่านั้นที่ทำได้
ส่วนพวกคนในเผ่าเงาคันฉ่องที่มาสกัดสวี่ชิงตอนนี้ ก็เป็นแค่ทหารชายแดนของเผ่านี้เท่านั้น พลังบำเพ็ญประมาณสร้างฐาน พลังบำเพ็ญใกล้เคียงกับฐานะของสวี่ชิงในตอนนี้
พวกเขาจึงกล้าแสดงเจตนาร้ายอย่างไม่ปิดบังต่อหน้าสวี่ชิง ราวกับว่าขอแค่สวี่ชิงบ่งบอกตัวตนไม่ได้ พวกเขาก็จะพุ่งมาสังหารเขาทันที
ถึงอย่างไรในสายตาพวกเขา เผ่ามนุษย์ก็เป็นชนเผ่าระดับล่าง
สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ มองเผ่าเงาคันฉ่องเหล่านี้อย่างเย็นชา สายตามาดร้ายของอีกฝ่าย เขาจดจำไว้แล้ว
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาลงมือ ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นพื้นที่ของอีกฝ่าย ดังนั้นหลังจากสวี่ชิงกวาดตามองพวกเขา จ้องมองตนเองที่สะท้อนอยู่ในกระจก
หลังจากนั้นก็โยนแผ่นหยกสำนักบุปผาหยินหยางที่นายกองให้ไว้ออกไป เขาอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะสัมผัสวัตถุอย่างไร
พริบตาต่อมา เผ่าเงาคันฉ่องตนหนึ่ง ร่างสวี่ชิงในบานกระจกของเขา ก็ยื่นมือออกจากผิวกระจก
มือผู้นี้ ในกระจกนั้นเหมือนกับของสวี่ชิงไม่ผิดเพี้ยน แต่หลังจากยื่นออกมากลับเป็นควันสีดำ รับแผ่นหยกไว้เหมือนกำลังตรวจสอบ
ไม่นานนัก พวกเขาก็ทราบผล ต่างขมวดคิ้ว
เจตนาร้ายกับความละโมบในแววตาไม่ได้สลายหายไปเท่าไรนัก พิจารณาสวี่ชิงซ้ำๆ หลายครั้ง เห็นได้ชัดว่าให้ไม่ค่อยอยากปล่อยให้เขาไป
สายตาสวี่ชิงเย็นชา สองฝั่งคุมเชิงกัน
ครู่ต่อมา เผ่าเงาคันฉ่องเหล่านั้น ก็มองหน้ากัน ยังเลือกที่จะควบคุมอารมณ์เอาไว้
เห็นได้ชัดว่าประโยชน์หนังพยัคฆ์อย่างสำนักบุปผาหยินหยางนี้ก็มีผลจริงๆ ดังนั้นสุดทหารชายแดนเผ่าเงาคันฉ่องก็ร่วงลงไปบนพื้นอีกครั้ง ผสานเข้าไปใต้ดินหายไป
สวี่ชิงมองพื้นดินที่พวกเขาซ่อนตัวผาดหนึ่ง ดินโคลนสีดำตรงนั้นดูปกติทุกอย่าง
ภาพนี้ ทำให้สวี่ชิงรู้สึกประหลาดใจ
‘ทำไมพวกมันต้องผสานเข้าไปใต้ดินด้วย’
สวี่ชิงสงสัย จุดนี้ในแผนที่ก็ไม่ได้ทำสัญลักษณ์ไว้
ดังนั้นสวี่ชิงจึงจดจำเรื่องนี้ไว้ หลังจากเก็บแผ่นหยก ก็เดินต่อไป เข้าไปในพื้นที่ความร่วมมือของสองเผ่า
แม้พื้นดินของที่นี่จะเป็นสีดำ แต่ท้องฟ้าขมุกขมัวแตกต่างกับที่แท่นบวงสรวงเล็ก ไม่รู้ว่าเพราะเข้าใกล้ทะเลเพลิงสวรรค์หรือไม่ ท้องฟ้าของที่นี่จึงดูสว่างกว่าเล็กน้อย
และในที่สุดผืนแผ่นดินนี้ก็ก็ไร้ซึ่งหลุมกระดูกแล้ว
หมู่บ้านหลายแห่งสะท้อนเข้ามาในดวงตาสวี่ชิงจากการที่เขาก้าวไปด้านหน้า
แตกต่างกับเมืองของเผ่ามนุษย์
เมืองของเผ่าเงาคันฉ่องมักจะสร้างขึ้นมาจากดินเผา ดูแล้วดำทมึนราวกับป้อมดิน
ระหว่างทางที่สวี่ชิงเดินผ่านก็พบเห็นไม่น้อย ทั้งหมดล้วนเป็นเช่นนี้
ต่อให้เป็นเมืองที่ใหญ่ขึ้น มากสุดก็เป็นแค่ป้อมดินที่อาณาบริเวณและโครงสร้างซับซ้อนขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น
จากภาพรวม เต็มไปด้วยความรู้สึกเสื่อมโทรมและหยาบกระด้าง
และในเผ่าเงาคันฉ่องเงียบสงัดไปหมด ที่นี่ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีความคึกคัก มีเพียงกระจกหลายบาน เดินไปเดินมาอยู่ในป้อมดิน บางครั้งก็ลอยไปมา
เผ่าเงาคันฉ่องทุกตนคล้ายไม่ชอบเอ่ยปากพูดคุยเท่าไรนัก ปกติส่งสายตาหากันก็สื่อสารแลกเปลี่ยนกันได้แล้ว
ชนเผ่าเช่นนี้ ถูกกำหนดให้ขับไล่คนภายนอก
การปรากฏตัวของสวี่ชิง ดึงดูดความสนใจของพวกเขา สายตามาดร้ายกวาดมาจากทั้งแปดทิศตลอดทาง แต่ที่เลือกลงมือ สวี่ชิงยังไม่พบ
และเผ่าเงาคันฉ่องนี้ใช่ว่าจะฝึกบำเพ็ญทุกตน มีคนธรรมดาเป็นส่วนใหญ่ ทว่าไม่มีสักคนที่เป็นกระจกที่สมบูรณ์ ล้วนแล้วแต่มีรอยแตกร้าว ที่น้อยหน่อยก็เจ็ดแปดรอย ที่มากหน่อยคือนับไม่ถ้วน
ส่วนหลังล้วนเป็นพวกอ่อนแอและปราณความตายอบอวล
นอกจากนี้รูปร่างของพวกเขาก็แตกต่างกัน มีทั้งร่างมนุษย์ มีทั้งร่างสัตว์ ดูสกปรกมอมแมม
กระทั่งยังมีบางส่วนที่ประกอบจากเศษกระจกนับไม่ถ้วน ขณะที่ดูแปลกประหลาดอย่างมาก สวี่ชิงยังพบว่าในความร่วมมือของสองเผ่านี้ ก็มีเผ่ามนุษย์อยู่ด้วย
เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าเผ่ามนุษย์ที่นี่อยู่ในสภาพอ่อนแอ และมีจำนวนไม่มาก ส่วนใหญ่ปะปนอยู่ในเมืองเผ่าเงาคันฉ่อง ฐานะต่ำต้อย
ตอนที่พวกเขาเห็นสวี่ชิง สีหน้าส่วนใหญ่จะด้านชา
สวี่ชิงมองสิ่งเหล่านี้ เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้
แม้ที่นี่จะไม่ห่างจากแผ่นดินเผ่ามนุษย์มากนัก โดยเฉพาะหลังจากที่เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์หวนคืนก็คั่นด้วยแม่น้ำเซ่นทมิฬเท่านั้น แต่ไม่มีผู้ที่คลายคำสาปของที่แห่งนี้ได้
ความจริงแล้วเผ่ามนุษย์ที่อยู่ที่อื่นก็เป็นเช่นนี้ เพราะการรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งของจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวในกาลก่อน พื้นที่มากมายในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์จึงเป็นพื้นที่ของเผ่ามนุษย์ ต่อมาจักรพรรดิมนุษย์ตงเซิ่งพ่ายแพ้ จึงทำให้เผ่ามนุษย์นับไม่ถ้วนกระจัดกระจาย ยากจะหวนคืน
หลังจากผ่านไปแต่ละยุคแต่ละสมัย ก็มีที่รุ่งเรืองอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่กลายเป็นชนเผ่าระดับล่าง
พวกเขาบ้างก็รู้ว่าตนเป็นเผ่ามนุษย์ หลายหมื่นปีต่อมาบ้างก็ลืมเลือนไปแล้ว สายเลือดผสมปนเปไม่จบไม่สิ้น
ยังมีบางส่วน ที่มองไปทางแผ่นดินใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ที่ห่างไกล ปรารถนาที่จะได้หวนคืน
ทว่าเส้นทางที่แสนยาวไกลรวมถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนของดินแดนต่างๆ ทำให้มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่มีคุณสมบัติหวนคืน และคนธรรมดาอีกนับไม่ถ้วนก็ไร้ความสามารถนี้
พวกเขาทำได้แค่รอ รอว่าสักวันหนึ่ง อาจจะมีจักรพรรดิโบราณเผ่ามนุษย์คนใหม่ปรากฏตัวขึ้น รวมแผ่นดินต้องประสงค์ ทำให้พวกเขาหวนคืนได้
การเฝ้ารอมานับหมื่นปี จนถึงวันนี้ ก็กลายเป็นความหวังที่ยิ่งพูดก็ยิ่งเลื่อนลอยของผู้คนทุกยุคทุกสมัย
ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ หลิงเอ๋อร์ก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ
เพราะเผ่าวิญญาณบรรพกาลก็เช่นกัน พวกเขารอมาเนิ่นนาน แต่ก็ไม่เป็นผล
แม้เหมือนจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลจะยังคงอยู่ แต่ประสบการณ์ที่หุบเหววิญญาณ ก็ทำให้หลิงเอ๋อร์รู้สึกสงสัยจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลนั่นเสียแล้ว นางไม่รู้ว่าอีกฝ่ายยังเป็นจักรพรรดิวิญญาณบรรพกาลที่นำเผ่าวิญญาณบรรพกาลรวบรวมแผ่นดินต้องประสงค์ให้เป็นหนึ่งหรือไม่
สวี่ชิงมองสิ่งเหล่านี้ ทำได้เพียงจากมาเงียบๆ ออกจากอาณาเขตของเผ่าเงาคันฉ่อง เดินเข้าไปในเผ่าผืนนภา
พื้นที่ที่เผ่านี้อาศัยอยู่ มีที่ราบน้อย ส่วนใหญ่เป็นเทือกเขา
พวกเขาก็เป็นชนเผ่าที่แปลกประหลาดเช่นเดียวกัน ร่างกายมีเลือดเนื้อ เพียงแต่สวมหน้ากากไว้ หรือหน้ากากอาจเป็นใบหน้าของพวกเขา
ส่วนรูปร่างก็ใกล้เคียงเผ่ามนุษย์ แต่กลับสูงใหญ่กว่าพอสมควร
คนในเผ่าสูงอยู่ที่ประมาณหนึ่งจั้งกว่า หน้ากากก็ไม่หูตาจมูก แต่เป็นรูปวาดต่างๆ แทน
เจตนาร้ายจากร่างพวกเขารุนแรงกว่าเผ่าเงาคันฉ่อง จุดที่สวี่ชิงเดินผ่าน เพียงแค่เห็นเขาก็อยากจะเข้ามาหาเรื่อง
แต่กลิ่นอายที่มาจากร่างสวี่ชิง ทำให้เผ่าผืนนภามากมายต้องเก็บงำเจตนาร้ายเอาไว้ แต่ก็มีพวกที่ไม่ดูตาม้าตาเรือเช่นกัน
ตลอดทางที่สวี่ชิงเดินไปตามเทือกเขา ก็เจอกับการลอบโจมตีหลายต่อหลายครั้ง
ผลลัพธ์แค่คิดก็รู้แล้ว
เมืองของเผ่านี้ก็ใหญ่โตเช่นกัน ยิ่งมีกลิ่นเหม็นสาบที่ทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายนัก
แต่เห็นได้ชัดว่าชนเผ่านี้สูดดมกลิ่นอายนี้ตลอดทั้งปี ดังนั้นสำหรับพวกเขาคือไม่ได้กลิ่น เคยชินกับทุกสิ่งในนี้นานแล้ว
เผ่ามนุษย์ในที่แห่งนี้ สวี่ชิงไม่เห็นเลย
เขาเห็นแค่ว่าในเมืองแห่งหนึ่งของเผ่าผืนนภา มีร้านอาหารอยู่แห่งหนึ่ง
เจ้าของคือสามีภรรยาเผ่าผืนนภาคู่หนึ่ง บนหน้ากากแฝงความเมตตาเปี่ยมล้ม แต่ในบรรดากระดูกมากมายที่แขวนอยู่ที่ประตู มีกระดูกมนุษย์อยู่ และมีกระดูกของเผ่าตัวเองด้วย
อ่อนแอ ก็ต้องถูกกลืนกิน
ไม่ว่าจะฝ่ายใด ล้วนเป็นเช่นนี้
ในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ คนกินคนในระดับล่างก็มีให้เห็นอยู่ไม่น้อย
“โลกาวินาศ…”
สวี่ชิงถอนใจเสียงเบา ออกจากที่นี่ กระทั่งมาถึงชายแดนเผ่าผืนนภา เขาก็มาถึงที่เป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้แล้ว
ทะเลเพลิงสวรรค์
สิ่งที่สะท้อนในดวงตาสวี่ชิง เป็นหินหนืดสีแดงไร้ที่สิ้นสุด ในนั้นเปลวเพลิงปะทุราวกับไม่มีวันดับมอดชั่วนิรันดร์บดบังสายตา
ที่แห่งนี้กว้างไพศาล ต่อให้สวี่ชิงลอยไปขึ้นฟ้าและมองลงมาก็ยังไม่เห็นจุดสิ้นสุด
ท้องฟ้าที่นี่สว่างไสวไปหมดด้วยทะเลเพลิงที่สาดแสง ขณะที่แสงของเปลวเพลิงลุกโหม อุณหภูมิสูงถึงขีดสุดก็แผ่มาจากด้านหน้า
ยังมีเสียงครืนครันในทะเลเพลิงดังก้อง มองเห็นฟองอากาศบนผิวหินหนืดเดือดปะทุ สาดซัดไฟใต้ดินมหาศาลออกมาราวกับดอกไม้ทำล้ายล้างโลกดอกหนึ่งแบ่งบาน
จับจ้องอยู่ครู่หนึ่ง สวี่ชิงก็พุ่งไปด้านหน้าหวีดหวิวอยู่ด้านบนขณะที่ดอกไม้ทำลายล้างโลกระเบิดทีละดอก
เขาไม่คิดจะสูดรับไฟของที่นี่ทันที แต่เตรียมตรวจสอบภาพรวมเสียหน่อย หาที่ฝึกบำเพ็ญที่เหมาะที่สุด
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่รู้ว่าตอนที่ตนหลอมตะเกียงชีวิต จะเกิดเรื่องแปลกประหลาดจนเกิดความยุ่งยากและการสอดส่องที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นหรือไม่
และผู้บำเพ็ญที่นี่ก็มีไม่น้อย
ถึงอย่างไรไฟที่นี่ก็มีวิธีนำออกไปด้านนอกได้ หลังจากผ่านการเก็บรักษาระดับหนึ่ง ในขณะที่พลานุภาพไม่ธรรมดา ก็มีส่วนช่วยในการหลอมยาและหลอมศัสตราด้วย
จึงมีมูลค่าในการเป็นสินค้า
ยิ่งมีบางส่วนที่ถนัดวิถีไฟแต่เดิม ก็เลือกมาฝึกบำเพ็ญที่นี่เช่นกัน
และส่วนใหญ่ล้วนระแวดระวังตัว เมื่อมีผู้อื่นเข้าใกล้ ก็จะแผ่เจตนาร้ายออกมาทันที รักษาระยะห่างอย่างรวดเร็ว
แต่จากภาพรวม ส่วนใหญ่เป็นเผ่าเงาคันฉ่องกับเผ่าผืนนภา
และการไปมาระหว่างทะเลเพลิงสวรรค์นี้ตลอดปี พวกเขาจึงมีวิธีการมากมายในการหลีกเลี่ยงความร้อนของไฟ ยกระดับร่างกายในด้านพลังต้านทานที่นี่
ขณะเดียวกันสวี่ชิงก็พบสถานที่พิเศษแห่งหนึ่ง ที่นี่มีผู้บำเพ็ญอยู่บางส่วน ในมือถือสิ่งที่เหมือนกับจานเข็มทิศ เดินไปด้านหน้าราวกับกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง
สวี่ชิงครุ่นคิด เขายังไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับทะเลเพลิงสวรรค์ทุกด้าน และที่นี่ก็ไม่เหมาะที่จะเข้าไปสอบถามด้วย ดังนั้นเขาจึงคอยสังเกตตามความเคยชิน
เป็นเช่นนี้ ระหว่างที่สังเกต สวี่ชิงพุ่งทะยานเหนือทะเลเพลิง แม้เขาข่มความเร็วเอาไว้แต่ก็ไม่ได้ช้า เพียงแต่ช่วงเวลาสามวัน เขาก็ยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของทะเลเพลิง
‘พื้นที่นี้ใหญ่โตเหลือเกิน หากอยากจะเดินสักรอบ คงใช้เวลาเนิ่นนานยิ่ง…’
แต่ว่าสำหรับผู้บำเพ็ญที่ถือจานเข็มทิศเหล่านั้น สวี่ชิงก็เห็นคำตอบแล้วในช่วงสามวันนี้
พวกเขากำลังมองหาก้อนหินสีขาวชนิดหนึ่ง
หินชนิดนี้คล้ายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในทะเลเพลิงแห่งนี้ คล้ายกับหินวิญญาณ แต่มูลค่าสูงกว่าอย่างชัดเจน อีกทั้งมีปริมาณไม่มาก มักจะซ่อนอยู่ใต้หินหนืด ต้องใช้จานเข็มทิศจับปฏิกิริยาแล้วไปเก็บมา
สวี่ชิงมองสิ่งเหล่านี้อยู่ห่างๆ
แต่อีกฝ่ายก็ระวังตัวอย่างมาก แผ่จิตอริออกมา สวี่ชิงก็รู้ขอบเขต จึงไม่เข้าไปใกล้ หลังจากหายสงสัยก็รีบจากมาอย่างรวดเร็ว
ทะยานต่อไปอีกหลายวัน จนสุดท้ายเข้าใจทะเลเพลิงอย่างถ่องแท้ และหลังจากที่เห็นผู้บำเพ็ญรอบๆ น้อยลง สวี่ชิงก็ล้มเลิกความคิดเดิม
“ลองที่นี่ดูก่อนสักหน่อยแล้วกัน!”