ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 554 หยุดเวลา (1)
บทที่ 554 หยุดเวลา (1)
แสงผลึกวารีสีม่วงผสานไปกับตะเกียงแห่งชีวิตที่เกิดจากสายโลหิต หลังจากการค้นคว้าของสวี่ชิงพบว่าพลังของมันเกี่ยวกับเวลาจริงๆ แต่ก็ไม่ได้ทั้งหมด
ยกตัวอย่างเช่นการป้องกันวิญญาณจากร่มดำ ไม่ได้ถูกหลอมละลายหายไป ยังคงอยู่เช่นเดิม
อีกทั้งเทียบกับอดีตยังแข็งแกร่งขึ้นอีกนิดด้วย
นอกจากนี้เวลาของนาฬิกาแดดกับเวลาโลกภายนอกห่างกันประมาณเจ็ดชั่วยามกว่าๆ
สวี่ชิงไม่รู้ว่าความแตกต่างของเวลานี้แฝงความลับอะไรไว้ หลังจากขบคิดก็ไม่ได้ตอบคำตอบ
เวลาเจ็ดวัน เขาลองให้นาฬิกาแดดเร่งความเร็ว แต่ตะเกียงแห่งชีวิตที่แปลงมาจากปราณเหมือนจะถูกเหนี่ยวนำ ยากจะทำได้
ส่วนย้อนเวลากลับก็เช่นกัน
ทำให้มันหยุดก็เช่นกัน
ทั้งๆ ที่นาฬิกาแดดมีต้นกำเนิดพลังเดียวกับเขา แต่กลับขยับหมุนเอง ต่อให้สวี่ชิงบังคับปราณออกไป แต่ตะเกียงแห่งชีวิตก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม เคลื่อนไปตามวิธีที่กำหนดไว้เช่นเดิม
เช่นนี้คล้ายกับตอนที่สวี่ชิงเพิ่งได้ผลึกวารีสีม่วง
จนสวี่ชิงคิดได้วิธีหนึ่ง
เขาไม่สามารถเปลี่ยนการขยับหมุนของตะเกียงแห่งชีวิตได้ และไม่สามารถทำให้หน้าปัดนาฬิกาหมุนเอง แต่เขาสามารถควบคุมเข็มนาฬิกาได้!
อย่างไรเสีย พูดจากรากฐานแล้ว เข็มนาฬิกาเป็นสิ่งที่หลอมขึ้นจากสายเลือดของเขาจริงๆ
เขาสามารถควบคุมให้เข็มนาฬิกาไปจากหน้าปัดนาฬิกา ทำให้มันพุ่งออกไปได้
และจากการลองเขาก็พบว่า ทันทีที่เข็มนาฬิกาลอยออกไป หน้าปัดนาฬิกาก็เหมือนสูญเสียทิศทาง สูญเสียการชี้นำ ตะเกียงหยุดลง ไม่ขยับเคลื่อนไหวอีกต่อไป
จึงไม่มีแนวคิดเรื่องเวลา ไม่ว่าแสงตะเกียงจะส่องสว่างเพียงใด ก็เป็นเพียงแค่แสงส่องสว่างเท่านั้น
กระทั่งมีเค้ารางว่าหน้าปัดนาฬิกาเกิดสัญญาณเน่าเปื่อย
และเมื่อสวี่ชิงใส่เข็มนาฬิกากลับไปใหม่อีกครั้ง หน้าปัดนาฬิกาฟื้นคืนสภาพ แสงตะเกียงขยับเคลื่อนไหวต่อ เงาเข็มก็เป็นปกติตามไปด้วย
ด้านเวลาก็ยังคงเริ่มนับต่อจากเสี้ยวขณะที่เข็มนาฬิกาลอยออกไปก่อนหน้านี้
มองจากมุมหนึ่ง เข็มนาฬิกาพุ่งออกไปจนกระทั่งกลับมา เวลาระหว่างนั้นเหมือนว่าหายไป
“เช่นนั้นก็เข้าใจได้ว่าถูกหยุดลงได้หรือไม่”
สวี่ชิงพึมพำ ดวงตาฉายประกายแววครุ่นคิด บางทีเขารู้สึกว่าวิธีนี้ของตัวเองอาจจะไม่ได้ถูกต้อง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร นี่คือความสามารถแรกที่ค้นพบได้จากตะเกียงแห่งชีวิต
และทันทีที่นาฬิกาแดดเสียเข็มไป เวลาก็เหมือนถูกหยุด หลิงเอ๋อร์ที่กำลังโผล่หัวออกมาจากแขนเสื้อสวี่ชิง เลื้อยไปที่หูเขา หลังจากที่สวี่ชิงก้มหน้า สายตามองไป ร่างของนางก็หยุดชะงัก
นิ่งไม่ไหวติง
เหมือนว่าเวลาของนางถูกหยุดเอาไว้
เหตุการณ์ทั้งหมดเพียงเสี้ยวพริบตาก็กลับเป็นปกติ เพราะสวี่ชิงพบว่าการเน่าเปื่อยของหน้าปัดนาฬิกามีความสัมพันธ์กับเรื่องนี้
การค้นพบนี้ทำให้จิตใจของสวี่ชิงเกิดระลอกคลื่นลูกมหึมา
‘ในเสี้ยวพริบตาที่ดึงเข็มนาฬิกาออก เวลารอบๆ ตัวข้าจะหยุดลงภายใต้สายตาของข้าอย่างนั้นหรือ’
สวี่ชิงรีบลองอีกหลายครั้ง หลิงเอ๋อร์รางเลือนไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เรื่องที่ตัวเองเวลาหยุดไปหลายครั้ง
นางพยายามเลื้อยไปที่หูสวี่ชิง ร่างเดี๋ยวหยุดเดี๋ยวชะงัก ระยะทางที่แต่ก่อนไม่นานก็มาถึง ตอนนี้สำหรับนางแล้วคล้ายว่าห่างไกลเหลือเกิน
จนกระทั่งครู่หนึ่ง ในที่สุดนางก็เลื้อยมาถึงหูสวี่ชิง มองไปทางเขาอย่างเขินอาย
“พี่สวี่ชิง ท่านมองข้าเช่นนี้ทำไมเจ้าคะ”
ประโยคนี้สวี่ชิงค่อนข้างคุ้นหู แต่ตอนนี้ความคิดของเขาซัดโหม ไม่ได้ไปขบคิดให้ลึก หลังจากพยักหน้าก็ถามไปว่า
“หลิงเอ๋อร์ เมื่อครู่เจ้ารู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่”
หลิงเอ๋อร์แปลกใจ ส่ายหน้า
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด ค้นคว้าต่อไป
หลิงเอ๋อร์ประหลาดใจ แต่ก็รู้ว่าตอนนี้พี่สวี่ชิงกำลังยุ่ง จึงหาท่าที่สบาย เลื้อยไปเลื้อยมา เล่นกับตัวเอง
สวี่ชิงคิดในใจ
‘หลิงเอ๋อร์ไม่รู้เรื่องที่เวลาตัวเองหยุด เช่นนั้นความสามารถนี้ขอบเขตของมันกว้างเพียงใด…’
สวี่ชิงใจเต้น เดินออกไปจากถ้ำ มองฟ้าและดินที่มืดมิดข้างนอก สัมผัสลมรอบๆ และความร้อนที่ยังระอุอยู่ข้างใน แล้วมองไปทางทะเลเพลิงที่แสงเปลวไฟท่วมฟ้าที่ไกล
เขาคิดๆ แต่ก็ยังไม่กล้า
สวี่ชิงรู้สึกว่าด้วยพลังตอนนี้ของตัวเอง และนาฬิกาแดดที่เพิ่งก่อขึ้นมา หากแผ่พลังหยุดเวลาออกไปเป็นบริเวณกว้าง เช่นมองไปทางการโคจรของดวงดาว มองไปทางการไหลเวียนของลม มองไปยังการโคจรของโลก
เช่นนั้นจุดจบของตัวเองคงจะดับสลายทั้งจิตและวิญญาณทันทีแน่นอน
หากเปรียบเทียบการโคจรของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์เป็นอสูรยักษ์ที่ห้อตะบึง กฎเกณฑ์ทุกทางในนั้นเป็นส่วนหนึ่งของพลังอสูรยักษ์ และตนในตอนนี้ก็เป็นเพียงเชือกธรรมดาๆ เส้นหนึ่ง
ใช้เชือกเช่นนี้ ไปรัดอสูรยักษ์ จุดจบแค่คิดก็รู้
“ช่างดีกว่า…”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง แต่เขารู้สึกว่าความสามารถนี้ หากสำแดงในตอนสังหารทำลายล้าง พลังจะต้องน่าครั่นคร้ามมากอย่างแน่นอน
“ตั้งชื่อความสามารถนี้ว่าหยุดเวลา!”
สวี่ชิงพึมพำ เขามีความรู้สึกว่าพลังของตะเกียงแห่งชีวิตนาฬิกาแดดน่าจะยังมีอีกมาก ต้องให้ตัวเองค่อยๆ ศึกษาและค้นพบ
‘เรื่องนี้ไม่รีบ ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือหลอมตะเกียงที่เหลือทั้งสี่’
ร่างกายของเขาในเจ็ดวันนี้ก็ฟื้นฟูกลับมาอยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์ที่สุด สามารถไปฝึกฝนต่อที่ทะเลพลิงสวรรค์ได้ อีกทั้งหลังจากที่ผ่านการปกคลุมจากเปลวไฟจากหินหนืดแล้ว การต้านทานต่อเพลิงสวรรค์ของเขาก็เพิ่มมากขึ้น
ดังนั้นสวี่ชิงจึงไม่เสียเวลา ทะยานไปในความมืดอย่างรวดเร็ว ค่อยๆ เดินเข้าไปที่แสงเพลิง ก้าวเข้าไปในทะเลเพลิง
ครั้งนี้สวี่ชิงเรียนรู้จากบทเรียนครั้งก่อน เขาไปยังที่ที่ไกลขึ้น อีกทั้งคอยระวังการปรากฏขึ้นของหินผลึกวารีสีแดงอยู่ตลอด ขณะเดียวกันก็เปลี่ยนพื้นที่ถี่ขึ้น
ส่วนสุดท้ายจะเกิดคลื่นวนพันจั้งหรือไม่ สวี่ชิงไม่แน่ใจ
เรื่องนี้ไม่สามารถปกปิดได้ เขาจึงเลือกตำแหน่งที่ยิ่งห่างไกลออกมา
ยี่สิบวันผ่านไปเช่นนี้
การหลอมตะเกียงลมครวญเจ็ดสี ไม่รู้ว่าเป็นการเพิ่มพลังจากนาฬิกาแดด หรือเป็นเพราะตัวของตะเกียงเอง ด้านความเร็วของการหลอมเร็วกว่าตะเกียงแห่งชีวิตร่มดำเล็กน้อย
จากการหลอมของมันทีละเล็กทีละน้อย ความเข้มข้นของสารตะเกียงแห่งชีวิตในสายเลือดสวี่ชิงเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ความรู้สึกที่คล้ายกันทำให้เขารู้ดีว่าตะเกียงแห่งชีวิตของตัวเองใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว
ในที่สุด หลังจากวันที่ยี่สิบสาม สวี่ชิงที่จมอยู่ในหินหนืดก็พลันลืมตาขึ้นมา
คลื่นวนพันจั้งลูกหนึ่งปรากฏขึ้นรอบๆ เขา ท่ามกลางการหมุนวนเสียงดังครืนครัน ตะเกียงลมครวญเจ็ดสีหายไปโดยสมบูรณ์ ตะเกียงแห่งชีวิตนาฬิกาแดดดวงที่สองปรากฏขึ้นมายังหมอกแห่งชะตาในทะเลความรู้สึกของสวี่ชิง
เหมือนกับนาฬิกาแดดดวงแรกไม่ผิดเพี้ยน!
นี่ถึงจะเป็นลักษณะที่ควรจะเป็นของตะเกียงแห่งชีวิตที่กำเนิดจากสายเลือดที่แท้จริง
เจ้าเหนือหัวและผู้สืบสายเลือดของเขาเหล่านั้น ในด้านรูปลักษณ์ของตะเกียงแห่งชีวิตล้วนเป็นเช่นนี้
ส่วนคนนอกหากอยากรวบครบชุด ความยากมากกว่ารวบรวมตะเกียงแห่งชีวิตอย่างมหาศาล
ตอนนี้จากการปรากฏตัวออกมาของเขา เงาเข็มบนนั้นก็เริ่มขยับ เวลาก็ห่างจากตะเกียงแห่งชีวิตดวงแรกเจ็ดชั่วยามเช่นกัน
การโคจรพร้อมกันของนาฬิกาแดดสองอัน ทำให้การหมุนวนของพื้นที่ภายในและภายนอกบริเวณพันจั้งเกิดการปะทะกันรุนแรงขึ้น ท่ามกลางความรางเลือนยังรอยแยกมิติเป็นทางๆ ถูกฉีกออกมา
ขณะที่ดูแล้วน่าครั่นคร้ามสยดสยอง สวี่ชิงก็สัมผัสได้ถึงพลังของตะเกียงแห่งชีวิตดวงที่สองของตัวเองว่ายังคงรักษาการคุ้มกันกายเนื้อของตะเกียงลมครวญเจ็ดสีแต่เดิมเอาไว้เช่นกัน
อีกทั้งการเพิ่มพลังซึ่งกันและกันที่เกิดขึ้นระหว่างตะเกียงทั้งสองดวงก็น่าครั่นคร้ามนัก เหนือกว่าอดีตอย่างมหาศาล
และวิชาหยุดเวลาที่เขาคิดค้นพลังก็ปะทุขึ้นอีกหนึ่งเท่า
ส่วนผลึกวารีสีแดงยิ่งถูกสวี่ชิงเก็บไปในทันที เก็บไปในกล่อง สกัดกั้นกลิ่นอาย
มีเพียงคลื่นวนลูกนี้ที่บางทีอาจจะดึงดูดความสนใจ แต่เนื่องจากอยู่ห่างไกล ดังนั้นขอบเขตการดึงดูดก็ไม่กว้างมาก ต่างไปจากจานเข็มทิศสัมผัสรับรู้ผลึกเพลิงสวรรค์ที่อ่อนไหวถึงเพียงนั้น
เดิมสวี่ชิงทำเช่นนี้ก็จะหลบหลีกปัญหาได้เป็นอย่างมาก แต่บางครั้ง ชะตาชีวิตก็ยากจะคาดเดา
ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ ในพื้นที่พันจั้ง ขณะที่คลื่นวนหมุนวนไม่หยุด ก็พลันมีผลึกวารีสีแดงสามก้อน ถูกหอบม้วนออกมาจากในจุดลึกของหินหนืด หมุนวนตามคลื่นวน
เมื่อสวี่ชิงเห็นก็หน้าเปลี่ยนสี ลงมือไปตามสัญชาตญาณจะเก็บพวกมันเอาไว้ แต่หลังจากที่คิดก็ล้มเลิกความคิด
ตอนนี้เก็บมันไป ก็ไม่อาจหยุดเรื่องที่ถูกค้นพบได้ ดังนั้นสวี่ชิงจึงกัดฟัน ไม่สนใจ จากไปอย่างรวดเร็ว
ของแบบนี้เขาไม่สนใจ
หากสามารถใช้มันดึงดูดความสนใจคนอื่นไป ก็ยิ่งสะดวกต่อการอำพรางของเขา
และเรื่องที่เกิดขึ้นที่ทะเลเพลิงสวรรค์เมื่อหนึ่งเดือนก่อน เนื่องจากความล้มเหลวในตอนสุดท้ายจึงคลี่คลายได้ แต่เผ่าเงาคันฉ่องและเผ่าผืนนภาไม่ได้ล้มเลิกความพยายาม
เพราะผลึกเพลิงสวรรค์ที่จะปรากฏขึ้นจากการคำนวณหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีมากถึงหลายสิบก้อน
ต่อให้มีซ้ำ แต่คิดแล้วจำนวนจริงๆ ก็คงจะไม่น้อย อย่างไรเสีย ครั้งสุดท้ายก็ปรากฏออกมาพร้อมกันถึงยี่สิบกว่าก้อน
จำนวนนี้มากพอจะให้พวกเขาให้ความสำคัญ ราชครูยังมาด้วยตัวเอง
ดังนั้น แทบจะในพริบตาที่ผลึกเพลิงสวรรค์ถูกหอบม้วนออกมาจากใต้ทะเล พวกเขาก็จับเป้าหมายแล้ว เดิมคิดว่าคงเหมือนกับครั้งที่แล้วที่หายไปในทันที
แต่หลังจากที่พบว่าครั้งนี้ไม่ได้หายไป เป้าหมายของพวกเขาชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง พุ่งตรงไปที่นั่น
สวี่ชิงที่ไปไกลจากคลื่นวน ตลอดทางความเร็วเป็นอย่างยิ่ง ไม่หยุดเลยแม้แต่น้อย แต่ไม่นานนักเขาก็ค้นพบความไม่ชอบมาพากล
ที่ไกลๆ มีผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่องกลุ่มหนึ่ง พวกเขาเหมือนจะจับเป้าหมายสวี่ชิงได้ เพียงพริบตาก็มาขวางเขาเอาไว้จากอีกทางหนึ่ง ในนั้นมีผู้บำเพ็ญแก่นลมปราณสี่คน และมีผู้บำเพ็ญที่แผ่ระลอกคลื่นระดับปราณก่อกำเนิดสองคน
คนหนึ่งหนึ่งทัณฑ์ อีกคนหนึ่งสองทัณฑ์
หลังจากสังเกตเห็นสวี่ชิง สีหน้าของพวกเขาตื่นเต้น ผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณรีบแจ้งเผ่าพันธุ์ทันที ส่วนผู้บำเพ็ญปราณก่อกำเนิดกลับพุ่งตรงมาหาสวี่ชิง
‘หาข้าเจอด้วยหรือ’
สวี่ชิงขมวดคิ้ว เขาสัมผัสได้อย่างลึกซึ้งถึงความยุ่งยากจากการขาดข้อมูลและรายงานข่าวนำมาให้เมื่อที่อยู่ในสถานที่คุ้นเคย
‘หรือว่าผลึกเพลิงเก็บลงกล่องไปแล้วก็ถูกสัมผัสรับรู้ได้อย่างนั้นหรือ’
จิตสังหารฉายวาบขึ้นในดวงตาสวี่ชิง ช่วงนี้เขาหนีไปหนีมา จิตสังหารในใจสะสมมากมาย ตอนนี้เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้ จิตสังหารพุ่งรุนแรงทันที
‘ในเมื่อขาดรายงานข่าว เช่นนั้นก็ฆ่าให้มากสักหน่อย ก็จะถามสาเหตุออกมาได้’
พิษในร่างสวี่ชิงแผ่ออกมาอีกครั้ง เจ้าเงาก็ระงับเอาไว้ไม่ไหวแล้ว ก้างปลาแผ่ประกายความคมออกมา ปราณทั้งหมดในร่างของเขาล้วนปะทุระลอกคลื่นพลังออกมา
กำลังจะลงมือ
แต่ในตอนนี้เอง เงาร่างรางเลือนคุ้นเคยร่างหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นข้างหลังผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่องที่พุ่งมาหาสวี่ชิงสองคนนั้น สองมือยกขึ้น ทุบหนึ่งทีหนึ่งคน
เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังที่แข็งแกร่ง ผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่องสองคนนั้นท่ามกลางความหวาดกลัวก็ยากจะหลบหลีก ในพริบตาที่เสียงร้องน่าอนาถดังขึ้น ก็ระเบิดทันที เลือดเนื้อและปราณแหลกเละปะปนกัน แต่ก็เหมือนกับที่สวี่ชิงเห็นในตอนนั้น รวมตัวกันอย่างรวดเร็ว
ครั้งนี้ไม่ได้รวมหน้ากาก แค่รวมไปที่กระจกของเผ่านี้ ถูกตาแก่เผ่ามนุษย์คนนี้คว้าเอาไป