ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 556 บางคำโกหกก็เรียกว่าความหวัง (1)
บทที่ 556 บางคำโกหกก็เรียกว่าความหวัง (1)
ที่เรียกว่าเพลิงสวรรค์ผ่านท้องฟ้า เพราะในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรามีการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง
หลักการการเกิดขึ้นของมันก็เล่าลือแตกต่างกันไป บางคนบอกว่าเกิดจากการชักนำของกระแสพลังของพระจันทร์สีชาด เพราะยิ่งพระจันทร์สีชาดใกล้มาเยือนเท่าไร เพลิงสวรรค์ผ่านท้องฟ้าก็ปรากฏบ่อยครั้งเท่านั้น
บางคนก็บอกว่าเจ้าเหนือหัวที่เคยถูกพระจันทร์สีชาดสะกดจนตายคนนั้นกำลังกลับมา
และทุกครั้งที่เพลิงสวรรค์ผ่านท้องฟ้าปรากฏ ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราจะสว่างไสวไปหมด ทะเลเพลิงโหมขึ้นมาบนฟากฟ้าจากทางทิศตะวันออก จวบจนปกคลุมทั้งท้องนภา
ยิ่งอยู่ใกล้ทิศตะวันออก แสงและความร้อนระอุก็ยิ่งรุนแรง ขณะเดียวกันยังมีฝนเพลิงในระดับที่แตกต่างกันโปรยปรายลงมาด้วย
ติดต่อกันเป็นเวลานับเดือน ทะเลเพลิงบนท้องฟ้าถึงจะหวนย้อนกลับไปในทะเลเพลิงสวรรค์ด้านตะวันออกอีกครั้ง นี่นับว่าเป็นวัฏจักรหนึ่งครั้ง
ในระหว่างนี้ ทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราด้านตะวันออก นอกจากพื้นที่อย่างแท่นบวงสรวงเล็ก ที่อื่นส่วนใหญ่ล้วนลุกเป็นไฟในฝนเพลิง
ไม่ว่าจะเมืองหรือว่าต้นไม้ใบหญ้า ส่วนใหญ่กลายเป็นฝุ่นธุลีกันหมด
นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมเมืองในพื้นที่ความร่วมมือสองเผ่าส่วนใหญ่จึงสร้างจากดินเผาหยาบๆ มีเพียงเมืองศักดิ์สิทธิ์ร่วมของพวกเขาถึงมีการสนับสนุนจากผู้วิเศษของทั้งสองเผ่า ผนวกกับใช้ค่ายกลพิเศษบางอย่างฝืนรับมือ แต่ก็ยังเลี่ยงความเสียหายไม่ได้
ทุกครั้งที่เพลิงสวรรค์ย้อนกลับไปก็ต้องเริ่มสร้างใหม่ ดินก็ต้องพรวนเพื่อชะล้างพิษเพลิง นี่เป็นต้นกำเนิดการเพาะปลูกของคนธรรมดา
ดีที่เพลิงสวรรค์ผ่านท้องฟ้า มักจะเกิดขึ้นทุกสิบปี ไม่ได้บ่อยมากนัก ส่วนที่ถูกทำลายจะเป็นทางตะวันออกเป็นหลัก พื้นที่อื่นๆ ผลกระทบไม่มากนัก และผู้บำเพ็ญก็ใช้วิชาเวทในการสร้าง ไม่ได้ยากเย็นแสนเข็ญอันใด
ส่วนคนธรรมดา ต้องหาวิธีเข้าไปในเมืองศักดิ์สิทธิ์ล่วงหน้าเพื่อหลบภัย แต่ก็ต้องจ่ายออกไปไม่น้อย หากมีปัจจัยไม่เพียงพอ…เช่นนั้นก็ทำได้แค่หลบซ่อนอยู่ใต้ดิน
ใช้คุณสมบัติในการปรับตัวให้เข้ากับเพลิงสวรรค์จากรุ่นสู่รุ่นของพวกเขาหลบภัยพิบัติจากเพลิงนี้
นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมสวี่ชิงถึงเห็นทหารชายแดนซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน พวกเขาต้องแยกย้ายไปอยู่ใต้ดินก่อนที่เพลิงสวรรค์จะมาเยือน ทำให้ตัวเองผสานเป็นหนึ่งเดียวกับดิน
เพียงแต่วิธีเหล่านี้ เป็นสิ่งพวกเขาพัฒนามาจากการปรับตัวในที่แห่งนี้ แต่สวี่ชิงไม่มี
ตอนนี้ใต้ดินที่เขาอยู่ รอบด้านร้อนระอุอย่างยิ่ง ดินเริ่มตกผลึก ขณะที่อุณหภูมิสูงปกคลุม ความรู้สึกไม่ค่อยสบายรุนแรงก็ปรากฏขึ้นในใจสวี่ชิง
“อุณหภูมิเกือบจะใกล้เคียงกับที่ผิวหินหนืดแล้ว แต่นี่ก็เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น…”
เหงื่อผุดที่หน้าผากสวี่ชิง ร่างกายเหนียวเหนอะหนะ เริ่มจะกักเก็บน้ำในร่างกายไว้ไม่อยู่ สิ่งนี้ทำให้เขาเริ่มรู้สึกไม่ดีเลาๆ หนีไปยังพื้นดินส่วนที่ลึกยิ่งกว่า
จนมาถึงบริเวณที่ลึกในระดับหนึ่งถึงรู้สึกดีขึ้นบ้าง แต่ความรู้สึกวิกฤติที่มาจากจิตใจรวมถึงลางสังหรณ์ที่เกิดจากการอยู่ไม่สุขของอสูรสมุทรบรรพกาลยังคงรุนแรง
เขาจึงไม่ได้เก็บประสาทสัมผัสเทพกลับมา สังเกตโลกภายนอกอย่างใกล้ชิด
ในสัมผัสของเขา ท้องฟ้าโลกภายนอกเวลานี้แสงเพลิงแสบตา หินหนืดตีเกลียวบนฟากฟ้าเหมือนถูกขับไล่ออกไป แผ่ขยายไปอย่างต่อเนื่องจากการทำปางมือของแขนขาดสองข้าง
ขณะเดียวกันฝนเพลิงมหาศาลก็โปรยปรายลงมา ยอดเขาหลายแห่งเริ่มหลอมละลาย ไม่เป็นรูปเป็นร่าง
เหนือพื้นดินใต้ผืนฟ้าเป็นเปลวเพลิงไม่รู้จบ เขม่าควันลอยฟุ้ง ความร้อนระอุน่าครั่นคร้าม
ระดับความน่ากลัวของมัน จากที่สวี่ชิงวิเคราะห์ เทียบเท่ากับความร้อนตอนที่ตนอยู่ในหินหนืดลึกหนึ่งจั้งได้
“เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว!”
ความรู้สึกวิกฤติยิ่งรุนแรงขึ้นในใจ เขามองไปยังส่วนที่ลึกกว่าของแพ้นดิน ดวงตาฉายแววครุ่นคิด
จะลงไปต่อก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่สุดท้ายร่างกายก็มีขีดจำกัด ถึงอย่างไรในพื้นดินของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ก็มีแรงกดดันอยู่ หากสวี่ชิงขุดลึกเกินไป ร่างกายก็ทานรับไม่ไหวเช่นกัน
‘ยิ่งไม่รู้ว่าเพลิงสวรรค์แผ่คลื่นความร้อนไปถึงส่วนที่ลึกยิ่งกว่านี้หรือไม่…ถ้าหากพลังที่แผ่ออกมาเหนือกว่าขีดจำกัดที่ข้าขุดลงไปได้ สำหรับข้าก็คือสกานการณ์สิ้นหวัง’
สวี่ชิงชั่งน้ำหนักในใจ เขาสัมผัสได้ว่านี่คือเพลิงสวรรค์เพียงวันแรก หลังจากนี้จะต้องน่ากลัวกว่านี้เป็นแน่
สวี่ชิงจึงรีบล้วงแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมา
ในแผ่นหยกนี้ เป็นแผนที่ง่ายๆ ที่ตวนมู่ฉางชายชราเผ่ามนุษย์มอบให้เขาไว้ก่อนหน้านี้ และเป็นเขาที่บอกสวี่ชิงว่าเพลิงสวรรค์กำลังมา บอกว่าหากไม่มีที่ไป ก็มาที่สถานที่ในแผนที่นี้ได้
หลังจากสวี่ชิงครุ่นคิด ก็ตัดสินใจว่าจะลองไปดูก่อน หากไม่ไหวจริงๆ ค่อยลงไปใต้ดินแล้วเดิมพันดูสักตั้ง หรืออาจจะออกจากพื้นที่ความร่วมมือของสองเผ่าด้วยความเร็วทั้งหมด ให้ไกลจากต้นกำเนิดเพลิง
คิดถึงจุดนี้ เขาก็ร่างไหววูบ พุ่งไปบนพื้น
เขาไม่ได้เลือกหนีไปทางใต้ดิน หากทำเช่นนี้จะค่อนข้างช้า เพราะขณะที่พุ่งไป ร่างกายเขาก็อยู่ท่ามกลางอุณหภูมิสูง ยิ่งเข้าใกล้หน้าดิน อุณหภูมิก็ยิ่งน่าหวาดหวั่น
จนกระทั่งตอนที่ทะลวงดินขึ้นมาปรากฏตัวบนพื้น ทั่วร่างสวี่ชิงก็ปรากฏรอยแผลไฟไหม้
ความปวดแสบปวดร้อนลุกลามไปทั่ว
อุณหภูมิระหว่างฟ้าดินเหนือกว่าความร้อนระอุใต้หินหนืดหนึ่งจั้งไปแล้ว ต่อให้ร่างกายสวี่ชิงจะไม่ธรรมดาและพร้อมฟื้นฟู แต่ความปวดแสบปวดร้อนที่ถูกแผดเผานั่นยังคงรุนแรง
ที่สำคัญที่สุดคือ ทะเลเพลิงผืนนี้โจมตีจิตวิญญาณด้วย ต่อให้สวี่ชิงจะมีตะเกียงแห่งชีวิตนาฬิกาแดดสนับสนุน แต่ก็ยังทนรับได้ไม่นานนัก
นี่ก็เป็นสาเหตุที่ก่อนหน้านี้เขาไม่สามารถหลอมตะเกียงแห่งชีวิตในทะเลเพลิงสวรรค์เป็นเวลานานได้
กายเนื้อคือด้านหนึ่ง จิตวิญญาณก็เป็นอีกด้านหนึ่ง
โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับกายเนื้อ จิตวิญญาณของสวี่ชิงอ่อนแอกว่ามาก
‘อยู่นานเกินไปไม่ได้’ อากาศที่สวี่ชิงหายใจเข้าไปล้วนเป็นไอร้อน เมื่อเข้าไปในร่างกายก็ราวกับกำลังแผดเผาทั้งภายในและภายนอก
เขาพลันพุ่งไปอย่างไม่ลังเล ขณะที่ทะยานอย่างรวดเร็วบนทะเลเพลิง ก็ล้วงเอาร่มคันนั้นที่ตวนมู่ฉางมอบให้ เมื่อกางร่มก็ปิดกั้นอุณหภูมิได้บ้าง
สวี่ชิงสบายตัวทันที เร่งความเร็วขึ้น
ขณะที่หวีดหวิว ทั้งตัวคนก็โหมลมพายุ ทุกแห่งที่ผ่าน เปลวเพลิงก็ครืนครันตามมา
ผ่านไปสองวัน อุณหภูมิโลกภายนอกก็ยิ่งน่าตื่นตะลึงเช่นนี้ ที่เห็นทั้งหมดล้วนเป็นทะเลเพลิง เลือนรางบิดเบี้ยวไปหมด ประสาทสัมผัสเทพถูกตัดขาด ส่วนร่มของเขาคันนั้นตอนนี้ก็เริ่มผุพัง
ดีที่จุดที่ทำสัญลักษณ์ในแผ่นหยกก็ปรากฏอยู่ลิบๆ แล้ว
ที่นั่นดูไม่ได้แปลกพิสดารอะไร เดิมน่าจะเป็นหลุมร้างที่ทรุดตัวลงไป ตอนนี้ในทะเลเพลิงหลอมละลายมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตใดอยู่เลย
สวี่ชิงมาถึงอย่างรวดเร็ว กวาดมองรอบหนึ่ง ขมวดคิ้ว
ดูอย่างไรที่นี่ก็ไม่เหมือนสถานที่ที่หลบภัยได้ แม้ว่าจะมุดเข้าไปในรอยแยกก็สามารถเข้าไปด้านในหลุมได้ แต่ความร้อนที่แผ่ซ่านอยู่ด้านในก็ไม่ด้อยกว่าด้านนอกเลย
‘น่าเสียดายที่ประสาทสัมผัสเทพถูกปิดกั้น แผ่ออกไปไม่ได้กว้างนัก ยากจะสัมผัสได้มากกว่านี้’
สวี่ชิงครุ่นคิด กวาตามองร่มใกล้จะพังของตนเอง จากนั้นก็มองไปที่หลุม
‘แต่จากท่าทีของตวนมู่ฉางตอนที่อยู่ในทะเลเพลิง หากเป็นสถานที่หลบซ่อนจริงๆ ก็สมเหตุสมผล ถึงอย่างไรหากถูกมองเห็นได้ตลอด ก็ไม่ใช่ที่ซ่อนตัวแล้ว’
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด โน้มตัวลงไหววูบ เข้าไปในรอยแยกหลุมร้างตรงหน้า เพิ่งก้าวเข้าไป พลังความร้อนก็ปะทะมาที่หน้า
สวี่ชิงเงียบนิ่งไม่ส่งเสียง รักษาความระแวดระวัง เดินต่อไปด้านหน้า เขาเตรียมจะเข้าไปดูสถานการณ์สักระยะแล้ว
จนผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ก็ยังไปไม่ถึงปลายทางของหลุมทรุดตัวนี้ ส่วนพลังความร้อนยังคงรุนแรง ตอนที่สวี่ชิงขมวดคิ้ว จู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไป เงยหน้ามองไปไกลๆ
ท่ามกลางความเลือนราง เขาเห็นเงาคนร่างหนึ่ง นอนอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อน
มองไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย มองออกแค่ว่าอีกฝ่ายเหมือนจะสวมเกราะหนาๆ มีร่มคันหนึ่งกางไว้ข้างๆ คอยสกัดกั้นอุณหภูมิสูงให้เขา
นี่เป็นร่างเพียงร่างเดียวที่สวี่ชิงได้พบหลังจากเพลิงสวรรค์ผ่านท้องฟ้า เขาจึงหรี่ตาลง เจ้าเงาแผ่ขยายออกไปปกคลุมก่อน จวบจนหลังจากที่เจ้าเงาสื่อคลื่นอารมณ์มา สวี่ชิงค่อนข้างประหลาดใจ พุ่งตรงหวีดหวิวไปหาอีกฝ่าย
เพียงพริบตา เขาก็มาถึงด้านหน้าร่างนี้
ด้วยระยะแค่นี้ ต่อให้สัมผัสถูกปิดกั้น แต่สวี่ชิงก็ยังสังเกตเห็น
นี่เป็นผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์คนหนึ่ง พลังบำเพ็ญประมาณสร้างฐานไฟชีวิตสามดวง ตอนนี้อยู่ในสภาพร่อแร่ ใกล้จะตายอยู่รอมร่อ
เขาสวมเกราะสีดำทั้งตัว ห่อหุ้มทุกส่วนไว้ด้านใน ส่วนวัสดุของชุดเกราะนี้ก็พิเศษยิ่ง สามารถปิดกั้นอุณหภูมิสูงได้ระดับหนึ่ง
ร่มที่อยู่ข้างๆ ก็ดึงดูดความสนใจของสวี่ชิง
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด เงยหน้ามองไปยังส่วนลึกของหลุมร้าง ยกมือคว้าร่างนี้ ทะยานต่อไปเบื้องหน้า
ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยามเช่นนี้ ในที่สุดสวี่ชิงก็มาถึงทางตันภายในหลุม ที่นั่นไม่มีอะไรเลย ดินตกผลึกรอบด้าน อุณหภูมิสูงรวมตัวกัน ทำให้ที่นี่ร้อนระอุรุนแรงยิ่งกว่า
ยืนอยู่ตรงนี้ สวี่ชิงมองไปรอบๆ จู่ๆ ก็เอ่ยออกมา
“ผู้อาวุโส ข้าเก็บคนผู้นี้มาระหว่างทาง คงมาหาท่านกระมัง?”
เมื่อสวี่ชิงกล่าวออกไป เสียงเยือกเย็นเสียงหนึ่ง ก็ดังลอดออกมาจากด้านในกำแพง
“ผู้คนในชนเผ่าที่ไม่เคารพกฎกติกา รับมาก็ไร้ประโยชน์!”
แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่กำแพงข้างๆ ก็บิดเบี้ยวกลายเป็นคลื่นวน ร่างของตวนมู่ฉางเดินออกมา ยกมือขวาขึ้น คว้าเผ่ามนุษย์ที่สวี่ชิงเก็บมาคนนั้นผ่านอากาศไป
สวี่ชิงปล่อยมือ ชายหนุ่มเผ่ามนุษย์ในชุดเกราะคนนั้นก็พุ่งไปที่คลื่นวน หลังจากตวนมู่ฉางคว้าไว้ก็โยนไปด้านหลัง จากนั้นก็เงยหน้ามองสวี่ชิง
“เจ้าหนู เจ้ามาที่นี่ทำไม”
หลังจากพูดคุยกันหลายครั้ง สวี่ชิงใคร่ครวญการกระทำรวมถึงถามทั้งๆ ที่รู้คำถามอยู่แล้วของชายชราผู้นี้เล็กน้อย จึงไม่กล่าวอะไรถึงเรื่องที่อีกฝ่ายมอบแผ่นหยกให้ แต่เข้าประเด็นทันที
“หนึ่งวัน หนึ่งร้อยก้อนหินวิญญาณ”
ชายชราแค่นเสียงเย็น
“หนึ่งวันหนึ่งพัน!”
“ตกลง”
สวี่ชิงพยักหน้า
ชายชรามองสวี่ชิงผาดหนึ่ง ถอยหลังไปสองสามก้าว
สวี่ชิงหรี่ตา พิษต้องห้ามในร่างกายแผ่ซ่าน หลังจากเตรียมกลไกที่หากถูกซุ่มโจมตีจะปะทุขึ้นทันทีเสร็จ ก็ก้าวเท้าไหววูบ พุ่งไปที่คลื่นวน
เมื่อก้าวเข้าไป ร่างเขาก็หายไป คลื่นวนก็หายไปเช่นกัน ทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติ
และอีกด้านของผนังนี้ ตอนที่สวี่ชิงปรากฏตัวขึ้น ก็เป็นด้านในถ้ำใต้ดินแห่งหนึ่ง รอบๆ มีรูปปั้นไม่สมประกอบวางระเกะระกะอยู่ไม่น้อย บ้างก็ไม่มีหัว บ้างก็ไม่มีแขนขา
นอกจากนี้ ทั่วทั้งถ้ำใต้ดินก็ว่างโล่ง
ส่วนชายหนุ่มเผ่ามนุษย์คนนั้น ก็ไม่เห็นแม้เงา มีเพียงตวนมู่ฉางที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนคอของรูปปั้นไม่มีหัวตัวหนึ่งไกลๆ จ้องสวี่ชิงเขม็ง
สวี่ชิงสำรวจรอบๆ อย่างรวดเร็ว และลองสัมผัสด้านหลังเล็กน้อย จากนั้นดวงตาก็แข็งค้าง
ทางเข้าด้านหลังเขา เป็นกำแพงขนาดใหญ่ ด้านบนวางหน้ากากไว้นับพันชิ้นรวมถึงกระจกที่จำนวนพอๆ กัน
หน้ากากเหล่านี้ล้วนเป็นของเผ่าผืนนภาที่ตายไปแล้ว หลอมด้วยวิธีการพิเศษ กระจกเองก็เช่นกัน
เผ่าผืนนภาที่จะลงมือกับสวี่ชิงตอนนั้น หน้ากากเขาก็อยู่ที่นี่ด้วย
“เพื่อจะปรับตัวให้เข้ากับที่นี่ ทุกรุ่นของสองเผ่านี้พัฒนาความสามารถไปไม่น้อย ใช้พวกเขาสกัดกั้นทะเลเพลิง ผนวกวิชาพิเศษรวมถึงทำเลของที่นี่ สามารถหลบเลี่ยงเพลิงสวรรค์ได้ระดับหนึ่ง”
ชายชราเอ่ยเสียงราบเรียบ น้ำเสียงแฝงแววภาคภูมิใจเล็กน้อย
“ปกติเพลิงสวรรค์ผ่านท้องฟ้าจะคงอยู่หนึ่งร้อยวัน วันละหนึ่งพัน หนึ่งร้อยวันเท่ากับสองแสนก้อนหินวิญญาณ เอามาสิ”
สวี่ชิงขมวดคิ้ว มองชายชราผาดหนึ่ง เอ่ยอย่างตั้งใจ
“หนึ่งร้อยวันก็หนึ่งแสนสิ”
“คนละหนึ่งแสน เจ้ายังมีเจ้างูตัวนั้นด้วย ไม่ใช่สองแสนหรือไร!” ชายชราถลึงตา