ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 557 แสงหิ่งห้อยในราตรีดำมืด (1)
บทที่ 557 แสงหิ่งห้อยในราตรีดำมืด (1)
ในถ้ำที่มืดสลัว ตวนมู่ฉางลอยอยู่กลางอากาศ หันหน้ากลับมามองสวี่ชิง
เสียงของเขาสะท้อนก้อง กลายเป็นเสียงแว่วไปรอบด้าน
สวี่ชิงลุกขึ้น คารวะไปทางตวนมู่ฉาง พยักหน้า
“ขอบคุณ”
ก่อนหน้านี้ตวนมู่ฉางขอบคุณเขา เพราะเขาสาธยายโลกภายนอกไว้อย่างงดงาม มอบความหวังให้กับคนที่นี่
เขาขอบคุณตวนมู่ฉาง เพราะความเชื่อใจของอีกฝ่าย
ตวนมู่ฉางโบกมือ เบื้องหน้าเขาก็ปรากฏคลื่นวน เขาก้าวเข้าไป และรอสวี่ชิงอยู่ในคลื่นวน
สวี่ชิงก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าวเข้าไปในคลื่นวน
นี่เป็นครั้งแรกในช่วงหนึ่งเดือนนี้ที่เขาออกจากสุสานชั้นที่หนึ่ง เวลานี้จากการเดินเข้าไปในคลื่นวน โลกธรรมดาใบหนึ่งก็สะท้อนเข้ามาในดวงตาสวี่ชิง
ยังคงเป็นใต้ดิน แต่อาณาเขตกว้างกว่าที่เขาอยู่ก่อนหน้ามากนัก เป็นเมืองใต้ดินเมืองหนึ่งได้
ขวักไขว่จอแจ เสียงหัวเราะมีความสุขดังออกมาจากในเมืองชั่วพริบตานี้ข้างหูสวี่ชิง หลิงเอ๋อร์ก็โผล่ศีรษะออกมา มองไปที่เมือง
ในเมืองนั้นล้วนเป็นเผ่ามนุษย์ มีจำนวนนับแสนคน
นี่เป็นครั้งแรกที่สวี่ชิงเห็นเมืองเผ่ามนุษย์นับตั้งแต่มาถึงแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา และเป็นครั้งแรกที่เห็นเผ่าพันธุ์เดียวกันมากมายถึงเพียงนี้
ต่อให้เตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่เสี้ยวขณะนี้ในใจสวี่ชิงก็ยังคงโหมระลอกคลื่น เขายิ่งเห็นว่าเพดานดินของที่นี่มีผ้าม่านสีน้ำเงินขนาดยักษ์บดบังไว้
ผ้าม่านนี้ขนาดใหญ่มหึมา กางแผ่อยู่บนท้องฟ้า ราวกับทองฟ้าสีคราม
บนนั้นยังวาดพวกเมฆขาวเอาไว้ สวยงามอย่างยิ่ง
ส่วนบนพื้น แม้จะเป็นเมืองใต้ดินเช่นนี้ แต่กลับมีพืชสีเขียว ยิ่งพื้นที่ว่างที่ไกลๆ ก็มีพืชผลกำลังงอกงามอีกด้วย
ระหว่างฟ้าดิน ยังมีกลุ่มแสงขนาดยักษ์ดวงหนึ่ง สิ่งที่ประกอบอยู่ในนั้นคือเพลิงสวรรค์ ใช้วิธีการพิเศษผนึกเอาไว้ในขวด และทำให้มันกลายเป็นดวงอาทิตย์
แสงสาดส่อง ความก้าวหน้าแผ่ซ่านไปทั้งถ้ำตามเสียงอ่านหนังสือของเด็กๆ
ตลอดทางที่เดินมา เผ่ามนุษย์ที่สวี่ชิงเห็นทั้งหมดถ้าไม่ใช่ชินชา ก็เป็นอาหาร ฐานะต่ำต้อยด้อยค่า
สวี่ชิงจึงทราบดีอย่างยิ่งว่าการสร้างเมืองเผ่ามนุษย์แห่งหนึ่งขึ้นที่นี่ ปกป้องเผ่าพันธุ์เดียวกันให้อยู่รอดปลอดภัยเป็นจำนวนมากเช่นนี้ ต้องมีพละกำลังและจิตใจกว้างขวางถึงจะทำได้
ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งทุกคนที่จะยอมปกป้องคนธรรมดา สำหรับผู้วิเศษผู้แข็งแกร่งมากมาย ทำให้ตนเองมีชีวิตที่ดี สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
“ที่นี่ คือบ้านของข้า” ตวนมู่ฉางเอ่ยเสียงแผ่วเบา
สวี่ชิงรู้สึกนับถือในใจ คารวะอีกครั้ง
ความรู้สึกของเขาที่มีต่อตวนมู่ฉางก็เปลี่ยนแปลงตามเวลาที่ไหลผ่านไป โดยเฉพาะตอนนี้ สิ่งที่ตาเห็นสิ่งที่ใจรู้สึก ทำให้ความรู้สึกเปลี่ยนไปขนาดพลิกฟ้าพลิกดิน
ตวนมู่ฉางมองเมืองแห่งนี้ด้วยสีหน้าอบอุ่น ในแววตาสะท้อนแสงเพลิงสวรรค์ที่หักเหอยู่บนฟากฟ้า ใบหน้าเผยรอยยิ้ม
ดั่งชายชราที่มีใจเมตตาคนหนึ่งกำลังมองลูกหลานชนรุ่นหลัง
“เผ่ามนุษย์ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์บางอย่าง ทำให้ชีวิตตกระกำลำบาก ทุกระทมขมขื่นมาทั้งชีวิต ตอนข้าเด็กๆ ก็เป็นเช่นนี้
“สิ่งที่เจ้าเห็นเบื้องหน้า ส่วนใหญ่ผู้ที่ต้องแบกรับความทุกข์ทรมานและเจ็บปวดในพื้นที่ความร่วมมือสองเผ่า”
ตวนมู่ฉางเอ่ยเสียงแผ่วเบา เขาในตอนนี้ ราวกับเป็นคนละคนกับตอนที่ปะทะกับต่างเผ่าเหนือทะเลเพลิงสวรรค์
ราวกับเมื่อกลับมาที่นี่ ความเจ้าเล่ห์ ความชั่วร้าย ความโหดเหี้ยมทั้งหมดของเขาก็หายไปโดยสัญชาตญาณ
ที่เหลืออยู่ มีเพียงความอบอุ่น
“ความสามารถข้ามีจำกัด ช่วยเหลือทุกภาคส่วนไม่ได้ ทำได้เพียงช่วยเหลืออย่างเต็มที่เท่านั้น ช่วยได้ก็ช่วย ทีละเล็กทีละน้อย ก็มากมายถึงเพียงนี้เสียแล้ว”
คำพูดของตวนมู่ฉาง รวมถึงภาพตรงหน้า ทำให้สวี่ชิงสั่นสะท้านอย่างยิ่ง เขายิ่งเข้าใจว่าสถานที่หลบภัยเผ่ามนุษย์เช่นนี้ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ต้องเอาชีวิตรอดอยู่ตามซอกหลืบอย่างไม่ต้องสงสัย
ขณะที่ระลอกคลื่นโหมซัดในใจ สวี่ชิงเดินตามตวนมู่ฉางอยู่ด้านหลัง เข้าไปในเมืองแห่งนี้ด้วยกัน
สิ่งปลูกสร้างในเมืองส่วนใหญ่ล้วนธรรมดา เสื้อผ้าของผู้คนส่วนใหญ่ก็เรียบง่าย ได้หรูหราอะไร และรอบๆ ไม่มีร้านรวงอยู่เลย
ที่นี่ไม่มีการแลกเปลี่ยน มีเพียงช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
รอยยิ้มบนหน้าทุกคนที่สวี่ชิงเห็นล้วนอิ่มเอม เขาเห็นทั้งวัยกลางคน วัยหนุ่มสาวและเด็กน้อย
เพียงแต่ไม่มีวัยชรา
“พวกคนแก่ๆ ยอมเลือกที่จะตาย พวกเขาไม่อยากจะสิ้นเปลืองเสบียง”
ตอนที่ตวนมู่ฉางพูดประโยคนี้ สีหน้าก็โศกเศร้า แต่ไม่นานนักความโศกเศร้านั้นก็เก็บซ่อนลงไปท่ามกลางเสียงตื่นเต้นของคนรอบๆ ทั้งหมด
“เจ้ารัฐ!”
“คารวะเจ้ารัฐ!”
“ท่านปู่เจ้ารัฐนี่นา คารวะท่านปู่ขอรับ”
“ท่านปู่เจ้ารัฐ เมฆบนฟ้าข้ามองอยู่นานสองนานแล้ว ทำไมถึงไม่ขยับเลยขอรับ”
คนรอบๆ หลั่งทะลักเข้ามา สีหน้าคนวัยกลางคนล้วนเป็นความนอบน้อม สีหน้าของวัยหนุ่มสาวล้วนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ส่วนเด็กๆ ก็เหมือนกับเจอกับญาติผู้ใหญ่ รีบร้อนวิ่งเข้ามาเล่นรอบๆ ตัวตวนมู่ฉาง
ใบหน้าตวนมู่ฉางเปี่ยมรอยยิ้ม อุ้มเด็กชายคนหนึ่งขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยว่า
“เมฆบนท้องฟ้าย่อมขยับได้ เพียงแต่ตอนนี้มันหลับอยู่ รอมันตื่นมันก็จะขยับ ต้องขยับแน่นอน”
ในเสียงหัวเราะรื่นเริง สายตาของผู้คนล้วนไปหยุดอยู่ที่ร่างสวี่ชิง ตึงเครียดเล็กน้อย แต่ส่วนมากคือเจตนาดี ประหนึ่งขอแค่เป็นผู้ที่ตวนมู่ฉางพามา สำหรับพวกเขาแล้วล้วนเป็นคนกันเอง
สวี่ชิงเดินตามตวนมู่ฉางในเมืองเงียบๆ เขาเห็นสถานการณ์เช่นนี้มากมายตลอดทาง และเห็นว่าในเมืองนี้ยังมีโถงศึกษาอยู่อีกด้วย
“ประวัติศาสตร์ต้องบอกเล่า อารยธรรมก็ต้องสืบสาน ต่อให้เผ่ามนุษย์จะยากลำบากในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา แต่ข้าก็ยังอยากให้เผ่ามนุษย์ส่วนได้รับรู้ถึงความรุ่งโรจน์ในอดีตของพวกเรา
“จะหลงลืมไปไม่ได้”
ตวนมู่ฉางมองโถงศึกษา เอ่ยอย่างทอดถอนใจ
สวี่ชิงเงยหน้ามองโถงศึกษา ที่นั่นมีเสียงอ่านหนังสือดังออกมา พูดถึงประวัติศาสตร์ในอดีตของเผ่ามนุษย์
มีหลายจุดที่ผิด ถูกปรับเปลี่ยนให้ดูดีสวยงาม
นอกจากนี้ ในเมืองนี้ยังมีสถานที่ในการสอนฝึกบำเพ็ญรวมถึงความรู้ด้านพืชพรรณอีกด้วย สามารถทำให้คนธรรมดามีโอกาสที่จะครอบครองพลังที่มากกว่าคนธรรมดาได้
ที่นั่นส่วนใหญ่เป็นเด็ก
ตอนเดินมาถึง สวี่ชิงได้ยินเสียงของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งดังมาจากด้านใน
“ท่านอาจารย์ หญ้าเจ็ดใบที่ท่านพูดถึงข้ารู้จัก แต่ว่าก่อนหน้านี้ข้าไปหามาตั้งหลายที่ก็ยังไม่เจอเลย แล้วก็ไม้โคดีดนั่น ก็หาไม่เจอเหมือนกันเจ้าค่ะ!”
ตวนมู่ฉางก็ได้ยินเสียงนี้เช่นกัน เอ่ยเสียงแผ่วว่า
“วิชาฝึกบำเพ็ญรวมถึงความรู้เรื่องพืชพรรณที่นี่ บางอย่างเป็นสิ่งที่ข้ารู้ บ้างก็เป็นสิ่งที่ข้าแย่งชิงหรือแลกเปลี่ยนมาจากโลกภายนอก ส่วนใหญ่เป็นบันทึกโบราณ ไม่ค่อยจะมีประโยชน์อะไรแล้ว เช่นพวกพืชพรรณ ส่วนใหญ่ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรานี้ไม่มีอยู่แล้ว
“แต่ก็อย่างไรเสียก็เป็นความรู้ ไม่แน่…อนาคตอาจจะมีประโยชน์”
เมื่อสวี่ชิงได้ยินก็พยักหน้าเงียบๆ
ทั้งสองคนปลีกตัวออกมา เดินไปทั่วเมือง สวี่ชิงยังเห็นผู้บำเพ็ญระดับล่างอย่างสือพั่นกุยอีกมากมาย พวกเขาล้วนเป็นองครักษ์คอยคุ้มครองในเมือง รับผิดชอบออกไปด้านนอกแลกเปลี่ยนสิ่งของจำเป็นต้องใช้ในเมืองยามที่ไม่มีเพลิงสวรรค์
เวลาค่อยๆ เคลื่อนคล้อย
ตอนที่ผ้าม่านสีน้ำเงินบนท้องฟ้าค่อยๆ กลายเป็นสีดำตามการหม่นแสงของเพลิงสวรรค์ ตอนที่วัตถุจำนวนมากคล้ายแสงดารากระพริบวูบวาบ สวี่ชิงก็เดินจนทั่วทั้งเมือง
แสงดาราเหล่านั้น คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากกระจกของเผ่าเงาคันฉ่อง
ใต้ม่านราตรี ตวนมู่ฉางยืนอยู่ด้านนอกบ้านที่ว่างเปล่าแห่งหนึ่ง หันมาสบตาสวี่ชิง มองอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยเสียงแหบพร่าออกมาว่า
“บ้านของข้า เป็นอย่างไรบ้าง”
สวี่ชิงเอ่ยขึ้นอย่างหนักแน่น
“ไม่ถึงกับเป็นคุณธรรมอันยิ่งใหญ่หรอก” ตวนมู่ฉางส่ายศีรษะ
“สิ่งที่เจ้าเห็นทั้งหมด คือข้ากำลังปกป้องพวกเขา แต่ความจริง…พวกเขาก็กำลังอยู่เป็นเพื่อนข้าเช่นกัน
“ดังนั้นข้าจึงบอกว่าที่นี่ คือบ้านของข้า”
ตวนมู่ฉางเอ่ยเสียงแผ่วเบา เดินไปไกลๆ สวี่ชิงกำลังจะตามไป เสียงของตวนมู่ฉางก็ดังก้องมา
“เพลิงสวรรค์ผ่านท้องฟ้า ยังอยู่อีกสองเดือน เจ้าอยู่ที่นี่ชั่วคราวก่อนแล้วกัน”
สวี่ชิงชะงักฝีเท้า เขารับรู้น้ำหนักของประโยคนี้ เพราะสำหรับตวนมู่ฉางแล้ว นี่เท่ากับให้เขาเข้ามาอยู่ในบ้าน
ดังนั้นสวี่ชิงทำหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ประสานหมัดคารวะ
ตวนมู่ฉางเดินไปไกลๆ เขาก็พักอยู่ในเมืองนี้ จนร่างของเขาหายลับไปจากสายตา สวี่ชิงจึงหันหน้ามองบ้านที่อยู่ด้านหลัง
สิ่งปลูกสร้างเรียบง่าย ในความรู้สึกเขา กลับแผ่ความอบอุ่นที่แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราไม่มีออกมา
สวี่ชิงจึงเข้ามาอยู่ที่นี่เช่นนี้
หลิงเอ๋อร์ก็เลือกแปลงร่างชั่วคราว ใบหน้าเล็กเบิกบาน จัดการบ้านหลังน้อย เหมือนพยายามจะใช้การกระทำบอกกับสวี่ชิงว่า นางก็ทำงานบ้านเป็น
เห็นหลิงเอ๋อร์ก้มหน้าก้มทำงานบ้าน สวี่ชิงก็แย้มยิ้ม ทั้งตัวคนค่อยๆ ผ่อนคลาย ลองปรับตัวให้กลมกลืนกับเมืองนี้
การปรับตัวให้กลมกลืนไม่ได้ยากเย็น
เจตนาดีที่มาจากทุกคน สามารถละลายช่องว่างทั้งหมดได้ และทำให้จิตใจของสวี่ชิงยิ่งมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ
ฟ้าสีดำเข้ามาแทนที่สีคราม เพลิงสวรรค์มืดลง ครึ่งเดือนผ่านไป
ในครึ่งเดือนนี้ สือพั่นกุยมาหาเจ็ดแปดครั้ง ทุกครั้งที่มาล้วนติดของอร่อยมาด้วย ฝีมือของภรรยาเขาดีมาก ของว่างที่ส่งมาให้หลิงเอ๋อร์ชอบเป็นพิเศษ
ทว่าตอนแรกหลิงเอ๋อร์ไม่จำแลงกายต่อหน้าคน เมื่อคุ้นเคยแล้ว จึงปรากฏตัวต่อหน้าสือพั่นกุยในภายหลัง
หลังจากสังเกตเห็นหลิงเอ๋อร์ สือพั่นกุยก็ตกตะลึง หลังจากนั้นตอนที่มาหาครั้งถัดไป เขาก็ไม่ได้มาคนเดียว แต่ยังพาหญิงสาวที่รุ่นราวคราวเดียวกับเขาและเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งมาด้วย
สือพั่นกุยเอ่ยอย่างนอบน้อม หญิงสาวข้างกายเขารวมถึงเด็กผู้หญิงคนนั้นก็ตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด โค้งคารวะมาทางสวี่ชิง
สวี่ชิงใบหน้าฉายแววอ่อนโยน ก่อนหน้านี้เขาถามสือพั่นกุยว่าทำไมวันนั้นจึงออกไปด้านนอก อีกฝ่ายก็กล่าวตามตรงว่าเขาไปซื้อยาให้ภรรยา
ภรรยาของเขาร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยบ่อยๆ สองเดือนก่อนอาการป่วยกำเริบหนัก สือพั่นกุยก็ร้อนใจ ดังนั้นต่อให้รู้ว่ามีเพลิงสวรรค์จะมา ก็ยังต้องเสี่ยงออกไปเมืองของสองเผ่าเพื่อหาซื้อยา
เป็นการกระทำที่เสี่ยงอันตรายมาก แต่เขาไม่มีทางเลือก
“เจ้ารัฐปกป้องเผ่ามนุษย์นับแสนคน แต่เมื่อทุกคนมีเรื่องจะไปหาแต่ท่านเจ้ารัฐไม่ได้”
ตอนที่สือพั่นกุยตอบคำถามสวี่ชิงครั้งนั้น เอ่ยออกมาเช่นนี้
ผู้คนของที่นี่ พวกเขาซาบซึ้งและเคารพตวนมู่ฉาง จึงไม่อยากให้มีเรื่องใดๆ ไปกวนใจเขา พวกเขาดูแลตัวเองได้
ความดีงามของที่นี่ ทั้งชีวิตของสวี่ชิงเจอมาไม่มากนัก ดังนั้นหลังจากที่สายตาเขากวาดไปที่ร่างภรรยาสือพั่นกุย ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็ล้วงพวกยาลูกกลอนออกมาจากถุงเก็บของ ส่งให้สือพั่นกุย
“คู่ฝึกเต๋าของเจ้าพิษหยินในถ้ำรวมถึงหยางชั่วร้ายจากเพลิงสวรรค์สะสมอยู่ ทำให้ขัดแย้งกัน ยาลูกกลอนนี้ทำให้เป็นกลางได้ ให้กินติดต่อกัน แม้จะแก้ไม่ได้อย่างหมดจด แต่ก็สามารถสะกดไว้ได้ระดับหนึ่ง”
สือพ่ายกุยตื่นเต้น ภรรยาเขาก็ซาบซึ้งเช่นกัน สองสามีภรรยาคุกเข่าลงคารวะขอบคุณ แต่ถูกสวี่ชิงประคองตัวขึ้นมา
“กินขนมของพวกเจ้าไปตั้งมากมาย ยาลูกกลอนเหล่านี้เป็นสิ่งที่สมควรอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้หรอก”
สองสามีภรรยาสือพั่นกุยยิ่งซาบซึ้งมากกว่าเดิม เด็กผู้หญิงข้างๆ ก็แอบมองถุงเก็บของที่สวี่ชิงหยิบขวดยาออกมา คล้ายครุ่นคิด
ไม่นานนัก พวกเขาก็จากไป พวกเขาต้องส่งเด็กผู้หญิงคนนั้นไปเรียนหนังสือ