ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 557-2 แสงหิ่งห้อยในราตรีดำมืด (2)
บทที่ 557 แสงหิ่งห้อยในราตรีดำมืด (2)
หลังจากพวกเขาออกไป หลิงเอ๋อร์ก็หยิบของว่างมากินอย่างชื่นมื่น จากนั้นก็มองสวี่ชิง ดวงตากลายเป็นรูปจันทร์เสี้ยว รู้สึกภาคภูมิ
‘พี่สวี่ชิงของข้าเที่ยงธรรมกับผู้อื่นมากที่สุดแล้ว ไม่มีทางถือตัวเพียงเพราะอีกฝ่ายพลังบำเพ็ญด้อยกว่า เขาเป็นคนอบอุ่นอยู่นะ’
เห็นหลิงเอ๋อร์มองตนเองเช่นนี้ สวี่ชิงก็ประหลาดใจ
“เป็นอะไรไปหลิงเอ๋อร์”
“เปล่าเจ้าค่ะ” หลิงเอ๋อร์หน้าแดง วิ่งไปอยู่ข้างกายสวี่ชิง ดึงแขนของเขา เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“พี่สวี่ชิง พวกเราออกไปเดินเล่นกันดีหรือไม่เจ้าคะ”
สวี่ชิงเงยหน้ามองสีท้องฟ้าผาดหนึ่ง ตอนนี้ท้องฟ้าโลกภายนอกเป็นช่วงเวลากลางวัน จึงพยักหน้า เดินออกจากบ้านไปกับหลิงเอ๋อร์ ออกเดินเล่นในเมืองแห่งนี้
หลิงเอ๋อร์ตื่นเต้นตลอดทาง กระโดดโลดเต้นอยู่ข้างๆ สวี่ชิงเหมือนเด็กน้อย และความน่ารักของนาง ก็ทำให้ชาวบ้านในเมืองนี้หลังจากที่เห็นก็ยิ้มออกมา
มีบางคนหยิบของกินของบ้านตนออกมา เมื่อหลิงเอ๋อร์เดินไปทักทายทุกคนอย่างร่าเริง มีของกินให้ก็เป็นเรื่องน่ายินดีมิใช่หรือ
เห็นท่าทางไร้เดียงสาของหลิงเอ๋อร์ สวี่ชิงก็ยิ้มออกมา
พวกเขาเดินไปเรื่อยๆ ผ่านหัวถนน ผ่านถนนยาว เดินตรงไปยังโถงศึกษา
วันนี้บทเรียนในโถงศึกษาก็อธิบายเรื่องพืชพรรณ สวี่ชิงก็หยุดฝีเท้ามองเข้าไปจากเสียงที่ดังมาออกมา
โถงศึกษานั้นเปิดกว้าง เด็กในเมืองล้วนมาเรียนได้ ผู้ที่อธิบายเรื่องพืชพรรณคือหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง นางไม่มีร่างกายท่อนล่าง นั่งอยู่บนรถเข็น สอนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เด็กรอบๆ ที่อายุน้อยสุดคือเจ็ดแปดขวบ ที่โตสุดก็สิบสามสิบสี่ ฟังกันอย่างตั้งอกตั้งใจ โดยเฉพาะในบรรดานั้นมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เบิกตากว้าง ฟังพลางจดบันทึกไปด้วยคล้ายลืมเลือนสิ่งรอบข้าง
เด็กสาวคนนี้คือน้องสาวของสือพั่นกุยนั่นเอง
มองเด็กๆ เหล่านี้ สวี่ชิงก็นึกถึงตนเองตอนอยู่ที่ฐานที่มั่นคนเก็บกวาด ตอนนั้นหลังจากที่ปรมาจารย์ไป๋ยอมให้เขาเข้าไป ก็ตั้งใจอย่างยิ่งพร้อมความปรารถนาในใจ
เขามองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินจากไป
แต่ละวันผ่านพ้นไปครึ่งเดือนอีกครั้ง
เพลิงสวรรค์ผ่านท้องฟ้าสามเดือน สวี่ชิงอยู่ที่สุสานชั้นหนึ่งหนึ่งเดือน อยู่ในเมืองนี้อีกหนึ่งเดือน
นิสัยเขาไม่ชอบความคึกคัก ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่จึงอยู่ในห้องนั่งสมาธิเงียบๆ แต่หลิงเอ๋อร์อยู่ว่างๆ ไม่ได้ ตอนแรกยังขอให้สวี่ชิงอยู่กับนาง ต่อมาเมื่อเริ่มคุ้นเคยกับคนในเมือง ก็วิ่งแจ้นออกไปทุกวัน
แม้จะไม่ค่อยกังวลว่าหลิงเอ๋อร์จะมีปัญหาอะไร แต่สวี่ชิงก็ยังให้บรรพจารย์สำนักวัชระติดตามไป
ระดับความนิยมของหลิงเอ๋อร์ในเมืองนี้มากกว่าสวี่ชิงเสียอีก โดยเฉพาะด้วยการแนะนำของภรรยาสือพั่นกุย นางก็ได้รู้จักกับพี่สาวรวมถึงป้าๆ มากมาย
คนเหล่านี้ล้วนชอบนาง และอยากรู้ความสัมพันธ์ของนางกับสวี่ชิง
ช่วงเวลานี้ทุกครั้ง หลิงเอ๋อร์ก็จะหน้าแดงก่ำเขินอาย
ดังนั้นพี่สาวกับเหล่าป้าๆ เหล่านั้น ก็เริ่มถ่ายทอดวิชาต่างๆ ให้นาง บางคนบอกนางว่าต้องหัดทำกับข้าว จะครองใจบุรุษก็ต้องจับกระเพาะให้อยู่หมัดเสียก่อน
หลิงเอ๋อร์หวั่นไหว เรียนรู้อย่างตั้งใจ
บางคนบอกนางว่า เป็นสตรีเรื่องเย็บปักถักร้อยจะขาดมิได้ บุรุษของตนจะใส่เสื้อผ้าที่คนอื่นเย็บไม่ได้ หลิงเอ๋อร์จึงยิ่งหวั่นไหว
นางหมายมั่นปั้นมือว่าหลังจากนี้เสื้อผ้าทั้งหมดของพี่สวี่ชิง นางจะเป็นคนเย็บเอง
วันที่ห้าหลังจากที่หลิงเอ๋อร์ไปหัดทำอาหาร สวี่ชิงก็ได้กินกับข้าวฝีมือหลิงเอ๋อร์เป็นครั้งแรกเช่นนี้
มองกับข้าวไหม้เกรียม สวี่ชิงเงยหน้ามองสายตาเฝ้ารอด้วยอย่างกังวลใจของหลิงเอ๋อร์ กินไปคำหนึ่ง
เคี้ยวแล้วกลืนลงช้าๆ ครู่หนึ่งก็เข้าไปในท้อง
“พี่สวี่ชิงเป็นอย่างไรบ้าง อร่อยหรือไม่เจ้าคะ”
หลิงเอ๋อร์ประหม่า
สวี่ชิงเงียบนิ่ง ครู่ต่อมาจึงก็คลี่ยิ้ม
“อร่อยมาก”
หลิงเอ๋อร์ดีใจทันที
“เช่นนั้นพี่สวี่ชิงก็กินเยอะนะเจ้าคะ”
สวี่ชิงลังเล สุดท้ายก็กินจนหมด ขณะที่กำลังจะนั่งสมาธิ หลิงเอ๋อร์ก็ส่งเสียงตื่นเต้นออกมา
“พี่สวี่ชิง พรุ่งนี้ข้าจะทำอีกมาให้อีกนะเจ้าคะ”
สวี่ชิงเงียบนิ่งไปอีกหลายอึดใจ พยักหน้าให้
นอกจากนี้ ที่ได้รับความนิยมไม่ใช่แค่หลิงเอ๋อร์เท่านั้น หลังจากที่บรรพจารย์สำนักวัชระจำแลงกาย ก็ค่อยๆ ได้รับการยอมรับจากทุกคนในเมือง กระทั่งต่อมายังมากกว่าหลิงเอ๋อร์ด้วยซ้ำ
สาเหตุคือตอนที่คอยคุ้มครองหลิงเอ๋อร์แล้วเดินผ่านสถานที่เล่านิทานแห่งหนึ่ง เมื่อได้ยินนักเล่านิทานด้านในกำลังพูดเป็นต่อยหอย เขาก็ดูถูกในใจ จึงจำแลงกายแล้วเล่านิทานที่เขาเคยอ่านตอนหนึ่ง
สำหรับผู้คนในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรานี้ เรื่องที่บรรพจารย์สำนักวัชระเล่าถือว่าแปลกใหม่มาก โดยเฉพาะบรรพจารย์สำนักวัชระยังสอดแทรกเรื่องราวบางอย่างที่เกิดขึ้นกับสวี่ชิงในเนื้อหาด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงยิ่งสมจริง ได้รับเสียงตอบรับไม่ขาดสาย
เริ่มแรกคนที่ฟังก็มีไม่น้อย ต่อมาก็เพิ่มขึ้นในทุกวัน ส่วนบรรพจารย์สำนักวัชระที่หวาดกลัวจนตัวสั่นอยู่ข้างกายสวี่ชิงมาตลอด นานมากแล้วที่ไม่ได้ถูกเยินยอเช่นนี้
ดังนั้นขณะที่ใจของเขาคันยุบยิบ ตอนที่หลิงเอ๋อร์ไปเรียนทำอาหารกับเย็บปักถักร้อย เขาก็แอบออกมาเล่านิทานหลายต่อหลายครั้ง
เช่นเวลานี้ เขานั่งอยู่ในศาลาริมทางแห่งหนึ่ง รอบด้านมีคนล้อมอยู่นับร้อย
มองผู้คน บรรพจารย์สำนักวัชระกระแอมไปขึ้นเสียงหนึ่ง เอ่ยอย่างไม่ยี่หระว่า
“ครั้งที่เล่าถึงเรือเวทนับหมื่นของเจ็ดเนตรโลหิตออกเดินทางพร้อมกัน เข้าปิดล้อมเกาะเงือก
“ส่วนบรรพจารย์เกาะเงือกผู้นั้นก็หาใช่พวกจิตใจดีงาม พลังบำเพ็ญ…”
ขณะที่ผู้คนกำลังเคลิบเคลิ้ม บรรพจารย์สำนักวัชระก็บรรยายอย่างคล่องแคล่วดึงดูดใจ น้ำเสียงมีจังหวะจะโคน ดึงดูดคนให้ดื่มด่ำเพลินเพลินได้ง่าย กระทั่งตวนมู่ฉางที่อยู่กลางอากาศ ก็ยังซ่อนตัวอยู่ที่นั่น ฟังพลางพยักหน้า
จนถึงช่วงสายัณห์ ตอนที่ผ้าสีน้ำเงินบนฟากฟ้าสลัว เสียงพูดของบรรพจารย์สำนักวัชระจึงหยุดชะงัก กระแอมไอเบาๆ
ผู้คนกำลังฟังถึงช่วงสำคัญ เมื่อได้ยินก็ร้อนรนทันที พากันโห่
“ปัดโถ่ เล่าตอนนี้ให้จบก่อนเถิด”
“สั้นๆๆ สั้นเสียเหลือเกิน!”
“เมื่อตอนบ่ายเล่าอะไรไป ทำไมข้าถึงจำไม่ได้เลย!”
“ไม่ได้การ เล่ามาอีกท่อนสิ ตัดจบตรงนี้ได้อย่างไร!”
บรรพจารย์สำนักวัชระได้ยินก็ยิ้ม
“ข้าอ่านหนังสือนิทานมานับหมื่นม่วน แม้ตอนนี้ดูเหมือนจืดชืด แต่ที่จริงได้ซ่อนความลับเอาไว้ พวกเจ้าจะทำเหมือนกลืนพุทราลงไปทั้งลูกทีเดียวไม่ได้ ต้องลิ้มชิมรสอย่างละเมียดละไม ถึงจะสัมผัสได้ถึงรสชาติด้านใน”
พูดจบ ท่ามกลางเสียงหัวเราะที่ดังเกรียวกราวรอบด้าน บรรพจารย์สำนักวัชระก็ฮัมเพลง มือไพล่หลังเดินออกมา แอบคุ้มครองหลิงเอ๋อร์ต่อ
บรรพจารย์สำนักวัชระกับหลิงเอ๋อร์ต่างมีความยอดเยี่ยมน่าชื่นชม เจ้าเงาอิจฉามาก มันก็อยากออกไปเที่ยวเล่นบ้างแต่ไม่กล้า ทุกวันทำได้แค่แผ่อยู่บนพื้น มองสวี่ชิงที่นั่งสมาธิราวกับเป็นท่อนไม้ตาปริบๆ
แต่สวี่ชิงทางนี้ก็มีแขกมาเยี่ยมเยือน นอกจากสือพั่นกุยแล้ว บางครั้งน้องสาวเขาหรือเด็กสาวคนนั้นวิ่งมาหาเช่นกัน
ทุกครั้งที่เด็กสาวอายุสิบเอ็ดสิบสองปีคนนี้มาก็หยิบอาหารอย่างพวกมันเทศติดมาด้วย วางไว้ข้างๆ สวี่ชิงอย่างว่าง่าย
จากนั้นก็มองสวี่ชิง ค่อนข้างประหม่า ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร สุดท้ายก็ไม่เอ่ยออกมา
กระทั่งผ่านไปหลายครั้ง ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหว ถามขึ้นมาคำถามหนึ่ง
“พี่ชาย ท่าน…ท่านหลอมยาลูกกลอนได้หรือไม่เจ้าคะ”
นางจำเรื่องที่สวี่ชิงมอบยาลูกกลอนให้พี่สะใภ้ตนเองวันนั้นได้
สวี่ชิงได้ยินก็พยักหน้า
เด็กสาวก็ตื่นเต้นทันที หยิบสมุดเล็กๆ เล่มหนึ่งออกมา ถามคำถามเกี่ยวกับพืชพรรณ
“หญ้าเจ็ดใบ มีอีกชื่อว่าหญ้าปัดเป่าสิ่งประหลาด เป็นพืชวิญญาณจำพวกไม้ล้มลุกตระกูลหญ้าที่มีดอกหรือเมล็ดอยู่ที่ยอดของลำต้น มีอายุมากกว่าสองปี เติบโตตามพื้นที่ที่แสงแดดส่องไม่ถึงไปจนสถานที่อับชื้น และจะไม่เติบโตในที่ที่ไร้พลังวิญญาณ”
สวี่ชิงเอ่ยอย่างอ่อนโยน
หลังจากที่เด็กสาวได้ยินก็บันทึกทันที จากนั้นก็ถามคำถามที่สองเกี่ยวกับพืชพรรณที่นางได้เรียนและถามอาจารย์ของนางไปหลายครั้งแต่ก็ยังไม่ได้คำตอบอย่างรวดเร็ว
สวี่ชิงเป็นคนช่างอดทน อธิบายอย่างละเอียด ส่วนเด็กสาวก็ถามไม่หยุด นอกจากสวี่ชิงจะอธิบายแล้ว ก็เห็นความพากเพียรในด้านพืชพรรณรวมถึงความสามารถการจดจำที่ยอดเยี่ยมของอีกฝ่ายด้วย
อย่างหลังคือพื้นฐานของการเรียนรู้พืชพรรณ
และการถามตอบรอบนี้ ก็ดำเนินไปกว่าสองชั่วยามถึงจบลง
ไม่กี่วัน เด็กสาวก็มาอีกครั้ง ครั้งนี้ถือมันเทศมามากกว่าเดิม วางลงข้างๆ อย่างนอบน้อม เริ่มสอบถาม
สวี่ชิงมองมันเทศ ยิ้ม และอธิบายอย่างละเอียด
จนสายัณห์มาถึง เด็กสาวก็ถอนหายใจยาว จากไปอย่างร่าเริง เพียงแต่ในคืนนั้นเอง พี่ชายเขาก็พานางมาหาสวี่ชิง ต่อว่านางว่าไม่ควรรบกวนผู้อาวุโส
เมื่อเห็นว่าคนในครอบครัวตึงเครียดใส่กัน สวี่ชิงจะเอ่ยปาก แต่สังเกตเห็นว่าสีหน้าของเด็กสาวแฝงความดื้อรั้นเอาไว้ เขาคิด ก็ไม่กล่าวอะไรมาก เพียงพยักหน้า
สวี่ชิงอยากจะเห็น ว่าเด็กสาวคนนี้ จะมาสอบถามอะไรต่ออีกหรือไม่
หลายวันต่อมา นางก็มาหาอีกครั้ง
ครั้งนี้นางเปลี่ยนวิธีการแล้ว ล้วงหญ้าธรรมดาๆ ต้นหนึ่งออกมาจากในอกอย่างระมัดระวัง เอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ท่านอาจารย์ นี่ใช่หญ้ากกดอกขาวที่ท่านเคยกล่าวถึงหรือไม่เจ้าคะ”
สวี่ชิงแปลกใจ นี่เป็นต้นหญ้าธรรมดาทั่วไป
เขาจึงมองเด็กสาวคนนี้ด้วยสายตาลำลึก บอกถึงวิธีการแยกหญ้ากกดอกขาวรวมถึงหญ้าสมุนไพรอื่นๆ ให้
หลายวันหลังจากนี้ เหมือนรู้สึกว่าวิธีนี้ได้ผล ดังนั้นแทบจะทุกวันเด็กสาวก็จะมาหา หยิบหญ้าสมุนไพรอื่นๆ มาสอบถาม
สวี่ชิงก็อธิบายอย่างละเอียดทุกครั้ง
เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้อีกครั้ง ไม่นานเพลิงสวรรค์ผ่านท้องฟ้าที่โลกภายนอกก็ใกล้จะจบสิ้น
“ต้องไปแล้ว”
สวี่ชิงพึมพำ มองบ้านหลังน้อย แผ่ประสาทสัมผัสปกคลุมไปรอบทิศ หาตัวหลิงเอ๋อร์ที่กำลังเรียนเย็บปักถักร้อยกับพวกป้าๆ และหาตัวบรรพจารย์สำนักวัชระที่กำลังพูดเป็นต่อยหอยที่ศาลาริมทาง
มองเผ่ามนุษย์ในเมือง สวี่ชิงเงียบนิ่งอยู่เนิ่นนาน ทำได้เพียงถอนหายใจเบาๆ ออกมา
“เจ้าจะไปแล้วหรือ”
เสียงของตวนมู่ฉางดังก้องข้างหูสวี่ชิง ร่างเงาของเขาก็ปรากฏขึ้นในบ้านอย่างไร้ซุ่มเสียง มองสวี่ชิง
สวี่ชิงพยักหน้า
ตวนมู่ฉางเงียบนิ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งก็นั่งลง
“สุราของเจ้าไม่เลวเลย”
สวี่ชิงยิ้ม นำสุราที่เตรียมไว้ในถุงเก็บของออกมาครึ่งหนึ่ง ใส่ในถุงเก็บของอีกใบ ยื่นให้ตวนมู่ฉาง
ตวนมู่ฉางรับไปแล้วก็มอง ใบหน้าเผยรอยยิ้ม จากนั้นมองสวี่ชิง จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า
“ข้าจะไม่รับสุราของเจ้าไปเปล่าๆ หรอก ก่อนหน้านี้ข้าเห็นเจ้าวุ่นอยู่ในทะเลเพลิงสวรรค์ น่าจะใช้ไฟที่นั่นฝึกบำเพ็ญวิชาอะไรใช่หรือไม่
“ข้าจะให้เจ้ายืมสมบัติลับชิ้นหนึ่ง สมบัติชิ้นนี้หลบเลี่ยงเปลวเพลิงได้ระดับหนึ่ง ทำให้เจ้าดำลงไปในหินหนืดได้ลึกยิ่งขึ้น เช่นนี้ก็จะไม่เผยตัวออกมาด้านนอกแล้ว ปลอดภัยขึ้นไม่น้อย”
พูดพลาง ตวนมู่ฉางก็ยกมือขวา ผายฝ่ามือ
ด้านใน มีลูกตาที่เส้นเลือดสีน้ำตาลแผ่ลามไปทั่วดวงหนึ่ง เผยความแปลกประหลาดออกมา จ้องสวี่ชิงเขม็ง