ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 558-2 ห่านป่าบินลาลับสุดสายตา สุดฟ้าใต้หล้าหนทางช่างห่างไกล (2)
- Home
- ผู้กล้าเหนือกาลเวลา
- บทที่ 558-2 ห่านป่าบินลาลับสุดสายตา สุดฟ้าใต้หล้าหนทางช่างห่างไกล (2)
บทที่ 558 ห่านป่าบินลาลับสุดสายตา สุดฟ้าใต้หล้าหนทางช่างห่างไกล (2)
สวี่ชิงเอ่ยอย่างอ่อนโยน สือพั่นเยี่ยน เป็นชื่อของเด็กสาวตัวน้อย
“เจ้าค่ะ อาจารย์!”
เด็กสาวเชื่อใจสวี่ชิงมาก นั่งลงตรงหน้าสวี่ชิงทันที
สวี่ชิงยกมือขึ้น กดไปที่หว่างคิ้วของเด็กสาวตัวน้อย
“อย่าขัดขืน”
เด็กสาวได้ยินก็หลับตาลง
นานหลังจากนั้น สวี่ชิงก็แอบส่ายหน้า แอบเสียดายเล็กน้อย
เขาอยากจะลอง ดูว่าตัวเองมีวิธีสลายคำสาปพระจันทร์สีชาดในร่างของอีกฝ่ายได้หรือไม่ อยากจะวิจัยทฤษฎีของคำสาปนี้
แต่น่าเสียดาย คำสาปที่มาจากสายเลือด ด้วยความสามารถของสวี่ชิงตอนนี้ไม่สามารถทำถึงขั้นทำลายไปได้ เขาต้องค้นคว้าและทดลองมากกว่านี้ถึงจะได้
เพียงแต่การทดลองแบบนี้จะต้องแฝงไว้ด้วยความโหดเหี้ยม จะต้องเกี่ยวพันกับการชำแหละและทดลองเลือดเนื้อทุกชุ่น ใช้เผ่ามนุษย์มาทดลอง สวี่ชิงไม่อยากทำแบบนั้น
“พั่นเยี่ยน” สวี่ชิงเอ่ยเสียงเบา
เด็กสาวตัวน้อยรีบลืมตาขึ้น
“อีกไม่กี่วันข้าก็ต้องจากไปแล้ว”
เด็กสาวเงียบนิ่ง ดวงตาแดงเล็กน้อย ก้มหน้าไม่พูดอะไร
นางรู้ตั้งนานแล้วว่าจะต้องมีวันนี้ ในใจก็เตรียมใจไว้แล้ว แต่ในชั่วขณะที่สวี่ชิงพูดออกมา ใจของนางก็ยังใจหายวูบ
มองนาง ในสมองสวี่ชิงมีภาพความขยันและตั้งใจของอีกฝ่ายสองเดือนที่ผ่านมานี้ผุดขึ้น ความมุ่งมั่นปรารถนาต่อความรู้ทำให้สวี่ชิงรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก นานหลังจากนั้นสวี่ชิงก็ทำการตัดสินใจอะไรบางอย่าง
เขาหยิบตำรายาจากในถุงเก็บของออกมาเล่มหนึ่ง
“นี่เป็นสิ่งที่อาจารย์ข้าทิ้งเอาไว้ให้ข้า วันนี้ข้าขอมอบมันให้กับเจ้า”
เด็กสาวตัวน้อยยกมือเล็กๆ สั่นเทาขึ้นมา รับตำราเอาไว้ กอดไว้ในอ้อมอกแน่น ในตอนที่มองไปทางสวี่ชิง ในดวงตาแฝงด้วยความอาลัยอาวรณ์อย่างมากมาย อยากจะพูดอะไรแต่ก็หยุดเอาไว้
แต่นางรู้ อาจารย์กับตัวเองนั้นอยู่คนละโลก ดังนั้นคำพูดร้อยพันสุดท้ายก็แปรเปลี่ยนเป็นการโขกศีรษะคำนับ
นางโขกศีรษะคารวะสวี่ชิงเก้าครั้ง
สวี่ชิงรับเอาไว้อย่างสงบนิ่งสุขุม เอ่ยกำชับ
“ตำราสมุนไพรเล่มนี้ วันหน้าเจ้าต้องตั้งใจศึกษาให้ดี กลับไปเถอะ วันหลังไม่ต้องมาแล้ว”
เด็กสาวตัวน้อยยืนขึ้นอย่างเงียบงัน เงาร่างผอมเล็กเดินไปที่ประตูอย่างเศร้าสร้อยอ้างว้าง ยืนอยู่ตรงนั้น นางหันมามองสวี่ชิงอีกครั้ง น้ำตาในดวงตาไหลลงมาอย่างสะกดกลั้นไม่ได้
“อาจารย์ ข้ายังจะได้พบท่านอีกหรือไม่เจ้าคะ”
สวี่ชิงเงยหน้า มองเด็กสาวตัวน้อยอายุสิบเอ็ดสิบสองปีข้างหน้าคนนี้ เขาเข้าใจถึงความคิดของอีกฝ่าย เพราะภาพฉากที่คล้ายกันนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับเขาเช่นกัน
ดังนั้นใบหน้าของเขาจึงฉายรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา พยักหน้า
“ฟ้าดินเป็นที่พักแรมของสรรพชีวิต เวลาเป็นแขกผู้มาเยือนนับตั้งแต่โบราณกาลมา ขอเพียงไม่ตาย ก็จะได้พบกันอีก ข้าหวังว่าในวันที่ได้พบเจ้าอีกครั้งวันนั้น เจ้าจะเป็นคนเก่งกล้าสามารถแล้ว”
เด็กสาวจำประโยคนี้เอาไว้อย่างขึ้นใจ นางสูดลมหายใจลึก โค้งคารวะสวี่ชิง ค่อยๆ ไปจากห้องพัก
เดินอยู่ใต้ราตรีมืด จิตใจของนางเศร้าสร้อย กอดตำรายาในอ้อมอกไว้แน่น เหมือนกอดความหวังเอาไว้ ปากก็เอ่ยพึมพำ
“ขอเพียงไม่ตาย ก็จะได้พบกันอีก!”
สวี่ชิงจ้องมองเงาแผ่นหลังของเด็กสาวตัวน้อย เขาคิดถึงปรมาจารย์ไป่ขึ้นมา คิดถึงตัวเองในตอนนั้น
“อาจารย์ ข้ารับลูกศิษย์สายสมุนไพรหนึ่งคน นางชื่อสือพั่นเยี่ยน เด็กน้อยคนนี้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนนัก”
สวี่ชิงพึมพำในใจ หลับตาลง
และในใต้หล้านี้ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่มีวันเลิกรา จากการหวนคืนของเพลิงสวรรค์โลกภายนอก สวี่ชิงพาหลิงเอ๋อร์จากไป สามวันหลังจากนั้นไปจากเมืองหิ่งห้อยในโลกอันมืดมิดแห่งนี้
ก่อนจาก หลิงเอ๋อร์กอดพี่สาวและคุณป้าๆ เหล่านั้นร้องไห้
ข้างกายบรรพจารย์สำนักวัชระก็มีคนที่ฟังเรื่องเล่าล้อมรอบมากมาย แต่ละคนท่ามกลางความเงียบนิ่งก็ฉายความอาลัยอาวรณ์สุดซึ้งออกมา
ตวนมู่ฉางยืนอยู่ข้างสวี่ชิง มองทุกอย่างนี้ ถอนหายใจในใจ
สวี่ชิงเงยหน้ามองไปทางกลุ่มคน
เขามองสือพั่นกุยพาภรรยาและน้องสาว ยืนอยู่ที่ไกลๆ อำลาตน
เด็กสาวตัวน้อยก้มหน้า คล้ายว่าไม่อยากให้สวี่ชิงเห็นน้ำตาของตน ร่างสั่นสะท้าน
จ้องเพ่งทุกอย่างนี้ สวี่ชิงเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงเบา
“ผู้อาวุโส ส่งข้าออกไปเถอะขอรับ”
พูดจบ สวี่ชิงก็หันหลังเดินออกไปที่ไกล
ไปจากเมือง ไปจากสุสาน
หลิงเอ๋อร์หยุดการแปลงร่าง กลับไปในปกเสื้อของสวี่ชิง บรรพจารย์สำนักวัชระก็กลับไปในก้างปลา จิตใจเศร้าหมองเล็กน้อย
ในหลุมที่ถูกทิ้งร้างนี้ สวี่ชิงไม่เพียงแต่ทิ้งเหล้าเอาไว้ เขายังมอบหินวิญญาณและยาลูกกลอน อีกทั้งอาวุธกว่าครึ่งในถุงเก็บของให้ตวนมู่ฉาง
ทั้งสองมองหน้ากัน ต่างพยักหน้า ต่างอวยพรซึ่งกันและกัน
จากนั้น คนหนึ่งก็หันหลังกลับเดินไปในหลุมร้าง คนหนึ่งลุกขึ้นทะยานสู่ท้องฟ้า
บนท้องฟ้าไม่เห็นเปลวเพลิงแล้ว กลับคืนสู่ความมืดมิดอย่างที่เคยเป็น มีเพียงทางทะเลเพลิงสวรรค์ที่อยู่ไกลๆ เท่านั้น ที่ยังมองเห็นแสงเพลิงท่วมฟ้า
และแผ่นดินไหม้ไปทั้งแถบ ยอดเขาเปลี่ยนมาไม่เป็นระเบียบยิ่งกว่าเดิม กองยับย่นอยู่ด้วยกัน ต้นไม้ใบหญ้าไม่มีเหลือรอดเลย
โลกทั้งใบ ขณะเดียวกับที่แห้งเหี่ยว ไอความร้อนหลงเหลือก็ตลบอวล
สวี่ชิงพุ่งไปอย่างรวดเร็วบนท้องฟ้า ค่อยๆ สะกดห้วงอารมณ์การลาจากในใจ เขาชินกับการแยกจาก นับจากเด็กจนโตล้วนเป็นเช่นนี้
แต่เรื่องบางเรื่อง ต่อให้คุ้นชินเพียงใด ก็ยังคงมีระลอกคลื่นอารมณ์อยู่ดี
เพียงแต่จากการเติบโต ก็สามารถเก็บซ่อนได้ลึกยิ่งขึ้น
หลังจากนั้นสามสี่วัน สวี่ชิงเห็นทะเลเพลิงสวรรค์ มหาสมุทรผืนนั้นก็ยังคงเหมือนกับแต่ก่อน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ดอกหินหนืดประเดี๋ยวๆ ก็ผลิบาน ส่งเสียงระเบิดครืนครันออกมา
ทะยานอยู่เหนือทะเลเพลิงสวรรค์ สวี่ชิงตลอดทางมาไม่เห็นเงาร่างใดๆ
สำหรับผู้บำเพ็ญเผ่าพันธุ์ต่างๆ ที่อยู่รอบๆ เพลิงสวรรค์เพิ่งจะสิ้นสุด เรื่องแรกที่พวกเขาจะทำก็คือเข้าร่วมการซ่อมแซม ดังนั้น ผู้บำเพ็ญที่มายังทะเลเพลิงสวรรค์ทันทีแบบสวี่ชิงเช่นนี้มีน้อยมาก
เหนือทะเลเพลิงสวรรค์เวิ้งว้าง สวี่ชิงทะยานมาตลอดทาง เหมือนว่าโลกทั้งใบเหลือเขาเพียงคนเดียว
แต่เขาก็ยังคงระมัดระวัง จะไปที่ห่างไกลร้างไร้ผู้คนกว่าเดิม เริ่มทำการหลอมตะเกียงอีกครั้ง
ก็ผ่านไปอีกเจ็ดวันเช่นนี้เอง
หลังจากที่สวี่ชิงดำลงไปในทะเลเพลิงสวรรค์แห่งนี้ พลบค่ำของวันที่เจ็ด เขาก็มองเห็นแสงสีแดงเพลิง
ต้นกำเนิดของแสงเป็นหัวใจดวงใหญ่มหึมา มันกำลังเต้นอยู่ ส่งเสียงตึกตักๆ ลั่นฟ้าดิน เกิดเป็นพลังกดดันน่าครั่นคร้าม ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมเมฆหอบม้วน
บนหัวใจดวงมหึมาดวงนี้ มีวังสีแดงวังหนึ่งสร้างเอาไว้ รูปร่างโบราณเรียบง่าย ขณะที่กลิ่นเลือดตลบอวล ก็ยังมีพลังชื่อหมู่เข้มข้นพวยพุ่งอยู่ในนั้น
และสิ่งที่โดดเด่นดึงดูดสายตาที่สุดก็คือรูปสลักที่ตระหง่านอยู่หน้าตำหนัก
รูปสลักที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้น มือทั้งสองปิดตา เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด
ส่วนรอบๆ หัวใจมีอุกาบาตขนาดเล็กใหญ่ต่างกันไปหลายสิบก้อนลอยอยู่ สีแต่เดิมเป็นสีดำ แต่เนื่องจากการอาบย้อมของเลือดจึงกลายเป็นสีม่วงแดง
บนหินทุกก้อนล้วนมีผู้บำเพ็ญคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่มี มีทุกเผ่า พวกเขานิ่งไม่ไหวติง ยกมือทั้งสองปิดดวงตา บนร่างไหลรินไปด้วยเลือดสดๆ ไหลนองไปบนหินอุกาบาต
ไม่มีใครพูดอะไร มีเสียงเสียงหัวใจที่ดังแผ่ไปตามแสงเลือด แทนคำพูดทุกอย่าง
สวี่ชิงมองเห็นจากที่ไกลๆ ร่างดำลงไปทันที มุดลงไปในหินหนืด ดวงตาทั้งสองหรี่ลง จ้องมองทุกอย่างเงียบๆ
หัวใจดวงมหึมาดวงนั้นอยู่บนท้องฟ้า ค่อยๆ มาถึง มาพร้อมด้วยหินอุกาบาตรอบๆ เมินซึ่งทุกอย่าง พาดผ่านเหนือทะเลเพลิงสวรรค์ไปอย่างรวดเร็ว จุดหมายไม่ทราบ
ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา พวกเขาก็คือเทพเจ้า
เผ่าใดๆ พบเห็น หากไม่หมอบเคารพก็หลบหลีก ไม่มีใครกล้าขวาง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง จากการจากไปไกลของพวกมัน สวี่ชิงโผล่ศีรษะออกมาจากหินหนืด ทอดสายตามองไปที่ไกล
นานหลังจากนั้น เขาก็เคลื่อนไปข้างหน้าอีกครั้ง
ผ่านไปอีกสามวัน ในที่สุดสวี่ชิงก็เลือกพื้นที่บริเวณหนึ่ง หลังจากตัดสินใจหลอมที่นี่ เขาก็เอาลูกตาที่ตวนมู่ฉางมอบให้เขาออกมาแล้วมองไป
ดวงตาดวงนั้นก็ถลึงตามองเขาเช่นกัน ไม่อ่อนข้อให้แม้แต่น้อย
สวี่ชิงไม่พูดอะไร เขานึกคำพูดที่ตวนมู่ฉางเคยพูดเอาไว้ว่าจะต้องทำการกำราบมัน ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันเหตุผิดพลาด ก็เรียกเจ้าเงาออกมา
ทันใดนั้นเจ้าเงาก็ปรากฏออกมารอบสวี่ชิง ก่อเป็นม่านมืดมิด สุดท้ายก็ลอยอยู่กลางท้องฟ้า ดวงดาราระยิบระยับในนั้นเบิกโพลง แปรเปลี่ยนเป็นดวงตานับไม่ถ้วน จ้องดวงตาในมือสวี่ชิงเขม็ง
ดวงตานั่นเห็นดวงตามากมายขนาดนี้ก็สั่นสะท้านอย่างเห็นได้ชัด
สวี่ชิงสีหน้าเย็นชา โยนมันเข้าไปในม่านมืดมิด
“เจ้าพูดคุยกับมันสักหน่อย”
ดวงตาทุกดวงในม่านมืดมิดกะพริบทันที หลังจากส่งระลอกคลื่นจิตเทพชั่วร้ายออกไป ก็หุ้มดวงตาเอาไว้ข้างใน
หลังจากนั้นก็พ่นออกมา ดวงตาห่อเหี่ยวอย่างเห็นได้ชัด สั่นงันงก แผ่ความหวาดกลัวออกมา
สวี่ชิงมองไปผาดหนึ่ง ก็เรียกบรรพจารย์สำนักวัชระออกมา ใช้ก้างปลาของเขาลากไปบนดวงตา
ทุกครั้งที่ลาก บรรพจารย์สำนักวัชระจะหัวเราะเสียงเหี้ยมเกรียมออกมา ส่วนดวงตาก็สั่นไม่หยุด
สุดท้าย ในยามที่สวี่ชิงหยิบมันขึ้นมาแล้วหย่อนลงไปในหินหนืด เส้นเลือดสีน้ำตาลบนดวงตาก็แผ่ความว่าง่ายเชื่อฟังออกมาทันที ปกคลุมไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว ทำการสกัดกั้นความร้อนแผดเผาจากรอบๆ ให้สวี่ชิง
มันอยู่ต่อหน้าเจ้าเงาและบรรพจารย์สำนักวัชระ แม้จะแผ่ความหวาดกลัวออกมา ท่าทางอ่อนแอ แต่อยู่ใต้ทะเลเพลิงสวรรค์กลับสามารถจัดการความร้อนแผดเผาที่สวี่ชิงไม่อาจทนไหวได้ จุดนี้ช่างน่าอัศจรรย์นัก
สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนข่มและเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ที่ดวงตาดวงนี้ก็แสดงออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจนนัก
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด อาศัยพลังของดวงตา ดำดิ่งลงไปต่อ
ส่วนเจ้าเงาทางนั้น เพื่อป้องกันดวงตาดวงนี้จู่ๆ เกิดความคิดชั่วร้ายอะไรขึ้นมา ดังนั้นสวี่ชิงก็ไม่ได้เก็บมันกลับคืนมาจนถึงตอนนี้
เช่นนี้เอง ในตอนที่ดำดิ่งลงมาถึงประมาณร้อยจั้ง สวี่ชิงก็หยุด หลังจากขัดสมาธินั่งสมาธิ เขาก็ดูดเปลวไฟที่ไม่ได้ถูกสกัดกั้นจากภายนอกกลุ่มหนึ่ง
เพียงแค่กลุ่มเดียวก็ทำให้สวี่ชิงเกิดวิกฤตชีวิตจะถูกเผาไหม้ ดีที่ปริมาณน้อยมาก ขณะที่ผลึกวารีสีม่วงฉายประกายแสงวาบขึ้นมา ก็กลืนกินมันลงไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นแสงที่เจิดจ้าทรงพลังยิ่งกว่าแต่ก่อนก็สาดทอมายังทะเลความรู้สึกของสวี่ชิง ส่องตะเกียงสังหารเซียนกัดกินเทพอย่างชัดเจนในพริบตา
เสี้ยวขณะถัดมา ตะเกียงดวงนี้ก็เริ่มหลอมละลาย
ความเร็วในการหลอมเร็วกว่าแต่ก่อนมาก สวี่ชิงเห็นเป็นเช่นนี้ หัวใจเต้นฮึกเหิม ขณะที่ใจจดใจจ่อ เจ้าเงาก็ทุ่มพลังสุดฤทธิ์ จ้องดวงตาเขม็ง แผ่ระลอกคลามรู้สึกหิวออกไปอย่างต่อเนื่อง
ดวงตาหวาดกลัว พยายามจัดการความร้อนใต้หินหนืด
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป หลังจากนั้นเจ็ดวัน ตะเกียงสังหารเซียนกัดกินเทพของสวี่ชิงก็หลอมละลายโดยสมบูรณ์ จากการทะลักโหมของทะเลความรู้สึก จากการที่คลื่นวนพันจั้งขยายไปใต้หินหนืด ตะเกียงแห่งชีวิต นาฬิกาแดดเรือนที่สี่ก็ปรากฏขึ้น!
เข็มนาฬิกาบนนั้นขยับเคลื่อน เวลาที่แตกต่างออกไปทะลักอยู่ในร่างสวี่ชิง ส่งอิทธิพลถึงโลกภายนอก
เพียงแต่ร่างอยู่ใต้หินหนืดร้อยจั้ง ระลอกคลื่นที่นี่แม้จะไม่เล็กเลย แต่ผิวหินหนืดกลับเกิดระลอกคลื่นเท่านั้น รวมกับความไกลร้างห่างผู้คนของตำแหน่งและความกว้างใหญ่ของทะเลเพลิงตอนนี้ จึงไม่เป็นจุดสนใจใดๆ
จวบจนผ่านไปอีกเจ็ดวัน สวี่ชิงลืมตาขึ้น คลื่นวนพันจั้งรอบๆ เขาปรากฏขึ้นอีกครั้ง ในทะเลความรู้สึกของเขา นาฬิกาแดดเรือนที่ห้าก็เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์
ระลอกคลื่นพลังน่าหวาดกลัว จากการปรากฏขึ้นของนาฬิกาแดดเรือนที่ห้า ก็พวยพุ่งขึ้นจากร่างสวี่ชิง
นาฬิกาแดดห้าเรือน เงาเข็มล้วนกำลังขยับ เวลาต่างห่างกันเจ็ดชั่วยาม แตกต่างกันไป!
จ้องมองพวกมัน สวี่ชิงตกสู่ภวังค์ความคิด จวบจนกระทั่งหลังจากนั้นหลายชั่วยาม ในพริบตาที่เงาเข็มตะเกียงแห่งชีวิตนาฬิกาแดดหยุดลงในยามอู่ แสงไฟของมันก็ไม่ขยับหมุนอีก เข็มหยุดเคลื่อน
ความรู้สึกกระจ่างแจ้งกลุ่มหนึ่งผุดขึ้นมาในใจสวี่ชิง
‘ต่อจากนี้ อีกสี่เรือนที่เหลือก็น่าจะทยอยหยุดลงที่ยามอู่ และในยามที่เวลาของพวกมันตรงกัน น่าจะสำแดงพลังพิเศษอย่างหนึ่งออกมาได้…’
พลังนี้คืออะไรสวี่ชิงไม่ค่อยแน่ชัดนัก แต่อาศัยความรู้สึกของเขา ก็รู้ว่าจะเป็นการปะทุพลังครั้งใหญ่ของพลังนาฬิกาแดดอย่างแน่นอน