ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 559 โลงสัมฤทธิ์ใต้ทะเลเพลิงสวรรค์! (1)
บทที่ 559 โลงสัมฤทธิ์ใต้ทะเลเพลิงสวรรค์! (1)
“อีกไม่นานเท่าไร สี่เรือนที่เหลือก็จะทยอยหยุด”
เพราะตะเกียงแห่งชีวิตแต่ละดวงต่างห่างกันเจ็ดชั่วยาม ดังนั้นเวลาหยุดของพวกมันจึงมีลำดับต่างกันไป
สวี่ชิงคาดหวังในใจ ขณะรอเวลานาฬิกาแดดตะเกียงแห่งชีวิตหมุนไป เขาก็เดินทางไปในหินหนืด หลังจากที่ลึกลงมาหนึ่งจั้ง ในดวงตาสวี่ชิงก็ฉายประกาย
หินหนืดนี้มีประโยชน์ต่อเขา นอกจากจะทำให้ผลึกวารีสีม่วงแผ่แสงที่หลอมตะเกียงแห่งชีวิตได้แล้ว ยังมีอีกหนึ่งข้อ…นั่นก็คือทำให้วิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณยกระดับขึ้น
นี่เป็นการวิเคราะห์ของสวี่ชิง ไม่ใช่ข้อเท็จจริง
แต่เขารู้สึกว่าในเมื่อวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณของตนสามารถหลอมซากดวงอาทิตย์ได้ เช่นนั้นจากคุณสมบัติแล้ว ทะเลเพลิงที่นี่น่าจะมีประโยชน์กับมัน
‘วิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณจากการหลอมปราณก็ยกระดับถึงสามขั้นแล้ว’ หลังจากสวี่ชิงขบคิดในใจ หว่างคิ้วก็ฉายประกายแสงวาบ ปราณวิหคทองทะยานออกมาจากในนั้นทันที
ทีแรกยังเป็นร่างปราณ แต่ชั่วขณะต่อมาก็เปลี่ยนแปลง หลังจากเป็นร่างวิหคทองแล้ว มันก็วนรอบสวี่ชิง ส่งเสียงร้องคำรามดังก้องไปในวิญญาณเป็นระลอกๆ
จากนั้นวิหคทองก็เริ่มดูดหินหนืดรอบๆ ทันที
ทันใดนั้นพลังความร้อนกลุ่มหนึ่งก็พุ่งตรงมาที่ปากวิหคทอง หลังจากไหลทะลักเข้าไปในปากของมันแล้ว วิหคทองก็ร่างสั่นสะท้าน หรี่ดวงตา ทั่วทั้งร่างเปลวเพลิงพวยพุ่ง
หลังจากดูดซับอยู่ครู่หนึ่ง วิหคทองทั่วทั้งร่างสะท้าน ส่งเสียงร้องคำรามที่รุนแรงกว่าเดิม ทะยานรอบสวี่ชิงไม่หยุด จากนั้นก็พลันมุดลงไปในหินหนืด
สวี่ชิงใจกระตุกวูบ รีบจับตามองทันที หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็โล่งอก
เดิมวิหคทองก็มีจิตวิญญาณอยู่แล้ว หลังจากแปลงเป็นปราณสติปัญญาก็ยิ่งมีมากขึ้น โดยเฉพาะทำการผสานจิตกับสวี่ชิง เขาจึงสัมผัสทุกอย่างของวิหคทองได้อย่างแจ่มแจ้ง
วิหคทองตอนนี้อยู่ในหินหนืดลึกประมาณหนึ่งจั้ง กลืนกินไม่หยุด กลิ่นอายบนร่างก็ยิ่งรุนแรงขึ้น หางทยอยปรากฏออกมา หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม ในยามที่นาฬิกาแดดเรือนที่สองของสวี่ชิงเวลาหยุดอยู่ที่ยามอู่ หางของวิหคทองก็เปลี่ยนจากหนึ่งร้อยหางเป็นหนึ่งร้อยสามสิบหาง
สวี่ชิงตื่นเต้น ควบคุมวิหคทอง กลืนกินต่อไป
เวลาค่อยๆ หมุนผ่านไป
ไม่นานนักก็มีตะเกียงแห่งชีวิตนาฬิกาแดดสามเรือนหยุดเวลาที่ยามอู่ จนกระทั่งหลายชั่วยามหลังจากนั้น อีกสองเรือนที่เหลือก็ทยอยหยุดลง และหลังจากที่ตะเกียงแห่งชีวิตนาฬิกาแดดทุกเรือนหยุด สวี่ชิงที่ตัวอยู่ในหินหนืด ร่างกายก็สะท้านเฮือก
มีเสี้ยวขณะหนึ่ง ดวงตาของเขาฉายความเหม่อลอยเหมือนฝันออกมา
เพียงพริบตา ความเหม่อลอยก็หายไป ในดวงตาสวี่ชิงฉายแววอัศจรรย์ เขาสัมผัสถึงด้านในนาฬิกาแดดทั้งห้าเรือนแฝงไว้ด้วยพลังบางอย่าง เพียงแค่เสี้ยวความคิดของตนก็สามารถสำแดงได้
แต่ความสามารถนี้คืออะไร เขายังสัมผัสไม่ได้
‘ลองดูสักหน่อย!’ สวี่ชิงหรี่ตา ร่างหยุดชะงัก นั่งขัดสมาธิในหินหนืด จากการผุดขึ้นมาของความคิด นาฬิกาแดดทั้งห้าเรือนในทะเลความรู้สึกของเขาก็ส่งเสียงวิ้งทันที แล้วมาปรากฏรอบสวี่ชิง
กวาดสายตามองไป นาฬิกาแดดทั้งห้ามีสวี่ชิงเป็นศูนย์กลาง วนรอบกายเขา ประหนึ่งกลีบดอกไม้สีม่วง ล้อมเขาเอาไว้ในนั้น
ในขณะเดียวกับที่กะพริบประกายแสงพราวพร่าง ที่เหนือศีรษะสวี่ชิงยังมีแสงตะเกียงที่ราวกับดวงอาทิตย์ห้าดวงลอยอยู่ เรียงกันเป็นรูปดาวห้าแฉก
นาฬิกาแดดเป็นตัวขับเน้น อาทิตย์กล้าเป็นดวงดารา สวี่ชิงในเสี้ยวขณะนี้ โดดเด่นดึงดูดสายตานัก ทรงพลังเกินต้านทาน
ยิ่งแผ่พลังเวลาออกมาจากในนาฬิกาแดดทั้งห้าเรือน โหมทะลักเข้าไปในร่างสวี่ชิง ทำให้ร่างสวี่ชิงแผ่ความลึกลับออกมา ทั้งร่างรางเลือน เหมือนมาเยือนจากห้วงกาลเวลา
เหตุการณ์นี้เป็นเพียงแค่เสี้ยวพริบตาก็หายไป นาฬิกาแดดหมองหม่น คล้ายปลดปล่อยพลังจนสิ้น ยากจะยืนหยัด กลับเข้ามาในร่างสวี่ชิงพร้อมกับดวงอาทิตย์กล้า
นาฬิกาแดดเรือนที่หนึ่งเริ่มขยับหมุนอีกครั้ง นับเวลาต่อไป อีกสี่เรือนนิ่งไม่ขยับ
สวี่ชิงอึ้งตะลึงเล็กน้อย มองไปรอบๆ สัมผัสร่างของตัวเองเล็กน้อย เขาหาความแตกต่างอะไรไม่เจอ
‘นี่มันอะไรกัน’
สวี่ชิงขมวดคิ้ว ย้อนนึกอยู่นาน ก็ยังคงหาผลอย่างละเอียดของพลังที่ปะทุจากนาฬิกาแดดสำแดงออกมาเมื่อครู่ไม่ได้
เช่นนี้เอง หลังจากเจ็ดชั่วยาม นาฬิกาแดดตะเกียงแห่งชีวิตเรือนที่สองก็เริ่มเดิน ภายหลังนาฬิกาแดดแต่ละเรือนต่างห่างกันเจ็ดชั่วยามก็เริ่มเดินต่อ จนกระทั่งนาฬิกาแดดเรือนที่ห้าของเขาเดิน เรือนแรกก็หยุดลงในยามอู่
‘ขั้นตอนนี้เป็นสามสิบห้าชั่วยาม ประมาณสามวัน’ สวี่ชิงคำนวณเงียบๆ
จนกระทั่งผ่านไปอีกสิบสองชั่วยาม จากเวลาของนาฬิกาแดดเรือนอื่นๆ ทยอยหยุดลง พวกมันก็กลับมาที่ยามอู่ ทั้งหมดต่างหยุดนิ่งไม่ขยับ กลิ่นอายที่จะปะทุออกมาปรากฏอีกครั้ง
‘สี่วัน เป็นหนึ่งรอบ
‘ก่อนหน้านี้ตอนที่สำแดงพลังปรากฏออกมาให้เห็นไม่ชัด หรือว่าจะเป็นเพราะอยู่ในหินหนืด?’
หลังจากสวี่ชิงขบคิด มองวิหคทองที่อยู่ไกลๆ หางตอนนี้มีถึงสองร้อยกว่าหางแล้วแวบหนึ่ง เสี้ยวขณะที่ดึงสายตากลับมา ร่างของเขาเพียงไหววูบก็พุ่งออกมาจากหินหนืด
มาอยู่เหนือหินหนืด เสี้ยวพริบตาที่ยืนอยู่กลางอากาศ สวี่ชิงไม่ลังเล นาฬิกาแดดห้าเรือนในร่างเริ่มเดินพร้อมกัน แสงตะเกียงดวงอาทิตย์ล้อมรอบอยู่เหนือศีรษะ พลังนาฬิกาแดดปะทุขึ้นทันที
เพียงพริบตา สวี่ชิงสัมผัสได้ถึงความร้อน
รอบๆ เขารายล้อมไปด้วยหินหนืด ร่างของเขา…กลับมาในหินหนืดอีกครั้ง!
ภาพนี้ทำให้สวี่ชิงจิตใจสั่นสะท้าน ในดวงตาฉายแววไม่อาจเชื่อ เขาพลันหันไปมองรอบๆ พบว่าตัวเองกลับมาอยู่ในหินหนืดจริงๆ
‘ก่อนหน้านี้ข้าอยู่กลางอากาศชัดๆ!’
สวี่ชิงจิตใจเกิดคลื่นซัดโหม หลังจากขบคิดอย่างละเอียด เขาก็นึกถึงความเป็นไปได้ข้อหนึ่ง
‘หรือว่าจะเป็นเวลาหวนคืน’
การคาดเดานี้ทำให้ในใจสวี่ชิงเกิดระลอกคลื่นไม่รู้จบ เขาประเมินความสูงที่ตัวเองอยู่ เลียนแบบการเคลื่อนไหวเมื่อครู่ ใช้ความเร็วที่เท่ากันทะยานออกไป หลังจากมาถึงกลางอากาศ เวลาคือเจ็ดชั่วอึดใจ
‘ย้อนกลับเจ็ดชั่วอึดใจหรือ
‘สำหรับครั้งแรกเป็นเพราะข้านั่งสมาธิไม่ได้ขยับ จึงไม่ชัดเจน!’
สวี่ชิงดวงตาฉายประกาย แต่เขายังไม่แน่ใจนัก จำต้องทดลองอีกครั้ง
ดังนั้น เขาจึงอยู่ใต้หินหนืด จากการกลืนกินของวิหคทอง เวลาผ่านไปอีกแปดวัน
ในแปดวันนี้ เขาสำแดงพลังนาฬิกาแดดสองครั้ง ใช้วิธีที่แตกต่างกันพิสูจน์
ครั้งที่หนึ่ง เขาสำแดงความเร็วสูงสุด ปะทุพลังนาฬิกาแดด พบว่าร่างของตัวเองกลับมายังตำแหน่งเมื่อเจ็ดชั่วอึดใจก่อนหน้า
ครั้งที่สอง เขาเอาอาวุธเวทบางอย่างออกมา ขณะเดียวกันก็สร้างบาดแผลให้กับตัวเอง หลังจากที่สำแดงอีกครั้ง เขาพบว่าพลังนาฬิกาแดดของส่งผลกับตัวเองอย่างเดียวเท่านั้น
อาวุธยังคงเป็นปกติ ยังคงอยู่ตรงนั้น ส่วนร่างของเขากลับถูกเปลี่ยนไป บาดแผลหายไป สภาพทุกอย่างล้วนย้อนกลับไปเมื่อเจ็ดชั่วอึดใจก่อน
ทุกอย่างนี้ทำให้สวี่ชิงสัมผัสพลังนาฬิกาแดดได้อย่างลึกซึ้ง
‘ทำให้ร่างกายของข้ากลับไปยังสภาวะและตำแหน่งเมื่อเจ็ดชั่วอึดใจก่อนหน้านี้!
‘ความสามารถนี้ใช้ได้ทันเวลาก็จะเท่ากับกู้วิกฤตความตายได้ครั้งหนึ่ง ขณะเดียวกันก็เป็นอาวุธสังหารร้ายกาจ!’
สวี่ชิงใช้เวลาถึงครู่หนึ่งจึงสะกดความสั่นสะท้านของจิตใจลงไปได้ มองผลึกวารีสีม่วงในร่าง เขาเข้าใจ ทุกอย่างนี้ล้วนมาจากวัตถุชิ้นนี้
‘ผลึกวารีสีม่วงคืออะไรกันแน่…
‘มันผนึกเจ้าเงาได้ ผนึกเทพเจ้าได้ นำพลังฟื้นฟูอันน่าตื่นตะลึงมาให้ข้า ทั้งยังมีเคล็ดวิชาแห่งเวลา…’
สวี่ชิงเงียบนิ่ง นานหลังจากนั้น เขาก็ฝังข้อสงสัยทุกอย่างเอาไว้ในใจ มองไปทางวิหคทองของตัวเอง
หางของวิหคทองมีจำนวนถึงสองร้อยแปดสิบกว่าหาง มาถึงขีดจำกัดสูงสุดแล้ว นอกเสียจากจะไปดูดซับหินหนืดที่ลึกลงไปอีก แต่นี่เป็นประเด็นที่ขัดแย้ง เพราะวิหคทองตอนนี้ไม่สามารถทนรับเปลวไฟจากหินหนืดในระดับความลึกที่เกินหนึ่งจั้งได้
แต่ครึ่งเดือนกว่ามานี้ สามารถเพิ่มจากร้อยหางมาเป็นสองร้อยหางได้ สำหรับวิหคทองแล้วนี่คือการหล่อเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ กระทั่งว่าตอนนี้มีเค้าลางว่า บนร่างของมันมีสัญญาณจะเหนี่ยวนำทัณฑ์ลิขิตสวรรค์ครั้งที่สองมาแล้ว
ด้วยเหตุนี้ การบำเพ็ญที่ทะเลเพลิงสวรรค์ของสวี่ชิงก็นับว่าจบสิ้นลงแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ตลอด
‘ไปคืนดวงตา จากนั้นก็ไปจากเขตตะวันออก ไปรวมตัวกับศิษย์พี่ใหญ่ที่เขาวัวสวรรค์มิรู้สิ้น’
ที่เขตตะวันออกนี้ สวี่ชิงอยู่มาเกือบครึ่งปีแล้ว เขาไม่รู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่ทางนั้นตอนนี้เป็นอย่างไร ในใจคิดถึงเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน แต่ว่าก่อนจะจากไป สวี่ชิงมองไปยังจุดลึกของหินหนืดทะเลเพลิงสวรรค์
สวี่ชิงเตรียมไปสำรวจว่าตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดทำไมถึงได้วางเขตแดนต้องห้ามที่นี่ หลังจากมีพลังของนาฬิกาแดด สวี่ชิงรู้สึกว่าตัวเองขอเพียงระวังตัวสักนิด ก็จะไม่เป็นอะไร
นึกถึงตรงนี้ สวี่ชิงก็บีบดวงตาเล็กน้อย
ดวงตาดวงนั้นสั่นสะท้านทันที แผ่พลังสกัดกั้นออกมามากยิ่งขึ้น
สวี่ชิงพอใจ เก็บวิหคทองลงไป ถือดวงตาพุ่งตรงลงไปใต้หินหนืด ไม่นานก็มาถึงที่ความลึกร้อยจั้ง ดำดิ่งต่อไปถึงสองร้อยจั้ง สามร้อยจั้ง
ยิ่งลึกลงไป พลังความร้อนก็ยิ่งรุนแรง ดีที่ดวงตาดวงนี้อัศจรรย์นัก มีมันคอยสกัดกั้น ความร้อนข้างนอกไม่อาจทำอันตรายได้
สวี่ชิงดำดิ่งมาตลอดจนถึงที่ความลึกร้อยกว่าจั้งเช่นนี้เอง
ที่ระดับความลึกนี้ รอบๆ นอกจากอุณหภูมิสูงแล้ว ยังแฝงด้วยพลังกดดัน เส้นเลือดสีน้ำตาลบนดวงตาก็ยิ่งเด่นชัดขึ้นมา
นอกจากนี้ สวี่ชิงยังสัมผัสได้ว่าลึกลงไปมีกลิ่นอายที่คุ้นเคยแผ่มา
นั่นเป็นพลังเทพของชื่อหมู่
การค้นพบนี้ทำให้สวี่ชิงยิ่งทำอะไรอย่างรอบคอบ ภายใต้การเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวัง ความรู้สึกวิกฤตอันตรายกลุ่มหนึ่งก็แผ่มาในใจ เขาไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น ปราณพระจันทร์สีม่วงในร่างปะทุขึ้นมาทันที พลังพระจันทร์สีม่วงแผ่ซ่านไปทั่วกาย
เสี้ยวขณะต่อมา ความอันตรายที่ส่งขึ้นมาจากข้างล่างก็ค่อยๆ สลายไป
ท่ามกลางความรางเลือน ผ่านจากพลังของพระจันทร์สีม่วง เขาสัมผัสได้ถึงตำแหน่งของต้นกำเนิดพลังพระจันทร์สีชาดข้างล่าง
สวี่ชิงรออยู่ครู่หนึ่ง ค่อยเข้าใกล้ต่อไป
ขณะเดียวกัน เหนือทะเลเพลิงสวรรค์ กลางท้องฟ้าที่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลเท่าใดนัก หัวใจดวงมหึมาของของตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดกำลังลอยอยู่ตรงนั้น
อุกาบาตหลายสิบลูกที่อยู่รอบๆ มันกระจายตัวออก เงาร่างที่อยู่บนนั้นต่างนิ่งไม่ไหวติง มีเพียงในตำหนักเทพ มีเงาร่างที่สวมชุดคลุมยาวสีแดงร่างหนึ่งเดินออกมา
นี่เป็นหญิงสาวเผ่ามนุษย์คนหนึ่ง
สีหน้าของนางแฝงด้วยความเย็นชา ในดวงตาแฝงด้วยความจนปัญญา ก้าวเท้าเดินออกมาจากตำหนักเทพ หลังจากมาถึงริมของหัวใจแล้ว ก็ก้มหน้ามองไปทางทะเลเพลิง
สำหรับเรื่องที่จะทำต่อไปนี้ นางไม่ยินดีจากใจจริง ไม่ใช่เพราะโหดร้าย แต่เพราะเรื่องเช่นนี้จะทำให้ถูกทำสัญลักษณ์ จะส่งผลกระทบต่ออนาคตในระดับหนึ่ง
เพียงแต่ในฐานะที่เป็นผู้รับใช้เทวะ นางไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ
“ทำได้แค่หลังจากนี้ใช้วิธีกระจายไปสลายการทำสัญลักษณ์แล้ว”
หญิงสาวคนนี้ลอบถอนหายใจ เดินออกมาทีละก้าวๆ แล้วเหยียบลงไปบนหินหนืดที่อยู่ข้างล่าง ขณะสะบัดมือ ไข่มุกสีแดงเม็ดหนึ่งก็ปรากฏขึ้น หลังจากที่นางอมมันไว้ในปาก ก็ดำลงไปในหินหนืด
มุกเม็ดนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นของวิเศษของตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด หลังจากกลืนลงไป ร่างของนางอยู่ในหินหนืด พลังความร้อนก็หลบหลีกนางไปเอง
เช่นนี้แล้ว ความเร็วของหญิงสาวคนนี้ก็เร็วมาก ยิ่งเมื่ออยู่ในการดำดิ่ง พลังบำเพ็ญของนางแผ่ออก กลิ่นอายสมบัติวิญญาณตลบอวล แต่กลับไม่มีกฎเกณฑ์วิถีสวรรค์พันล้อม
นางเป็นผู้บำเพ็ญที่ยังไม่ได้ทำให้คลังสมบัติสำเร็จโดยสมบูรณ์ แต่อยู่ในขั้นหล่อเลี้ยงมรรคาดาราเจิดจรัส
แต่ฐานะผู้รับใช้เทวะ และการประทานพรของชื่อหมู่ที่เทียบเท่ากับระดับ ทำให้นางอยู่ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา นอกจากในตำหนักเทพแล้ว ข้างนอกโดยพื้นฐานแล้วไม่มีใครกล้าหาเรื่องนางแม้แต่น้อย